22 อยากรู้ก็ต้องถาม
“ผู้หญิงคนเมื่อวานเป็นน้องรหัส เขามาชวนไปงานปาร์ตี้สละโสด เขาชวนนายไปงานแต่งงานเขาด้วย”
อยู่ๆ เมคินก็พูดขึ้นขณะที่กำลังทานอาหารเช้า เพราะคิดว่าอีกคนคงอยากรู้แต่ไม่กล้าถาม เขาสังเกตว่าเช้านี้ทิวาเอาแต่ก้มหน้า ไม่ยอมสบตาแถมยังนั่งเขี่ยไข่ดาวในจานเล่นจนมันเละไปหมด และพอพูดจบก็เห็นว่าอีกฝ่ายมีรอยยิ้มที่มุมปาก
“พี่บอกทำไม ผมยังไม่ได้ถามสักหน่อย”
“ก็แค่อยากบอก เผื่อว่าคนบางคนแถวนี้จะเข้าใจผิด”
“ใครจะเข้าใจผิดกัน” ทิวาปฏิเสธพร้อมหลบสายตาอีกคน
“ไม่เข้าใจผิดก็ดีแล้ว คราวหน้าถ้าอยากรู้ก็ถาม ถ้าอยากให้กลับเร็วก็โทรตาม ไม่ใช่นอนรอแบบนั้น”
“ถ้าโทรตามพี่จะรีบกลับเหรอ เกินว่าพี่ทำธุระอยู่หรือพี่กำลังสนุกกับเพื่อนแล้วผมโทรตาม พอกลับถึงห้องพี่จะไม่โกรธเอาเหรอ”
“มันก็แล้วแต่สถานการณ์ ถ้าพี่กลับเร็วได้ก็จะรีบกลับ แต่ถ้ากลับไม่ได้ก็จะบอก”
“แล้วจะโกรธไหมครับ”
“ถ้าอยากรู้ก็ต้องลองโทรดู”
“พูดแบบนี้ใครจะกล้าโทรตาม” ทิวาทำหน้าเบื่อโลกก่อนจะยกจานไปเก็บ แต่ถ้าครั้งหน้าเมคินออกไปกับเพื่อนอีกเขาคิดว่าจะลองโทรตามดู ชายหนุ่มก็อยากรู้เหมือนกันว่าเขาจะทำตามที่พูดไหม
ตารางงานของเมคินตลอดทั้งสัปดาห์เพราะช่วงใกล้เทศกาลปีใหม่สินค้าประเภทเครื่องดื่มขายดีเกือบทุกชนิด ในแต่ละวันเขาต้องประชุมทั้งในและนอกบริษัท พอกลับถึงคอนโดก็ยังต้องมาทำงานต่อจนดึก ทิวาตามเขาไปทุกที่แต่ไม่ได้เข้าประชุมด้วยทุกครั้งก็ยังรู้สึกเหนื่อย แต่เมคินยังไม่มีท่าทีเหนื่อยให้เขาเห็นเลยแม้แต่น้อย
“ดึกแล้วนะครับ ผมว่าพี่น่าจะพักผ่อนบ้าง” ทิวาซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงข้ามโต๊ะทำงานบอกด้วยน้ำเสียงห่วงใย
“ง่วงแล้วเหรอ”
“นิดหน่อยครับ”
“นายไปนอนก่อนเลย อีกนิดเดียวก็เสร็จแล้ว”
“ไม่เป็นไรผมรอได้ พี่คินครับพรุ่งนี้ช่วงเช้าพี่ไม่มีประชุมหรือนัดใคร ผมว่าพี่ไปสายหน่อยก็ได้นะครับ จะได้พักต่ออีกนิดเพราะตอนเย็นพี่ต้องไปงานแต่งเพื่อนด้วยครับ” น้ำเสียงและสีหน้าบ่งบอกถึงความห่วงใยอย่างชัดเจน
“เอางั้นก็ได้ นายก็ไม่ต้องตื่นเช้า พี่ว่าจะงดวิ่งตอนเช้าด้วยเหมือนกัน”
“แล้วผมต้องไปกับพี่ด้วยจริงๆ เหรอครับ” เขาไม่แน่ใจเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องส่วนตัว
“ไปสิงานนี้มีแต่เพื่อนๆ พี่ทั้งนั้น นายจะได้ไปรู้จักเพื่อนพี่ด้วยไง องศากับภพก็ไปด้วยนะ”
“เหรอครับ” ทิวาดีใจเพราะเขามีเรื่องอยากคุยกับองศาอยู่หลายเรื่อง
“อือ”
