บทย่อ
ร้อยรัก ผู้เชื่อมั่นในรัก แต่ไฉนเลยกลับถูกโชคชะตากลั่นแกล้งอยู่ร่ำไปคนที่คิดว่าใช่ กลับไม่ใช่ สุดท้ายยังต้องเข้าพิธีวิวาห์กับน้องชายของเจ้าบ่าว! ‘นี่คุณมานอนบนนี้ตั้งแต่เมื่อไร’ร้อยรัก ถามเสียงห้วนแล้วก้มสำรวจตัวเองตามสัญชาตญาณ‘ก็ตั้งแต่เมื่อคืนนั่นแหละครับ’‘ฉะ...ฉันนึกว่าคุณจะนอนข้างล่างเสียอีก’คีรินทร์ หัวเราะขำ แล้วตอบกลับตรงๆ‘ฝันไปเถอะ เหนื่อยจะตายมีที่นอนนุ่มๆ จะไปนอนที่พื้นเพื่อ...’‘ก็...เราไม่ได้เป็นอะไรกัน และคิดว่าคุณจะเป็นสุภาพบุรุษกว่านี้เสียอีก’‘ตื่นจากมโนได้แล้วคุณ คนที่แต่งงานกับคุณไม่ใช่ผู้ชายอ่อนโยน แสนดีและเป็นสุภาพบุรุษอย่างที่ต้องการหรอกนะมีแต่ผม...ผู้ชายที่สันดานไม่ดีคนนี้แหละ’
ตอนที่ 1
“ผมรักคุณนะ”
คำบอกรักแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้ร้อยรักที่กำลังจะก้าวลงจากรถถึงกับชะงัก แล้วหันมายิ้มหวานมองคนที่เพิ่งบอกรักอย่างขวยเขิน
“มีอะไรหรือเปล่าคะ จู่ๆ ก็มาบอกรักกันแบบนี้” ร้อยรักถามเสียงกลั้วหัวเราะกลบเกลื่อนความอาย
“เปล่า ก็แค่รู้สึกว่าช่วงนี้เราไม่ค่อยได้เจอหรือไปไหนมาไหนด้วยกันเลย ทั้งที่ทำงานบริษัทเดียวกันแท้ๆ”
“ฉันรู้ค่ะ ว่าคุณงานยุ่งแค่ไหน ไหนจะงานตัวเอง ไหนจะต้องดูแลสอนงานคุณเนตรอีก”
ร้อยรักบอกอย่างเข้าใจ ไม่แสดงท่าทีหึงหวงอย่างงี่เง่าให้แฟนหนุ่มเห็น แม้ลึกๆ แล้วเธอจะกังวลและแอบหึงหวงบ้าง เวลาเห็นชวลิตกับเนตรอัปสรซึ่งเป็นหลานสาวเจ้าของบริษัทที่เพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่นานมีท่าทีสนิทสนมกัน แต่ด้วยความไว้ใจและเป็นคนไม่จู้จี้จุกจิกจึงได้แต่เก็บความรู้สึกนั้นเอาไว้ในใจ ไม่คิดจะพูดออกไป
“และวันนี้คุณก็พาฉันไปกินข้าวดูหนังแล้วด้วย”
“คุณนี่เป็นผู้หญิงในอุดมคติของผู้ชายหลายๆ คนเลยนะ ถ้าเป็นคนอื่นป่านนี้ผมคงโดนวีนและเหวี่ยงจนไปไม่เป็นแล้วมั้ง โทษฐานที่ไม่มีเวลาให้เธอ”
ชวลิตคว้ามือบางขึ้นมาแล้วก้มลงจุมพิตอย่างนุ่มนวล ชายหนุ่มเงยหน้ามองแฟนสาวที่เสหลบสายตาพร้อมกับอมยิ้ม
“เพราะอย่างนี้ไงผมถึงรักคุณมาก ถ้าเป็นไปได้คนที่ผมอยากใช้ชีวิตร่วมกันก็คือคุณนี่แหละ”
คำพูดราวกับขอแต่งงานกลายๆ ทำเอาร้อยรักถึงกับยกมือข้างที่ว่างขึ้นมาปิดปากด้วยความตื่นเต้นดีใจ แต่ก่อนที่หญิงสาวจะทันได้เอ่ยถาม คนที่เพิ่งรู้ตัวว่าหลุดปากพูดอะไรออกไปก็รีบพูดตัดบท
“เอ่อ...ผมว่าดึกแล้ว คุณเข้าบ้านเถอะ พรุ่งนี้เจอกันที่ทำงาน ฝันดีนะครับ”
“ค่ะ ฝันดีค่ะ” ร้อยรักที่ยังคงฝันหวานกับคำพูดก่อนหน้าของแฟนหนุ่มยิ้มรับแล้วก้าวลงจากรถ เธอปิดประตูก่อนจะโบกมือลา จากนั้นก็เดินเข้าบ้านไปด้วยรอยยิ้มอันเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขและความฝัน
“ประตู!”
