ตอนที่ 4
แม้คีรีจะบอกว่าไม่มีอะไร แต่บ่อยครั้งที่คีรินทร์รู้จากมารดาว่าผู้เป็นพี่ไปหาผู้หญิงที่เขารู้ข้อมูลแค่เพียงว่าเธอชื่อ ‘รัก’ และเป็นลูกสาวของเพื่อนแม่ ซึ่งวันนี้ก็เช่นกัน
“แม่ก็รู้ว่าพี่ภูมี...”
คีรินทร์พยายามจะค้านและพูดให้คนเป็นแม่คำนึงถึงความเป็นจริง แต่สุดท้ายก็เหมือนเดิมคือท่านไม่ฟัง
“ไม่ต้องพูด แม่ไม่อยากได้ยิน และถ้าหนูรักมาถึงก็ห้ามพูดเรื่องนี้เด็ดขาด ไม่งั้นแม่เอาเรื่องแกแน่ๆ”
ฉายรวีที่ขะมักเขม้นกับการทำอาหารมื้อเย็นขู่ลูกชายคนเล็ก
“ผู้หญิงคนนั้นจะมาที่นี่เหรอครับ”
“ใช่ เย็นนี้หนูรักจะมากินข้าวที่นี่ แกทำตัวให้ดีๆ ละ รู้ใช่ไหมอะไรควรพูดไม่ควรพูด”
“ครับ” คีรินทร์ยอมรับปากอย่างเสียไม่ได้
“แล้วทำไมวันนี้เลิกงานไว ไม่มีจ๊อบหรือไง” ฉายรวีถามต่อเมื่อเห็นว่าลูกชายคนเล็กที่ปกติจะกลับถึงบ้านสามสี่ทุ่มแต่วันนี้ดันกลับบ้านไว
“โห...แม่ครับ งานจ๊อบไม่ใช่งานประจำนะครับ ถึงจะมีให้ทำทุกวัน” ชายหนุ่มโอดครวญพลางเปิดตู้เย็นหยิบเบียร์กระป๋องที่ตนซื้อตุนเอาไว้มาเปิดดื่ม
“จะไปรู้เหรอ เห็นกลับบ้านช้าทีไรก็บอกว่าทำงานจ๊อบทุกที ไม่รู้ว่าจ๊อบงานหรือจ๊อบแจ๊บสาวกันแน่”
“ช่วงนี้แค่งานจ๊อบอย่างเดียวก็จะไม่ไหวแล้วครับ คงต้องพักจ๊อบแจ๊บไปก่อน ไว้ว่างๆ ค่อยหา”
คีรินทร์ยักไหล่ ยกเบียร์ขึ้นดื่มอย่างไม่ยี่หระ
“แม่หาให้เอาไหม” ผู้สูงวัยกว่าเอ่ยถามดวงตาเป็นประกาย แต่เพียงแวบเดียวใบหน้าก็กลายเป็นบึ้งตึงเมื่อโดนเบรก
“ไม่เป็นไรครับ ผมเกรงใจ ของแบบนี้หาเองดีกว่า” คีรินทร์ปฏิเสธแบบไม่คิดจะถนอมน้ำใจคนเป็นแม่แล้วลุกขึ้นจะเดินออกจากห้องครัว
“แล้วนั่นแกจะไปไหน”
“ผมว่าจะไปดูมอเตอร์ไซค์สักหน่อยนะครับ เหมือนโซ่จะหย่อน”
“แกนี่นา บอกให้ซื้อรถยนต์ก็ไม่ยอม”
ฉายรวีบ่นเหมือนเช่นทุกครั้งที่ลูกชายคนเล็กเอ่ยถึงมอเตอร์ไซค์ นั่นก็เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของผู้เป็นลูก เนื้อหุ้มเหล็กเช่นนี้หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นมามันจะเหลืออะไร ไม่อยากจะคิดเลย
“เอาไว้มีลูกมีเมียก่อนแล้วกันครับ” ชายหนุ่มตอบเลี่ยงๆ แบบติดตลก
“แล้วเมื่อไรจะมี”
“มีแล้วแม่จะเอาไหมล่ะ”