หลังจากนั้นชายหนุ่มก็นั่งรอจนเมคินปิดคอมพิวเตอร์แล้วเดินไปส่งชายหนุ่มที่หน้าประตูก่อนจะกลับมาล้มตัวลงนอน พรุ่งนี้เขาจะต้องไปงานแต่งงานของเพื่อนเจ้านายซึ่งเป็นครั้งแรกที่ไปร่วมงานแบบนี้ ต่างจากทุกครั้งที่ไปงานบริษัท
บอกเมคินไม่ให้ตื่นเช้าเพราะอยากให้เจ้านายได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ แต่ตัวเองกลับตื่นในเวลาปกติ ทิวาจึงนั่งฆ่าเวลาด้วยการลิสต์รายการที่ต้องทำสำหรับปีหน้า
ปกติแล้วชายหนุ่มก็มักจะวางแผนไว้อย่างนี้ทุกปี ทำได้บ้าง ไม่ได้บ้างแต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้วางแผนอะไรไว้ หลังจากวางแผนเดือนแรกเสร็จก็มาถึงเดือนกุมภาพันธ์ มือเรียวชะงักไปนิดเพราะเดือนนี้เป็นเดือนแห่งความรัก ปีที่แล้วเขาไม่ได้ฉลองวันวาเลนไทน์เพราะเอาแต่ทำงานและหลังจากนั้นเพียงไม่กี่วันเขาก็ถูกแฟนสาวบอกเลิก
แต่สำหรับปีนี้มันคงไม่สำคัญอีกต่อไป เพราะเขาคิดว่าใช้ชีวิตในแต่ละวันให้มีความสุขดีคงจะดีกว่ามีความสุขแค่วันแห่งความรักเท่านั้น
ความสุขสำหรับทิวาคือการได้อยู่ใกล้เมคิน ได้ทำงานร่วมกัน ทานอาหารด้วยกันทุกวัน ได้ตื่นมาเจอกันในทุกเช้าและพูดคุยกันก่อนนอน จะมีสักกี่คนที่มีโอกาสแบบนี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งมีความสุข
ทิวาดูนาฬิกาอีกครั้ง ตอนนี้ 8 โมงเช้า เขารีบเข้าครัวเพราะคงใกล้เวลาที่เมคินจะออกมาทานอาหารเช้า
“ข้าวต้มใช่ไหม” เสียงทักทายของเมคินดังขึ้นในขณะที่เจ้าตัวกำลังเดินออกมาจากห้อง
“ครับ” ชายหนุ่มรีบตักข้าวต้มปลาที่ส่งกลิ่นหอมใส่ชามให้เจ้าของห้อง
“ยังอร่อยเหมือนเดิมเลย นายฝีมือดีเหมือนกันนะ”
“ก็เพราะทำบ่อยไงครับมันเลยอร่อย แต่พี่อย่าให้ผมทำอย่างอื่นนอกจากข้าวต้มนะ ผมทำไม่เป็นหรอก”
“ทำไมล่ะ พี่คิดว่านายทำได้หลายอย่างแค่เลือกทำข้าวต้มเพราะประหยัดเวลาเสียอีก”
“อย่างอื่นก็พอได้ครับ พวกผัดผัก ไข่เจียวอะไรง่ายๆ แต่ที่ทำข้าวต้มเก่งที่สุดเพราะตอนอยู่สถานเลี้ยงเด็กแม่ครูมักจะให้ทำข้าวต้มมันประหยัดดีครับ ใส่น้ำเยอะหน่อยเป็นมื้อเช้า มือกลางวันค่อยเป็นอาหารหนักๆ บางทีพวกคนรวยๆ ก็มักจะมาเลี้ยงอาหารกลางวัน”
“อือ นายพูดถึงที่นั่นหลายครั้งแล้ว อยากกลับไปเยี่ยมไหม ช่วงปีใหม่หยุดตั้งหลายวัน”
“ดีเหมือนกันนะครับ แล้วปีใหม่พี่คินจะทำอะไร”
“ก็ไปกับนายไง”
“เชียงใหม่น่ะเหรอครับ”
“อือ ทำไมแอบซ่อนใครไว้ที่นั่นหรือเปล่า ถึงไม่อยากให้พี่ไปด้วย”
“อย่าไปเลยครับ ที่นั่นไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก แล้วผมก็ไม่ได้ซ่อนใครไว้หรอกครับ”