เสียงตะโกนเตือนดังลั่นทำให้เท้าที่กำลังจะก้าวต่อหยุดชะงักพร้อมกับที่สายตาทอดมองตรงหน้า จึงได้เห็นภาพขอบประตูที่ถูกเปิดทิ้งเอาไว้อยู่ห่างไม่ถึงสิบเซนติเมตร ร้อยรักส่งยิ้มอายๆ ให้คนเป็นแม่
“ขอบคุณค่ะ”
“เป็นอะไรมากไหมเนี่ยลูกสาวฉัน เดินยิ้มตาลอยไม่ดูตาม้าตาเรือเลย” กรองแก้วที่นั่งดูละครหลังข่าวอยู่บ่นพลางลุกจากโซฟาแล้วเดินมาปิดประตูบ้าน
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ แค่เจอเรื่องดีๆ มานิดหน่อย” หญิงสาวเอ่ยยิ้มๆ ทว่าหน้าตาบ่งบอกเลยว่ามันไม่ได้นิดหน่อยอย่างที่ปากพูด
“แฟนขอแต่งงานหรือไง”
โดนพูดจี้ใจดำเช่นนั้นทำเอาร้อยรักถึงกับทำหน้าเหลอหลา ก่อนจะรีบละล่ำละลักแก้ตัว
“ปะ...เปล่าซะหน่อย แม่ก็ พูดอะไรก็ไม่รู้ พี่เอแค่เกริ่นๆ เท่านั้นเองค่ะ”
แม้ตอนแรกจะเอ่ยแก้ตัว แต่สุดท้ายก็หนีไม่พ้นเปิดปากบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ผู้เป็นแม่รับรู้เหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา ไม่เคยปิดบังเรื่องอะไรได้สักครา แม้แต่เรื่องการคบหาดูใจใครสักคน แม่ของเธอก็รู้หมด เป็นแบบนี้ตั้งแต่สมัยมัธยมมาจนถึงปัจจุบัน
“นี่แค่เกริ่นๆ นะ ถ้าขอแต่งงานจริงๆ คงไม่ได้แค่จะเดินชนประตูแล้วละ” กรองแก้วว่าพลางส่ายหน้า
“แม่ก็พูดเวอร์ไป ไม่เอาไม่พูดด้วยแล้ว รักไปอาบน้ำนอนดีกว่า”
ว่าแล้วก็ลุกขึ้นคว้ากระเป๋าสะพายก่อนจะเดินฮัมเพลงขึ้นห้องไปอย่างอารมณ์ดีกว่าทุกวัน
กรองแก้วได้แต่มองตามหลังแล้วส่ายหน้า ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นกับคำเกริ่นขอแต่งงานที่ลูกสาวเล่าให้ฟังเลยสักนิด ตราบใดที่ยังไม่ใช่การขอแต่งงาน ก็คงได้แต่หวังว่าความรักของร้อยรักในครั้งนี้จะลงเอยด้วยดี เพราะตนไม่อยากฟังถ้อยคำที่ว่า ‘แฟนรักทิ้งรักไปแล้วค่ะแม่’ อีกแล้ว ฟังทีไร ใจของคนเป็นแม่ก็เจ็บหนึบทุกครา คราวนี้ตนขอฟังอะไรที่มันดีๆ บ้างสักครั้ง