ย้อนถามกลับอย่างท้าทาย ก่อนจะหัวเราะเสียงหยันเมื่อได้ยินคำตอบของมารดา
“เอาสิ”
“ให้มันจริงเถอะครับ ไม่ใช่พอจะพามาแนะนำก็ติโน่นตินี่”
เรื่องนี้เขาไม่ได้พูดเกินจริงเลยสักนิด เห็นตัวอย่างได้บ่อยๆ จากพี่ชายที่พอคบหากับแฟนได้สักพักก็คิดอยากจะพามาแนะนำให้คนเป็นแม่รู้จัก แต่แค่เอ่ยปากเท่านั้นก็โดนท่านซักไซ้ประวัติของฝ่ายหญิง จากนั้นก็จะเริ่มติมากกว่าชม สุดท้ายก็บอกว่าเอาไว้ก่อน และจบลงด้วยประโยคเดิมๆ ว่า ‘เสียดายจังที่ลูกสาวของเพื่อนแม่มีแฟนไปแล้ว’
เอ๊ะ! หรือลูกสาวของเพื่อนที่แม่พูดถึงอยู่บ่อยๆ ก็คือหนูรักคนนี้ เลิกกับแฟนแล้วเหรอ ดีละ ไหนๆ วันนี้ก็จะมาที่นี่ ขอดูหน้าสักหน่อยละกัน อยากรู้นักว่าจะสวยน่ารักขนาดไหน แม่ของเขาถึงได้หวงพี่ชายไว้ให้เธอเสียจริง
“นี่แกหลอกด่าแม่ใช่ไหม จะไปซ่อมมอเตอร์ไซค์ก็ไปเลยไป ชอบทำให้อารมณ์เสียเรื่อยเลยแกนี่”
คนที่ไม่เคยสั่งลูกชายคนเล็กให้ทำตามใจได้เอ่ยไล่ด้วยท่าทีหงุดหงิด
“ครับๆ” คีรินทร์รับคำกลั้วหัวเราะอย่างพอใจที่ได้แกล้งแหย่คนเป็นแม่ให้อารมณ์เสีย
คีรินทร์ที่ขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพราะมือและเสื้อเลอะคราบน้ำมันจากการซ่อมมอเตอร์ไซค์กำลังก้าวลงบันได แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงักฝีเท้า หรี่ตามองหญิงสาวที่เดินเคียงคู่พี่ชายเข้ามาในบ้าน
“ทำไมหน้าคุ้นๆ” ชายหนุ่มพูดกับตัวเองก่อนที่สองเท้าจะเดินลงบันไดตรงไปหาทั้งคู่อย่างข้องใจ
“แม่ไปไหน” คีรีถามน้องชายขณะที่สายตาก็กวาดมองหามารดา
“ในครัวมั้ง” คีรินทร์ตอบแล้วหยุดนิ่ง มองผู้หญิงตรงหน้าอย่างพิจารณา สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่าไม่ผิดตัวแน่!
ผู้หญิงคนนี้คือคนที่ไปแหกปากตะโกนตีราวเหล็กแล้วร้องห่มร้องไห้ในสวนสาธารณะเพราะถูกผู้ชายทิ้ง
“ผา...ผา...ไอ้ผา!” คีรีตะโกนเรียกน้องชายสุดเสียง เมื่อคนตรงหน้าเอาแต่จ้องมองร้อยรักนิ่งไม่สนใจใคร
“อะ...อะไรพี่ภู” คีรินทร์หลุดจากภวังค์แล้วหันมาถามพี่ชายด้วยสีหน้ายุ่งๆ
“มองอะไร มองอย่างนี้คุณรักกลัวแกนะ”
คีรีตำหนิน้องชายเมื่อเห็นอีกฝ่ายจ้องร้อยรักตาไม่กะพริบ ถึงกระนั้นก็ไม่ได้รู้สึกหึงหวง เพราะจากแววตาของน้องชายไม่ได้มองด้วยความพิศวาส แต่เป็นเวทนาสงสารมากกว่า และเขาก็รู้ดีว่าเพราะอะไร