“เชียงใหม่ใช่ว่าจะมีแค่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าของนายที่ไหนล่ะ มันก็มีที่เที่ยวตั้งเยอะไม่ใช่เหรอ มีเวลาหลายวันนายก็เป็นไกด์พาพี่เที่ยวไง”
“พี่จะไปกับผมจริงๆ แน่นะครับ” พอได้ยินว่าเขาจะไปด้วยทิวาก็ดีใจแต่ก็อยากถามเพื่อความมั่นใจอีกครั้ง
เมคินเพิ่งสังเกตว่านัยน์ตาของทิวาในวันนี้มันดูสดใสเป็นประกายไม่เหมือนกับครั้งแรกที่เจอกัน มันทำให้ชายหนุ่มมั่นใจขึ้นว่าทิวาก็มีความสุขที่มาอยู่กับเขา
“จองตั๋วเลยไหมล่ะ” เขาเอื้อมไปหยิบไอแพดที่วางอยู่ตรงหน้า
“เราไม่ขับรถไปเหรอครับ”
“ขับไปให้เสียเวลาทำไม”
“แต่มันได้บรรยากาศนะครับพี่ เราก็แวะเที่ยวไปเรื่อยๆ ไงครับ”
“ช่วงเทศกาลรถติดนะ นายไม่รู้เหรอ กว่าจะถึงเชียงใหม่คงได้เบื่อตายกันไปข้าง”
“รถติดแค่เราคันเดียวที่ไหนมีเพื่อนร่วมทางเยอะแยะสนุกดีออกหรือจะนั่งรถไฟก็ได้นะครับ ไม่ต้องขับรถให้เหนื่อย ไปถึงที่นั่นก็เช่ารถขับเที่ยว”
เมคินมองหน้าชายหนุ่มที่พยายามหาเหตุผลให้เขาขับรถไปถึงเชียงใหม่ซึ่งระยะทางไม่ใช่ใกล้ๆ เขาเคยขับไปกับเพื่อนช่วงเวลาปกติก็ใช้เวลาเกือบ 10 ชั่วโมง แล้วช่วงเทศกาลก็คงต้องบวกเวลาไปอีก
“กลัวขึ้นเครื่องใช่ไหม” เขาตัดสินใจถามออกไป
ทิวาเงียบอยู่พักใหญ่ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองพร้อมกับเอ่ยออกมาเบาๆ
“ครับ ผมกลัวเครื่อง” ก็ตั้งแต่เกิดมาอายุเกือบจะ 26 ปี เขาไม่เคยนั่งเครื่องบินสักครั้งมันก็ไม่แปลกที่จะรู้สึกกลัว
เมคินยิ้ม แต่ก่อนเขาก็เป็นแบบนี้ไม่ยอมนั่งเครื่องจนพ่อและแม่ต้องพาเขานั่งเครื่องบินไปเที่ยวภายในประเทศทุกวันหยุด พอเขาหายกลัวก็เริ่มพาไปต่างประเทศ ชายหนุ่มก็เริ่มหายกลัวไปทีละนิด
“ไม่ต้องกลัว พี่ไปด้วย เดี๋ยวพี่เลือกที่นั่งวิวๆ สวยๆ ติดหน้าต่างให้เลยเอาไหม” พอเห็นเขายอมนั่งเครื่องบินเมคินเลยอยากให้เขาผ่อนคลาย
“ไม่ครับ ผมไม่เอาที่นั่งติดหน้าต่าง” ทิวาส่ายหัวจนผมกระจาย
“งั้นพี่นั่งติดหน้าต่างเอง ไปเชียงใหม่แค่ชั่วโมงนิดๆ เรานั่งชั้นประหยัดคนเยอะหน่อย แต่นายจะได้อุ่นใจว่ามีเพื่อนร่วมทางโอเคไหม”
“พี่จะนั่งติดกับผมใช่ไหม” เขามองหน้าคนพี่ด้วยสวยตาไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่
“อือ นายไม่ต้องกลัว” เมคินตบไหล่เขาเบาๆ อย่างให้กำลังใจ
คำพูดและการกระทำของเมคินทำให้คนกลัวเครื่องบินรู้สึกอุ่นใจขึ้น ถ้ามีเขาอยู่ด้วยทิวาก็ไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว
เมื่อตกลงกันได้ทั้งสองก็ทานอาหารเช้าและออกไปทำงานพร้อมกัน ระหว่างทางเมคินก็จองตั๋วเครื่องบินไปกลับสำหรับสองคนเป็นที่เรียบร้อย