เมื่อวานยังรู้สึกว่ามันเป็นวันที่ดีอยู่เลย ทว่าความรู้สึกเหล่านั้นก็พลันหายวับไปกับตาเมื่อแสงอรุณของวันใหม่มาเยือน เพราะแทนที่จะเป็นวันที่ดีพ้องกับเสียงเรียกวันศุกร์ ตรงกันข้ามมันกลับเป็นวันซวยซ้ำซวยซ้อนของร้อยรัก เริ่มจากนาฬิกาไม่ปลุกจนเธอตื่นสาย พอออกจากบ้านนั่งแท็กซี่หวังไปถึงที่ทำงานให้เร็วที่สุด กลับต้องลงกลางทางเนื่องจากยางแตก เสียเวลาเรียกคันใหม่ที่กว่าจะได้ก็เล่นเอาเธอเหงื่อตก
“จะทันไหมนี่” ร้อยรักบ่นอย่างหัวเสียขณะลงจากรถแท็กซี่แล้วรีบวิ่งเข้าบริษัทเพื่อไปตอกบัตรเข้างาน ทันใดนั้นเองเธอก็สะดุดล้มแทบหัวคะมำเมื่อจู่ๆ ส้นรองเท้าหัก!
“บ้าเอ๊ย!” หญิงสาวสบถพร้อมกับถอดรองเท้ามาถือแล้ววิ่งต่อ สุดท้ายก็สามารถตอกบัตรเข้างานทันเวลาแบบฉิวเฉียด เล่นเอาเจ้าตัวถึงกับหอบแฮก เดินไปที่โต๊ะทำงานด้วยท่าทีอ่อนระโหยโรยแรง
“ยายรัก...”
เสียงของธารีเพื่อนสนิทในแผนกเรียกร้อยรักให้เงยหน้าขึ้นมายิ้มรับสีหน้าซีดเซียว
“สภาพแบบนี้มันคืออะไร” ถามพลางกวาดสายตามองคนตรงหน้าที่เรียกได้ว่าโทรมสุดๆ ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า แถมในมือยังถือรองเท้าส้นหัก ดูสภาพแล้วราวกับเพิ่งไปทะเลาะกับใครมา
“ไม่รู้สิ รู้แค่ว่าวันนี้ซวยแต่เช้าเลย”
“มิน่าถึงมาช้า ฉันกำลังจะโทร.หาอยู่พอดี”
“รีบร้อนขนาดนั้นเลยเหรอ ว่าแต่พวกนั้นมีอะไรกันน่ะ” ร้อยรักพยักพเยิดไปที่กลุ่มเพื่อนในแผนกซึ่งยังยืนออรวมกลุ่มกันไม่แยกย้ายทั้งที่อีกไม่กี่นาทีก็จะได้เวลาทำงานแล้ว
“คือ...”