“ปะ...เปล่า ขอโทษนะครับที่เสียมารยาท พอดีเห็นคุณรักแล้วนึกถึงผู้หญิงดวงซวยคนหนึ่ง” คีรินทร์ตอบเสียงกลั้วหัวเราะกลบเกลื่อน
ผู้หญิงคนนี้จำเขาไม่ได้งั้นเหรอ
“คุณรักครับ นี่ผาน้องชายผมเองครับ”
“สวัสดีค่ะ” ร้อยรักทักทายพร้อมกับยกมือไหว้และยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างต้องการผูกมิตร
“ผา นี่คุณรัก” ชายหนุ่มแนะนำสั้นๆ ไม่ได้เพิ่มสถานะของฝ่ายหญิง เพราะขี้เกียจฟังเสียงบ่นตามหลังของน้องชาย
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ เดี๋ยวผมไปตามแม่มาให้นะครับ”
ว่าแล้วคีรินทร์ก็เดินผละออกไปที่ห้องครัว และเพียงแค่รู้ว่าคนที่รออยู่มาถึงแล้ว แม่ของเขาก็วางมือที่กำลังเก็บข้าวของทันที
“แม่ฝากผาเอาของบนโต๊ะไปเก็บให้เข้าที่ด้วยนะ จากนั้นก็เก็บกวาดและเช็ดโต๊ะให้สะอาด แล้วก็ตั้งโต๊ะรอได้เลย แม่ขอไปทักหนูรักและอาบน้ำก่อน”
“แม่...” ชายหนุ่มครางเสียงหลง เขาแค่มาตาม ไม่คิดเลยว่ามารดาของเขาจะโยนงานที่ทำค้างไว้มาให้เขาทำต่อเช่นนี้ คีรินทร์ถอนหายใจก่อนจะเริ่มทำตามคำสั่ง เพราะอีกไม่นานทุกคนจะต้องมานั่งรับประทานอาหารกันที่นี่ โดยเฉพาะวันนี้มีแขกคนพิเศษของคนเป็นแม่ ถ้าไม่รีบทำละก็ เขานี่แหละที่จะโดนเล่นงานหนักกว่าใคร
“พี่ก็นึกว่าหายไปไหน ทำอะไรอยู่น่ะ”
เสียงร้องทักที่ดังขึ้นเรียกคีรินทร์ให้หันมายิ้มแหยๆ ขณะยกกับข้าวมาวางบนโต๊ะ
“ตั้งโต๊ะอาหารครับ”
“งั้นเดี๋ยวฉันช่วยนะคะ”
ว่าแล้วหญิงสาวก็รีบเอากระเป๋าไปวางบนเก้าอี้
“เหลืออะไรบ้างคะเนี่ย ข้าวใช่ไหมคะ งั้นฉันช่วยตักข้าวแล้วกัน” ร้อยรักอาสาอย่างกระตือรือร้น
“ขอบคุณครับ” คีรินทร์เอ่ยแล้วทำหน้าที่ของตัวเองต่อ ถึงกระนั้นก็ยังไม่วายปรายตามามองเมื่อได้ยินเสียงคุยกันกะหนุงกะหนิงของหญิงสาวกับพี่ชายของตน
ให้ตายเถอะ ต่อให้อมพระทั้งวัดมาพูด เขาก็ไม่มีทางเชื่อเด็ดขาดว่าคีรีไม่ได้คิดอะไรกับผู้หญิงคนนี้ เพราะท่าทางราวกับคู่แต่งงานใหม่ซะอย่างนั้น
คีรินทร์คิดพลางส่ายศีรษะ ก่อนจะมองโต๊ะอาหารที่วันนี้มีกับข้าวมากเป็นพิเศษ และที่สำคัญเขาเพิ่งสังเกตเห็นว่ามันมีแต่เมนูปลา!
