ตอนที่ 3
นานแรมเดือนแล้วที่ร้อยรักมีสถานะเป็นคนตกงาน แม้ที่ผ่านมาจะถูกเรียกไปสัมภาษณ์บ้าง แต่หลังจากนั้นก็เงียบหายราวกับสายลม ทว่าวันหนึ่งจู่ๆ ก็มีโทรศัพท์เรียกตัวไปทำงานสร้างความดีใจให้กับหญิงสาวจนกรีดร้องกระโดดโลดเต้นราวกับถูกรางวัลที่หนึ่ง ทำเอาคนเป็นแม่ที่อยู่ในบ้านรีบวิ่งออกมาดูด้วยความตกใจ และพอรู้สาเหตุที่ทำให้ลูกสาวกรีดร้องลั่นบ้านเท่านั้นก็มองค้อนตาคว่ำ
“ร้องซะนึกว่ามีอะไร ได้งานก็ดีแล้ว แต่ไปทำงานนะ ห้ามไปเหล่หนุ่มที่ไหนละ”
“โธ่...แม่ รู้สึกจะหวงรักไว้ให้ลูกชายของเพื่อนแม่เสียเหลือเกินนะคะ ถามความสมัครใจของทางโน้นแล้วหรือยัง” ร้อยรักแสร้งกระเซ้าถามอย่างอารมณ์ดี ไม่คิดมากเรื่องความรักอีกต่อไป สำหรับเธอในตอนนี้จะมีหรือไม่มีคนรักก็ได้ทั้งนั้น
“โอ๊ย! รายนั้นไม่มีปัญหาหรอก แม่เขาสั่งอะไรก็ได้หมดแหละ”
“เป็นผู้ชายประเภทลูกแหง่หรือเปล่าคะเนี่ย” ร้อยรักทำหน้าแหยงๆ
“ใช่ที่ไหนกันเล่า เขาแค่รักแม่มากเลยเชื่อฟังแม่ก็เท่านั้น ลูกแบบนี้ดีจะตาย”
“รอให้ทุกอย่างลงตัวก่อนนะคะ แล้วรักจะไปพบเขาตามที่แม่ต้องการ”
“โอเค พร้อมวันไหนก็บอกแม่มาได้เลย แม่จะนัดให้ ถ้ารักได้เจอ จะรู้ว่าผู้ชายที่ดีเพียบพร้อมยังมีอยู่บนโลกใบนี้”
ท้ายประโยคยังไม่วายอวด ร้อยรักปรายตามองคนเป็นแม่แล้วหัวเราะน้อยๆ อย่างอดไม่ได้
ตอนนี้เธอสามารถหัวเราะได้เต็มเสียงแล้ว ความเศร้าและความเจ็บปวดที่ถูกชวลิตหักหลังค่อยๆ เลือนหายไปกับกาลเวลาและความยุ่งวุ่นวายในการหางานทำ กอปรกับเธอไม่ได้เจอและไม่ได้ติดต่อพูดคุยกับชายหนุ่มอีกเลย สาเหตุหนึ่งก็มาจากเธอเปลี่ยนเบอร์ใหม่ ไม่อย่างนั้นชวลิตคงโทร.มากวนไม่หยุดหย่อน นอกจากนี้เธอยังให้ธารีไปขู่ว่าถ้ายังมายุ่งกับเธอไม่เลิก จะเล่าเรื่องทุกอย่างให้เนตรอัปสรฟัง นั่นถือว่าได้ผลชะงัด
แม้จะเริ่มต้นงานในที่ใหม่ แต่ด้วยประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาทำให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น อีกทั้งที่ทำงานดี เพื่อนร่วมงานก็ดี จึงไม่มีอะไรที่ต้องกังวล หลังจากเลิกงานในเย็นวันศุกร์ร้อยรักก็กลับบ้านแล้วเดินเข้าไปหามารดาที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะหน้าบ้าน
“ถ้าไม่ได้ไปไหน วันหยุดนี้พวกเรานัดเจอเพื่อนของแม่ดีไหมคะ” ร้อยรักยักคิ้วให้คนเป็นแม่ด้วยท่าทียียวนเมื่อเห็นอีกฝ่ายมองมาด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ
“แน่นะ”
“ค่ะ” ร้อยรักเดินไปนั่งบนเก้าอี้ มือบางปลดกระเป๋าสะพายแล้ววางไว้บนโต๊ะ ก่อนจะบิดขี้เกียจและหยิบขนมที่คนเป็นแม่วางเอาไว้มาใส่ปาก
“ดีเลย” กรองแก้วบอกพลางวางหนังสือและถอดแว่น เปิดยิ้มกว้าง “แม่ดีใจนะที่วันนี้ลูกของแม่กลับมาเป็นคนเดิมแล้ว”
“ส่วนหนึ่งก็เพราะแม่นั่นแหละค่ะ” หญิงสาวหันไปยิ้มกว้างจนตาหยีให้คนที่เป็นเหมือนกำลังใจสำคัญของตน
“ก็รักเป็นลูกของแม่นี่ เชื่อแม่...แม่คนนี้จะเอาแต่สิ่งดีๆ ที่คัดแล้วคัดอีกมาให้ลูก”
“ค่ะรักจะเชื่อแม่”
“น่ารักที่สุด ว่าแล้วแม่ขอตัวไปโทร.หาน้าฉายก่อนนะจ๊ะ เอาวันไหนดี เสาร์หรืออาทิตย์ดีนะ” กรองแก้วพูดกับตัวเองอย่างอารมณ์ดีระคนตื่นเต้น
ร้อยรักมองตามคนเป็นแม่แล้วยิ้มน้อยๆ สมองอดที่จะจินตนาการถึงผู้ชายแสนดีที่รักแม่มากอย่างลูกชายของเพื่อนแม่ไม่ได้
รักแม่ยอมแม่ นิสัยแบบนี้นึกออกอย่างเดียวคือภาพผู้ชายผอมกะหร่อง ใส่เสื้อติดกระดุมทุกเม็ด หวีผมเรียบแปล้ และต้องใส่แว่นหนาเตอะ
เกินคาด...
ร้อยรักครางในใจเมื่อเห็นลูกชายของเพื่อนแม่ เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าในชีวิตจริงจะพบผู้ชายคนใดใส่แว่นแล้วยังจะดูดีมากๆ ยกเว้นดารานักแสดง แต่วันนี้เธอพบแล้ว
“นี่หนูรักลูกสาวของน้าแก้วที่แม่เล่าให้ฟังอยู่บ่อยๆ หนูรักจ๊ะ นี่ตาภูลูกชายของน้าเองจ้ะ”
เสียงแนะนำตัวให้หนุ่มสาวทั้งสองรู้จักกัน ทำให้ร้อยรักตื่นจากภวังค์ความหล่อ ไม่ใช่สิ ตื่นจากภวังค์ความคิด แล้วยกมือไหว้ชายหนุ่มหน้าตาดีตรงหน้า
“สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีครับ น่ารักกว่าที่แม่พูดไว้เสียอีกนะครับ”
คีรีเอ่ยชมพลางส่งยิ้มให้ ทำเอาร้อยรักที่นั่งอยู่อีกฟากโต๊ะถึงกับยิ้มขวยเขิน
“แหม ตาภูนี่ปากหวานจริงๆ นะจ๊ะ” กรองแก้วปิดปากหัวเราะน้อยๆ พลางพยักพเยิดให้เพื่อนรักดูปฏิกิริยาของคนทั้งคู่ แล้วยักคิ้วหลิ่วตาอมยิ้มให้กันอย่างพออกพอใจ
“ขอบคุณค่ะ”
คุณก็หล่อกระชากใจกว่าที่คาดเหมือนกันค่ะ
ร้อยรักต่อประโยคนี้ในใจแล้วก้มหน้าอมยิ้มอย่างขวยเขิน รู้สึกโชคดีเหลือเกินที่เธอตัดสินใจมาพบเขาในวันนี้ ทำให้ชายหนุ่มในมโนภาพของเธอหายวับไปกับตา เหลือไว้เพียงชายตัวจริงที่รูปงามอย่างคาดไม่ถึง
“ฉันว่าเราสั่งอาหารกันดีกว่านะ กินเสร็จแล้วก็ว่าจะวานเธอให้พาไปทำธุระสักหน่อยจะได้ไหม”