ธารีเอ่ยได้เพียงเท่านี้ก็มีเสียงของใครคนหนึ่งในกลุ่มที่ยืนอออยู่ไม่ห่างแล้วมองเห็นร้อยรักดังขัดขึ้น
“นั่นยายรักนี่”
เสียงนั้นเรียกทุกคนในกลุ่มให้พร้อมใจกันหันมามองหญิงสาวเป็นตาเดียว
ร้อยรักเลิกคิ้ว พยักหน้าน้อยๆ และยิ้มรับอย่างงงๆ เมื่อทุกคนต่างหันมามองเธอ ทว่าไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่าว่าสายตาทุกคู่นั้นทอดมองเธอด้วยความเวทนาสงสาร ไม่ทันที่จะได้เอ่ยถามอะไรให้กระจ่างชัด ร่างเพรียวระหงของเนตรอัปสรก็เดินแหวกวงล้อมแล้วมุ่งตรงมายังเธอโดยมีชวลิตสาวเท้าตามมาไม่ห่าง ซึ่งมันก็เป็นภาพชินตาไปแล้วสำหรับเธอ จึงไม่คิดสงสัยอะไร
“คุณรักมาพอดีเลย การ์ดค่ะ”
เนตรอัปสรยื่นซองสีชมพูให้ด้วยรอยยิ้ม ร้อยรักรับมันไปแล้วถามกลับด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“อย่าบอกนะคะว่ามันคือการ์ดแต่งงาน”
“ค่ะ กะทันหันไปหน่อย แต่เนตรก็ขอเชิญทุกคนนะคะ” หญิงสาวบอกพร้อมกับกวาดสายตามองทุกคนด้วยรอยยิ้มขัดเขินเล็กน้อย
“แหม ยินดีด้วยนะคะ”
พูดพลางเปิดซองแล้วดึงการ์ดออกมาดู ทว่าชื่อเจ้าบ่าวที่ปรากฏหราอยู่บนการ์ดก็ค่อยๆ ลบเลือนรอยยิ้มออกจากใบหน้าของร้อยรัก หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองชวลิตและทุกคนที่ยืนนิ่งเงียบ ยกเว้นเนตรอัปสรคนเดียวที่ยังคงมีรอยยิ้มประดับอยู่เต็มวงหน้า
“ชวลิต พิพัฒน์”
ร้อยรักอ่านชื่อและนามสกุลของเจ้าบ่าวราวกับละเมอ ดวงตากลมโตกะพริบถี่ๆ มองเจ้าของชื่ออย่างต้องการคำตอบ แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือความเงียบ
“มันคืออะไร”
เสียงสั่นเครือที่ดังขึ้นเล่นเอาธารีซึ่งยืนมองอยู่ข้างๆ ทนไม่ไหวต้องเข้าไปโอบและบีบไหล่ที่สั่นสะท้านของเพื่อนรักหวังปลอบประโลม ส่วนคนอื่นๆ ได้แต่ยืนมองเงียบๆ ก่อนจะแยกย้ายไปโต๊ะใครโต๊ะมันราวกับนัดหมายเอาไว้โดยไม่มีใครกล้าพูดอะไรมาก เพราะอีกฝ่ายเป็นถึงหลานสาวเจ้าของบริษัท
“คุณรัก มีอะไรหรือเปล่าคะ” เนตรอัปสรถามพลางเลิกคิ้วมองร้อยรักอย่างงุนงงระคนสงสัยเมื่อเห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าราวกับจะร้องไห้ยามอ่านการ์ด
และตอนนี้เองที่ชวลิตไม่สามารถทนนิ่งเฉยได้อีกต่อไป ไม่อย่างนั้นทุกอย่างคงพังลงในวันนี้
“ไม่มีอะไรหรอกครับ คงเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันบางอย่าง ผมขอคุยและทำความเข้าใจกับรักสักครู่นะครับ” ชวลิตบอกว่าที่เจ้าสาวของตนยิ้มๆ คล้ายกับไม่มีอะไรร้ายแรง ก่อนจะคว้าแขนร้อยรักให้เดินตามออกไปข้างนอก
ทันทีที่อยู่กันตามลำพัง ร้อยรักก็ขว้างการ์ดในมือใส่หน้าคนรัก ใช่! ชวลิตคือคนรักของเธอและเพื่อนร่วมงานทุกคนต่างก็รู้ดี ยกเว้นเนตรอัปสรเพราะรายนั้นเพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่ถึงสองเดือนเลย
“คุณบอกมาสิว่านี่มันอะไร” ร้อยรักถามเสียงเกรี้ยวกราด น้ำตาที่กลั้นเอาไว้ไหลออกมาเป็นทาง
“ผมจำเป็น”
“จำเป็น!”
“ใช่ ผมไม่มีทางเลือก คุณเนตรท้อง และถ้าผมไม่รับผิดชอบ คุณคิดดูสิว่าจะเกิดอะไรขึ้น” ชวลิตอธิบายด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเคร่งเครียดเหมือนกับว่าจำใจรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้น
“เธอท้องกับคุณ?”
ชวลิตพยักหน้ารับพร้อมกับเดินเข้าไปหมายจะดึงมือของแฟนสาวมากุม แต่ร้อยรักก็สะบัดทันทีที่โดนสัมผัส
“แต่ผมยังรักคุณนะ”
เผียะ!