“วันนี้แม่ไปเดินตกบ่อปลามาหรือครับ ถึงมีแต่เมนูปลาทั้งนั้นเลย” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นมาลอยๆ โดยไม่รู้เลยว่าคนที่เขาคิดว่าไม่ได้อยู่ในครัวจะโผล่เข้ามาได้ยินพอดี
“ปากเสีย” ฉายรวีต่อว่าลูกชายคนเล็กอย่างไม่จริงจังนัก
“โอ๊ะ!” คีรินทร์แสร้งทำท่าสะดุ้งแล้วหัวเราะกลบเกลื่อน “ล้อเล่นครับ”
“แม่ทำเพราะหนูรักชอบกินปลาต่างหากละ”
ได้ยินอย่างนั้นคีรินทร์ก็พยักหน้ารับรู้ก่อนจะหันสายตาไปทอดมองหนูรักที่กำลังยกมือไหว้แม่ของเขาพลางยิ้มเขินด้วยไม่รู้จะบอกเป็นคำพูดยังไงดี รู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้ไม่มีดวงในเรื่องความรักเอาเสียเลย
“ขอบคุณมากค่ะ แต่ไม่ต้องเยอะขนาดนี้ก็ได้นะคะ นี่รักก็ไม่รู้ว่าจะกินครบทุกเมนูหรือเปล่า แต่ดูน่าอร่อยทั้งนั้นเลยค่ะ” หญิงสาวบอกอย่างเกรงใจ
“น้าทำแต่เมนูที่หนูรักชอบทั้งนั้นเลยนะ และเมนูพวกนี้น้าก็ถามมาจากตาภูนั่นแหละ ไม่รู้งานนี้ลูกชายของน้าชัวร์หรือมั่วนิ่มกันแน่”
ว่าแล้วฉายรวีก็ไม่ลืมที่จะพูดเพื่อเพิ่มคะแนนความนิยมให้กับลูกชายคนโต
“จริงเหรอคะ นี่รักสั่งเมนูเดิมๆ จนคุณภูจำได้เลยหรือคะเนี่ย น่าอายจัง” ร้อยรักอ้อมแอ้มตอบพลางปรายตามองคีรีแล้วหลบสายตาอย่างเขินๆ
“ผมจำเพราะอยากจำน่ะครับ”
“เอ่อ...ก่อนแกงจะกลายเป็นขนมหวานไปเสียก่อน ผมว่าพวกเรามากินข้าวกันเถอะครับ”
คีรินทร์ที่ยืนมองคนเป็นแม่หยอดนิด พี่ชายหยอดหน่อย แล้วเริ่มจะทนไม่ไหว จึงต้องขัดความสุขของทั้งสามคนอย่างอดไม่ได้ และผลที่ได้ก็คือเขาโดนบุพการีแอบหยิกต้นแขน
“แกนี่ชอบขัดจริงเชียว”
“ก็ผมหิวข้าวนี่ครับ”
ชายหนุ่มแกล้งโอดครวญ แล้วเลื่อนเก้าอี้ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ มารดา และตรงข้ามเขาคือร้อยรักที่หันไปขอบคุณคีรีเมื่ออีกฝ่ายเลื่อนเก้าอี้ให้เธอนั่ง
สุภาพบุรุษสุดๆ ไปเลยพี่ชายเขา
คีรินทร์นั่งก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อยเพื่อทดแทนพลังงานที่สูญเสียไปกับการทำงานตลอดทั้งวันนี้ แม้จะพยายามไม่สนใจอีกสามชีวิตที่ร่วมโต๊ะอาหาร แต่ถึงอย่างนั้นภาพที่คีรีคอยตักอาหารให้ร้อยรักอย่างเอาอกเอาใจก็มีให้เห็นอยู่ตลอด เล่นเอาแม่ของเขานั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างพอใจ
“ผมอิ่มแล้ว ขอตัวก่อนนะครับ” คีรินทร์เอ่ยปากหลังยกน้ำขึ้นดื่มจนหมดแก้ว ก่อนจะลุกจากเก้าอี้
“อะไร ทำไมอิ่มไวจังล่ะตาผา”
“ผมกินไปสองจานแล้วนะครับแม่” ชายหนุ่มบอกมารดาที่มัวแต่สนใจพี่ชายกับร้อยรักพลางส่ายศีรษะ
“อ้าวเหรอ” ฉายรวีทำหน้าเหลอหลา