พูดจบฉายรวีก็ขยิบตาให้เพื่อนรักอย่างรู้กัน เพราะธุระที่ว่านั้นใช่ว่าจะมีอยู่จริง มันก็แค่การเปิดโอกาสให้สองหนุ่มสาวได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง และไม่ต้องพูดให้เปลืองเวลากรองแก้วที่แสนจะรู้ใจเพื่อนรักประหนึ่งเข้าไปนั่งอยู่กลางใจก็รีบรับมุกทันที
“อ้อ ได้สิ ฉันว่างอยู่พอดี เอาละรัก เลือกได้หรือยังว่าจะกินอะไร”
“แม่สั่งเถอะค่ะ รักกินอะไรก็ได้” หญิงสาวบอกปัดอย่างรู้สึกอิ่มตื้อ ไม่รู้ว่าอิ่มความหล่อหรืออิ่มทิพย์มาจากไหน จู่ๆ ก็รู้สึกอิ่มตื้อขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“งั้นน้ารบกวนภูสั่งเผื่อน้าและน้องด้วยเลยละกัน ยายรักชอบพวกเมนูปลาน่ะ”
“ได้ครับ งั้นเอาเป็นปลากะพงนึ่งมะนาวดีไหมครับ”
ท้ายประโยคชายหนุ่มหันมาถามคนชอบกินปลาด้วยรอยยิ้ม ทำเอาหัวใจของร้อยรักเต้นระรัวขึ้นมาอีกครั้ง
“ค่ะ”
คีรียิ้มรับก่อนจะเรียกเด็กเสิร์ฟมารับออร์เดอร์ นอกเหนือจากเมนูของร้อยรักแล้วเขาก็สั่งเพิ่มอีกสามอย่าง ระหว่างรออาหารมาเสิร์ฟ กรองแก้วที่อยากจะโชว์โปรไฟล์ของคีรีต่อหน้าผู้เป็นลูกก็ชักชวนชายหนุ่มพูดคุยด้วยท่าทีอยากรู้อยากเห็น ทั้งที่ความจริงข้อมูลเหล่านั้นล้วนทราบมาจากฉายรวีแล้ว
“ตอนนี้น้าได้ข่าวว่าภูเปิดบริษัทเองเหรอจ๊ะ”
“ครับ แต่ไม่ใช่บริษัทใหญ่โตอะไรหรอกนะครับ เป็นแค่บริษัทเล็กๆ รับออกแบบเว็บไซต์ที่ผมกับเพื่อนร่วมหุ้นกันเปิดขึ้นมาน่ะครับ” ชายหนุ่มตอบอย่างถ่อมตัว
“แหม ก้าวหน้านะจ๊ะ แป๊บเดียวได้เป็นเจ้าของบริษัทแล้ว หน้าตาก็ดี การงานก็ดี แบบนี้สงสัยหัวกะไดบ้านไม่แห้งแน่เลย”
กรองแก้วแสร้งเปรยถามแล้วนั่งอมยิ้มรอฟังคำตอบ ไม่ต่างจากร้อยรักที่แม้จะทำเป็นนั่งเงียบไม่แสดงท่าทีสนใจอะไร หากแต่แอบเก็บทุกรายละเอียด
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีสิครับ ทุกวันนี้ผมยังนั่งหน้าเหี่ยวอยู่กับงานเลยครับ” คีรีตอบเสียงกลั้วหัวเราะ ยกมือลูบท้ายทอยอย่างเขินๆ
“ต๊าย! อย่าบอกนะว่า หน้าตาหล่อ การงานดีอย่างนี้ยังโสดอยู่” กรองแก้วแสร้งทำเสียงตกอกตกใจ ใช้ศอกกระทุ้งสีข้างลูกสาวเบาๆ
“ถ้าบอกว่าโสดคุณน้าจะเชื่อไหมล่ะครับ”
“ไงล่ะ ฉันบอกแล้วเธอก็ไม่เชื่อ ทีนี้มาได้ยินเจ้าตัวพูดเองอย่างนี้จะเชื่อหรือยัง” ฉายรวีรีบเอ่ยเสริมลูกชายพลางย่นจมูกใส่เพื่อนรักทำราวกับว่าอีกฝ่ายไม่เชื่อคำพูดของตนที่บอกว่าลูกชายตัวเองยังโสด แต่ความจริงแล้วมันคือการเตี๊ยมกันระหว่างสองเพื่อนรักเพื่อให้ร้อยรักได้รับทราบเรื่องราวจากปากของคีรีเอง
“แหม เชื่อแล้วละจ้ะ ฉันก็อยากฟังจากปากของเจ้าตัวเองนี่นา ใช่ไหมยายรัก”