ร้อยรักฟาดฝ่ามือเข้าที่ซีกแก้มขวาของชายหนุ่มสุดแรง ถ้าคำบอกรักถูกพูดก่อนหน้าที่จะรู้เรื่องนี้เธอคงเขินอายและหัวใจพองโตไปทั้งวัน แต่ตอนนี้มันไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว ตรงกันข้ามกลับรู้สึกเหมือนมีใครเอามีดมากรีดตรงกลางหัวใจให้เป็นแผลเหวอะหวะ
“คำพูดมักง่าย”
“แต่ผม...”
“พอ! ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว” ร้อยรักตะคอก มองหน้าผู้ชายที่เธอรักและหวังจะสร้างอนาคตร่วมกันอย่างเจ็บปวด มันจบแล้วกับเวลาหนึ่งปีที่คบกันมา
“ระหว่างเราขอให้มันจบลงแค่นี้ ขอบคุณสำหรับการเลี้ยงส่งเมื่อวาน” ร้อยรักปาดน้ำตาแล้วหมุนตัวเดินกลับไปยังโต๊ะทำงานเพื่อเอากระเป๋าและรองเท้าพร้อมกับฝากธารีให้ช่วยลางานให้
“ยายธาร ฉันฝากลางานให้หน่อยนะ”
ธารีพยักหน้ารับโดยไม่ซักไซ้อะไรให้มากความด้วยเข้าใจสถานการณ์ดี
“กลับไปพักให้สบายใจเถอะ”
ร้อยรักพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มฝืดเฝื่อนแล้วหมุนตัวจะเดินออกจากห้อง แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นเนตรอัปสรมายืนดักรออยู่
“คุณกับเอมีเรื่องอะไรกันหรือเปล่าคะ”
คนถูกถามหลับตาลงแล้วสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ ก่อนจะลืมตาขึ้นมองเนตรอัปสรที่มีทีท่าไม่รู้เรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับชวลิตเลยสักนิด
“ถ้าอยากรู้อะไรเชิญถามว่าที่สามีของคุณดีกว่านะคะ ฉันขอตัว”
พูดจบก็เดินผละออกไปทันที แม้ว่าระหว่างทางจะสวนกับชวลิตที่ก้าวเท้ากลับเข้ามาก็ไม่คิดปรายตามองชายหนุ่มที่ตอนนี้ได้ชื่อว่าเป็นอดีตคนรักให้เจ็บช้ำใจไปมากกว่านี้ ขอให้ทุกอย่างจบในวันศุกร์ วันที่เธอไร้ซึ่งความสุข มีแต่ความทุกข์และความเจ็บปวด
ไม่น่าเชื่อว่าคนคนหนึ่งจะสามารถนั่งร้องไห้ไม่ลุกไปไหนได้ต่อเนื่องนานหลายชั่วโมงเหมือนอย่างเช่นร้อยรัก โดยตลอดทั้งวันเธอพยายามหาวิธีสงบสติอารมณ์โดยการไปเดินเล่นในที่ที่มีคนพลุกพล่านอย่างในห้างสรรพสินค้า แต่สุดท้ายก็เปล่าประโยชน์เพราะยิ่งคนเยอะก็ยิ่งรู้สึกรำคาญใจ จึงต้องนั่งรถมาที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่งติดแม่น้ำเจ้าพระยาที่ไม่เพียงแค่บรรยากาศดีแต่เป็นยังสถานที่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำดีๆ ของเธอกับอดีตคนรัก
เพราะเมื่อหนึ่งปีก่อนใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ซึ่งทำหน้าที่คอยบดบังแสงสีทองของดวงตะวันที่กำลังจะลาลับขอบฟ้า ชวลิตได้ขอเธอเป็นแฟน!