คีรินทร์หัวเราะน้อยๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องครัวตรงไปที่สวนหลังบ้านเพื่อสูบบุหรี่และคิดอะไรเรื่อยเปื่อยเหมือนเช่นทุกวัน กระทั่งบุหรี่หมดมวนก็ค่อยเดินกลับเข้าบ้าน
“พี่ภูกับแม่ไปไหนเหรอครับ” คีรินทร์ถามหญิงสาวที่นั่งดูโทรทัศน์และรับประทานผลไม้อยู่เพียงลำพัง
“คุณภูขอตัวไปคุยโทรศัพท์กับลูกค้าน่ะค่ะ ส่วนคุณน้ากำลังเก็บกวาดครัว ฉันจะช่วยท่านก็ไม่ยอม แถมยังไล่ให้เอาอาหารว่างออกมานั่งกินที่ห้องรับแขกระหว่างรอ กินด้วยกันสิคะคุณผา”
ว่าพลางเลื่อนจานผลไม้ไปวางตรงหน้าคีรินทร์ที่ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตัวข้างๆ
“ขอบคุณครับ” คีรินทร์ยิ้มและปรายตามองอีกฝ่ายอย่างชั่งใจเล็กน้อย “คือผมอยากถามอะไรคุณรักสักหน่อย ไม่ทราบว่าสะดวกคุยไหมครับ”
“ค่ะ” ร้อยรักตอบอย่างไม่ลังเล
“คุณกับพี่ภูตกลงปลงใจคบกันหรือยังครับ”
คำถามตรงๆ ไม่มีการอ้อมค้อมให้เสียเวลาทำเอาคนถูกถามถึงกับนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับด้วยท่าทีเขินอาย
“แหม ยังหรอกค่ะ เราเพิ่งคุยกันได้แค่อาทิตย์เดียวเอง”
“แล้วคุณคิดว่าพี่ภูเป็นยังไงบ้างครับ”
ร้อยรักทำท่าคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับด้วยรอยยิ้มสดใส
“ก็ดีนะคะ เป็นผู้ชายที่อ่อนโยน อบอุ่น แล้วก็เป็นสุภาพบุรุษมากๆ”
“พูดแบบนี้ก็แสดงว่าหลงเสน่ห์พี่ภูแล้วแน่ๆ” คีรินทร์ล้อเสียงกลั้วหัวเราะ ทั้งที่ในใจเริ่มจะกังวลและเป็นห่วงความรู้สึกของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ไม่น้อย
ถ้าสุดท้ายคีรีเลือกเธอก็ดีไป แต่ถ้าไม่ล่ะ
“ผมไม่ได้อยากก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของคุณกับพี่ภูหรอกนะครับ แต่แค่อยากบอกว่า เวลารักใครก็ควรเผื่อใจไว้เจ็บด้วย ผิดหวังมาจะได้ไม่ต้องเจ็บหนัก”
ร้อยรักเงยหน้ามองคนที่เตือนด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่เธอสัมผัสได้ว่าเขาเตือนเพราะเป็นห่วงจริงๆ ไม่ใช่พูดเพื่อยุแหย่ แล้วพยักหน้ารับ
“ค่ะ”
“สองคนนี้คุยอะไรกันอยู่เอ่ย”
เสียงทักที่ดังมาจากด้านหลังทำให้ร้อยรักตื่นจากภวังค์ความคิดเรื่องที่คีรินทร์เอ่ยเตือน ส่วนคีรินทร์นั้นหยิบแอปเปิลในจานขึ้นมาหนึ่งชิ้นแล้วลุกขึ้น
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่เห็นคุณรักนั่งอยู่คนเดียวเลยมานั่งคุยเป็นเพื่อนและกินไอ้นี่ไปด้วย”
ชายหนุ่มชูแอปเปิลในมือให้พี่ชายดูแล้วกัดกิน ก่อนจะเดินขึ้นห้องไป
คีรีมองตามหลังของน้องชายด้วยแววตาฉายประกายกังวลเล็กน้อย ก่อนจะหันมาถามร้อยรัก
“น้องชายผมคงไม่พูดอะไรแปลกๆ ให้คุณฟังใช่ไหมครับ”
“ไม่นี่คะ คุณผาแค่มาถามว่า...เอ่อ...พวกเราคบกันอยู่หรือเปล่า แต่ฉันก็ปฏิเสธไปแล้วนะคะ”