“อะไรคะ รักไม่เกี่ยวสักหน่อย” ร้อยรักละล่ำละลักปฏิเสธหน้าตาตื่น ไม่คิดว่าคนเป็นแม่จะดึงเธอเข้าไปร่วมวงแบบนี้
โธ่...แม่นะแม่ ไม่ไว้หน้าลูกสาวตัวเองบ้างเลย พูดแบบนี้เดี๋ยวเขาก็เข้าใจว่าเธอสนใจอยากรู้เรื่องของเขา
หญิงสาวแอบบ่นในใจแล้วปรายตามองคีรี ทว่าก็ต้องหลบวูบเมื่อเห็นอีกฝ่ายมองมาเช่นกัน
และก่อนที่ร้อยรักจะโดนล้อให้เขินมากไปกว่านี้ พนักงานก็นำอาหารมาเสิร์ฟ ทุกคนจึงหันไปสนใจอาหารที่ถูกทยอยนำมาวางบนโต๊ะ
“อาหารมาแล้ว กินไปคุยไปกันดีกว่า โห น่ากินทั้งนั้นเลย”
“ร้านนี้อร่อยครับ” คีรีนำเสนอ
“พาสาวๆ มาบ่อยหรือจ๊ะ” กรองแก้วล้อยิ้มๆ
“มีก็ดีสิครับ ผมมากินกับเพื่อนบ่อยจนเริ่มเอียนแล้วนะครับเนี่ย” คีรีตอบเสียงกลั้วหัวเราะ และทำท่าทีเขินอายเล็กน้อยเช่นเคย
“งั้นวันหลังภูก็ชวนหนูรักมากินเป็นเพื่อนสิ” ได้ทีคนเป็นแม่ก็รีบปูทาง
“ถามน้องเขาก่อนดีกว่าไหมครับว่าอยากมากินกับผมหรือเปล่า”
“อยากไปสิ” กรองแก้วรีบตอบรับแทนก่อนจะเริ่มร่ายยาว “ยายรักน่ะโสดสนิทเพราะก่อนหน้านี้มัวแต่หางานทำ นี่ก็เพิ่งได้งาน ทำได้แค่อาทิตย์เดียวเอง ตอนนี้เลยตั้งใจทำแต่งานจนไม่คิดจะสนใจใครเลย”
“ดีจัง คนโสดกับคนโสดมาเจอกัน”
ฉายรวีพูดพลางพยักพเยิดกับเพื่อนรัก ก่อนที่ทั้งคู่จะปิดปากหัวเราะอย่างชอบใจเมื่อเห็นอาการขวยเขินของหนุ่มสาว จากนั้นก็ลงมือรับประทานอาหารเที่ยงที่แสนจะเอร็ดอร่อยและวิเศษกว่ามื้อไหนๆ จนกระทั่งอิ่ม
“แม่กับน้าแก้วอิ่มแล้วเลยว่าจะไปทำธุระกันก่อน ยังไงแม่ฝากภูดูแลน้องด้วยนะ” ฉายรวีบอกลูกชายพลางหยิบกระเป๋า
“ผมก็อิ่มแล้วเหมือนกัน รอไปพร้อมกันเลยก็ได้ครับ เดี๋ยวผมพาไป” คีรีอาสาแต่ก็โดนคนเป็นแม่ขัด
“โอ๊ย! ไม่ต้องหรอก แม่ไปแท็กซี่สะดวกกว่า อีกอย่างคนหนุ่มคนสาวไปกับคนแก่จะสนุกอะไร สู้อยู่คุยกันต่อก็ไม่ได้ แม่ไปนะ อ้อ ตอนเย็นไปรับแม่ที่บ้านหนูรักนะ ไปยายแก้ว”
พูดจบก็รีบลุกขึ้นจากเก้าอี้และพยักหน้าเรียกเพื่อนสนิทของตนที่ตอนนี้ก็เตรียมพร้อมแล้วเช่นกัน ด้วยกลัวว่าคีรีหรือไม่ก็ร้อยรักจะตื๊อขอตามไปด้วย
“น้าฝากดูแลน้องด้วยนะ แม่ไปก่อนนะรัก”
พูดเพียงเท่านั้นกรองแก้วก็ลุกขึ้นเดินตามเพื่อนสนิทไปทันที
“อ้าว ไปซะแล้ว” ร้อยรักที่ยังไม่ทันได้ออกความเห็นอะไรครางแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะหันมายิ้มอายๆ เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะสดใสของคนที่โดนทิ้งเหมือนกัน