ร้อยรักนั่งปล่อยให้น้ำตาไหลเป็นทางอยู่อย่างนั้นไม่ยอมไปไหน กระทั่งหูแว่วเสียงคนพูดคุยกันและเสียงคนวิ่งออกกำลังกาย บ่งบอกว่าช่วงเวลาเย็นได้มาถึงแล้ว ถึงอย่างนั้นความเศร้าและความเจ็บปวดก็ยังคงเกาะกินหัวใจไม่จางหาย น้ำตาแห่งความเสียใจยังคงรินไหลเป็นระยะ เธอใช้มือซับหยาดน้ำตาแล้วลุกขึ้นเดินไปเกาะราวเหล็กริมฝั่งแม่น้ำ เงยหน้าขึ้นรับลมเย็นๆ สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ก่อนจะตะโกนออกมา
“ไปตายเลยไป!”
เสียงตะโกนดังลั่นทำให้ผู้คนภายในสวนต่างหันมามองเธอเป็นตาเดียวกัน แต่ใช่ว่าร้อยรักจะใส่ใจ เมื่อตะโกนแล้วก็ยืนร้องไห้น้ำตาไหลอยู่อย่างนั้นโดยไม่คิดจะหันไปมองข้างๆ จึงไม่รู้เลยว่าในยามนี้มีชายคนหนึ่งอุตส่าห์เลี่ยงมายืนในที่ที่ไม่มีคนเพื่อสูบบุหรี่ถึงกับสำลักควันไอค่อกแค่ก ทำมวนบุหรี่ที่สูบค้างหล่นลงแม่น้ำ เมื่อจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนด่าให้ไปตาย
วินาทีนั้นชายหนุ่มหันไปมองต้นเสียงด้วยสงสัยว่าด่าเขาหรือไม่ จึงได้พบกับภาพหญิงสาวตาบวมแดงก่ำยืนน้ำตาไหลริน
คีรินทร์ยืนมองเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะผละกายเดินหนี จังหวะนั้นเองหญิงสาวก็เอามือทุบราวเหล็กพร้อมกับด่าทอใครบางคนด้วยท่าทีบ้าคลั่ง
“ไอ้ผู้ชายบ้า! ผู้ชายเลว! ทำไม! ทำไมฉันต้องมาเจอผู้ชายเฮงซวยแบบนี้ด้วย ทำไม...”
คนที่มายืนสูบบุหรี่เห็นแล้วก็เจ็บแทน จนอดไม่ไหวต้องเข้าไปห้าม
“พอเถอะครับคุณ” ชายหนุ่มเข้าไปรั้งมือที่กำลังจะฟาดราวเหล็กซ้ำอีกครั้ง
“นี่มันเหล็กนะ ตีไปคนที่เจ็บก็คือคุณ ไม่ใช่ไอ้ผู้ชายเฮงซวยที่ไหนหรอก”
“อย่ามายุ่ง! คุณไม่มาเป็นฉันไม่มีวันเข้าใจหรอก เมื่อวานเขาบอกรักฉันและพูดเหมือนจะขอฉันแต่งงาน แต่มาวันนี้กลับหนีไปแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่นหน้าตาเฉย เลวไหมล่ะ” เหมือนต้องการหาที่ระบายร้อยรักจึงพรั่งพรูความเจ็บปวดที่อัดอั้นอยู่ในใจให้คนแปลกหน้าฟัง
“เอ่อ...มันก็เลว แต่หวังว่าคุณคงไม่รู้สึกผิดหวังจนอยากจะมากระโดดน้ำฆ่าตัวตายที่นี่หรอกนะ”
“บางทีมันก็น่าคิดนะคุณ”
คำพูดราวกับชี้นำทางนั้นทำให้ร้อยรักที่เอาแต่ก้มหน้ามองราวเหล็กเงยหน้าขึ้นทอดมองแม่น้ำที่เคลื่อนไหวเป็นระลอกคลื่นอย่างหมดอาลัยตายอยากในชีวิต