ร้อยรักรีบอธิบายให้ชายหนุ่มฟังอย่างเป็นกังวล กลัวเขาจะหาว่าเธอเออออไปเองหรือเปล่า แต่แล้วคำพูดที่ย้อนกลับมาทำให้เธอถึงกับอึ้ง
“ถ้าผมขอคบกับคุณจริงๆ คุณจะยอมคบกับผมดูไหมล่ะครับ”
“คุณภูพูดเล่นใช่ไหมคะเนี่ย” ร้อยรักถามเสียงกลั้วหัวเราะกลบเกลื่อนความอาย และด้วยความไม่แน่ใจเธอจึงพยายามทำหน้าให้นิ่งทั้งที่หัวใจกำลังเต้นรัวเป็นกลอง
“เรื่องแบบนี้เขาพูดเล่นกันได้ด้วยเหรอครับ” คีรีถามกลับด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนอย่างเช่นทุกครั้ง
“ก็ไม่รู้สิคะ” ร้อยรักตอบเสียงแผ่ว รู้สึกว่ามือไม้เริ่มเกะกะจนต้องยกขึ้นมาจับแก้มจับต้นคอจับผมของตัวเองไปทั่ว
“แล้วถ้าผมบอกว่าผมพูดจริงๆ ล่ะ คุณจะว่ายังไง” คีรีดึงมือบางมากุมพลางจ้องตาหญิงสาวด้วยสีหน้าจริงจัง ถึงกระนั้นก็ยังคงดูอ่อนโยนอบอุ่นตามแบบฉบับของเขา
“เอ่อ...ก็...ถ้าคุณคิดว่าฉันคือผู้หญิงที่ใช่สำหรับคุณก็...ยินดีค่ะ” ร้อยรักที่อายจนหน้าแดงก่ำตอบรับด้วยน้ำเสียงติดขัด
“ขอบคุณครับ” คีรีบอกอย่างดีใจพลางดึงร่างบอบบางเข้าไปกอด แต่พอรู้ตัวว่าไม่เหมาะสมก็รีบดันร้อยรักออกห่าง “ขอโทษทีครับ พอดีผมดีใจมากไปหน่อย”
“ไม่เป็นไรค่ะ” ร้อยรักบอกเสียงกลั้วหัวเราะสดใส ไม่มีท่าทีโกรธเคืองอย่างที่อีกฝ่ายกังวล หากแต่เธอกลับรู้สึกชื่นชมชายหนุ่มเพิ่มมากยิ่งขึ้น จะมีผู้ชายสักกี่คนที่ยอมเอื้อนเอ่ยคำขอโทษหลังกอดผู้หญิงที่ตอบรับคบกันเป็นแฟน
“ผมดีใจนะที่วันนั้นยอมไปพบคุณตามความต้องการของแม่”
“ฉันก็เหมือนกันค่ะ”
ร้อยรักอมยิ้มเขิน พลอยทำให้คีรีรู้สึกเขินไปด้วย ก่อนเขาจะยกนาฬิกาขึ้นมาดูแล้วถอนหายใจ เมื่อรู้สึกว่าเวลามันช่างเดินไวเสียเหลือเกิน
“เสียดายจัง คงต้องไปส่งคุณกลับบ้านละ ไม่อย่างนั้นหากผิดเวลา เดี๋ยวคุณน้าจะไม่ให้คุณมาคบกับผม”
ได้ยินอย่างนั้นร้อยรักถึงกับหัวเราะเสียงใส
“ไม่มีทางหรอกค่ะ บอกแล้วไงคะว่าท่านชอบคุณมาก”
“งั้นต้องพิสูจน์ เดี๋ยวถ้าไปถึงบ้านคุณแล้ว ผมจะบอกเรื่องของเรา ดูสิ ท่านจะให้ไม้หน้าสามกับผมหรือเปล่า”
“ค่ะ” ร้อยรักหัวเราะอย่างชอบใจอีกครั้งก่อนจะลุกจากโซฟา “ฉันขอไปลาคุณน้าก่อนนะคะ”
“ไปครับ” คีรีเดินเคียงคู่ร้อยรักเข้าไปในห้องครัว ครู่หนึ่งก็เดินกลับออกมาเพื่อพาหญิงสาวกลับบ้านโดยมีสายตาสองคู่มองตามไปอย่างไม่คลาดคลาหากแต่ต่างความรู้สึก
คู่หนึ่งมองตามด้วยรอยยิ้ม รู้สึกมีความสุขที่ลูกชายคนโตยอมทำตามความต้องการของตน แต่อีกคู่หนึ่งกลับมองตามไปอย่างกังวล ถ้าสุดท้ายคีรีตกลงปลงใจคบหากับร้อยรัก และเรื่องที่เก็บงำเอาไว้แดงขึ้นมา คนที่น่าสงสารที่สุดก็คงเป็นร้อยรัก ผู้หญิงที่ไม่มีดวงในเรื่องความรักเอาเสียเลย