“เฮ้ย! ไม่เอาน่าคุณ คนนี้ทิ้งก็หาคนใหม่ได้นี่ หน้าตาคุณก็...” คีรินทร์แอบปรายตาพิจารณาสาวผู้โชคร้ายนิดหนึ่งแล้วเอ่ยปลอบต่อ “สวยน่ารักดีอยู่เหมือนกัน หาใหม่ไม่ยากหรอกมั้ง”
“หาใหม่เหรอ มันก็คงจะเหมือนเดิม รู้ไหมตั้งแต่อดีตจนถึงตอนนี้ฉันเป็นฝ่ายโดนทิ้งตลอด ทั้งที่พวกเขาเป็นฝ่ายเข้ามาจีบและบอกรักฉันก่อนแท้ๆ” ร้อยรักคร่ำครวญ แค่นยิ้มให้กับโชคชะตาที่มักเล่นตลกกับหัวใจของเธอ
“ซวยชะมัด”
คีรินทร์ยิ้มแหยพลางบ่นเบาๆ แต่คนข้างๆ กลับหูดีอย่างเหลือเชื่อ เธอหันมามองเขาตาขวาง แต่แค่แวบเดียวเท่านั้นก็หันกลับไปมองแม่น้ำตรงหน้าด้วยสายตาเลื่อนลอยเหมือนเดิม
“ผมว่าคุณกลับบ้านไปสงบสติอารมณ์ดีกว่าไหม อย่ามาคิดฆ่าตัวตายเลย มันจะลำบากคนอื่นเปล่าๆ ไหนจะต้องไปงมศพอืดๆ ของคุณขึ้นมาให้พวกนักข่าวถ่ายภาพ แล้วครอบครัวคุณล่ะ เขาคงจะดีใจหรอกนะที่ต้องมารับรู้ว่าลูกหลานกระโดดน้ำตายเพราะผู้ชายเพียงคนเดียว”
แม้จะไม่รู้ว่าคำพูดเมื่อครู่คือคำปลอบ คำด่า หรือคำประชด แต่มันก็ทำให้ร้อยรักหยุดคิด เป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสะพายดังขึ้น
“แม่...” ร้อยรักเรียกคนที่โทร.เข้ามาเสียงสั่นเครือ น้ำตาที่แห้งเหือดไปก่อนหน้าไหลออกมาราวกับทำนบแตกอีกครั้ง “พี่เอทิ้งรักไปแล้วนะแม่”
คีรินทร์ยืนมองหญิงสาวคร่ำครวญกับแม่ของเธอผ่านโทรศัพท์อยู่เงียบๆ จนกระทั่งเธอวางสายโดยไม่คิดจะหนีไปไหน แม้จะเป็นคนแปลกหน้าที่เพิ่งพบกันแต่เขาก็กลัวเหลือเกินว่าเธอจะกระโดดน้ำฆ่าตัวตายสังเวยความรักไปจริงๆ
“ฉันกลับบ้านก่อนนะคะ...”
“ดีแล้ว” คีรินทร์ตอบรับสั้นๆ อย่างวางใจว่าอีกฝ่ายไม่คิดสั้นแล้ว ก่อนจะเดินผละจากไป
“ขอบ...” ร้อยรักเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นเพียงแผ่นหลังของคนที่มีน้ำใจยืนฟังเธอปรับทุกข์
“อ้าว ไปซะแล้ว ขอบคุณนะคะ”
สิ้นเสียงตะโกนบอก ชายหนุ่มก็ยกมือขึ้นส่งสัญญาณให้หญิงสาวรู้ว่าเขารับรู้แล้ว คีรินทร์ไม่ได้เดินไปไหนไกลหากแต่หลบไปยืนมองหญิงสาวที่เดินออกจากสวนสาธารณะเพื่อกลับบ้านอย่างไม่วางตา และมารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่คนที่เขานัดมาเจอเอ่ยเรียกนั่นแหละ
“ผาคะ มองอะไรอยู่เอ่ย”
เธอถามพลางมองตามสายตาของคีรินทร์แล้วหันมาตีหน้าบึ้งใส่ เมื่อเห็นว่าสายตาของชายหนุ่มโฟกัสไปที่หญิงสาวคนหนึ่ง
“อย่าบอกนะคะว่าระหว่างรอนิลคุณจีบผู้หญิงอื่น”
“เปล่า แค่ฆ่าเวลาด้วยการช่วยผู้หญิงซื่อบื้อคนหนึ่งเท่านั้นเอง ไปกันเถอะ”