“คุณรักโอเคไหมครับ ถ้าอึดอัดหรืออยากกลับบ้านก็บอกได้นะครับ เดี๋ยวผมไปส่ง”
“มะ...ไม่อึดอัดเลยค่ะ ฉันกลัวคุณอึดอัดมากกว่า เพราะโดนคุณน้ากับแม่ของฉันยัดเยียดให้ดูแลฉันโดยที่ไม่ได้ถามความสมัครใจกันเลย” ร้อยรักอ้อมแอ้มบอกอย่างเกรงใจ ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าผู้สูงวัยทั้งสองต้องเตี๊ยมกันมาก่อน
“ดูแลสาวสวยน่ารักขนาดนี้ผมเต็มใจครับ”
“ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ” ร้อยรักที่อายม้วนรีบปฏิเสธเสียงแผ่ว ก่อนจะเลิกคิ้วกับประโยคต่อมาของอีกฝ่าย
“เกินกว่าที่คิดเอาไว้เสียอีก คือแม่ของผมเล่าเรื่องคุณรักให้ผมฟังอยู่บ่อยๆ จนผมพานคิดไปว่าคุณรักน่าจะมีบุคลิกประมาณสาวเรียบร้อย ชอบใส่กระโปรงยาวถึงตาตุ่ม ใส่เสื้อแขนยาวติดกระดุมถึงคอ แต่พอเห็นตัวจริงแล้วรู้เลยว่าผมมันพวกขาดจินตนาการจริงๆ ยังไงก็ต้องขอโทษคุณรักด้วยนะครับ”
ชายหนุ่มพูดพลางหัวเราะเขิน และนั่นทำให้ร้อยรักพลอยขำตามไปด้วย เพราะเขาคิดเหมือนกับเธอเปี๊ยบ
“ถ้าคุณเป็นพวกขาดจินตนาการ ฉันก็คงไม่ต่างกัน เพราะฉันเองก็มโนว่าคุณคงเป็นผู้ชายผอมกะหร่อง ใส่แว่นหนาเตอะ แต่งตัวเนี้ยบ หวีผมเรียบแปล้แน่เลย”
“แต่คุณก็เดาถูกนะ ผมใส่แว่น” ว่าแล้วชายหนุ่มก็ใช้นิ้วกลางขยับแว่นให้เข้าที่เล็กน้อย
“แต่คุณดูหล่อกว่าที่ฉันจินตนาการไว้นี่คะ” ร้อยรักรีบปิดปากตัวเองอย่างเขินๆ เมื่อรู้ตัวว่าเผลอพูดอย่างที่คิดออกไปเสียแล้ว
“ขอบคุณมากครับ” คีรีตอบรับยิ้มๆ “ผมว่าเราไปหาที่เดินย่อยอาหารกันดีไหมครับ”
“ก็ดีนะคะ” ร้อยรักตอบรับอย่างไม่ลังเล ยอมรับเลยว่าค่อนข้างจะถูกชะตากับผู้ชายคนนี้เอามากๆ ทั้งหน้าตากิริยาการพูดจาดูเหมือนจะลงตัวไปเสียหมด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่อยากฟันธงอะไร คงต้องขอดูไปยาวๆ ว่าตาของแม่จะถึงอย่างที่ได้คุยเอาไว้หรือไม่
“ไปที่ไหนดี คุณชอบไปที่ไหนครับ” คีรีถามความคิดเห็นของอีกฝ่ายขณะเดินไปที่รถ
“ฉันชอบความร่มรื่น คนไม่พลุกพล่านมาก อย่าง...”
“สวนสาธารณะ”
ชายหนุ่มชิงตอบ ซึ่งก็เรียกเสียงหัวเราะจากร้อยรักได้เป็นอย่างดี
“ค่ะ”
“ผมเองก็ชอบ เวลาไม่สบายใจหรือคิดอะไรไม่ออก สถานที่แบบนั้นมันช่วยได้เยอะเลย”
“เห็นด้วยค่ะ” ร้อยรักที่ชื่นชอบธรรมชาติแต่ไม่ค่อยได้ออกไปสัมผัสกับธรรมชาติสักเท่าไรยิ้มกว้าง เมื่อได้เจอคนที่ชอบอะไรเหมือนๆ กัน
“งั้นเราไปกันเลย เชิญครับ”
“ขอบคุณค่ะ” ร้อยรักผงกศีรษะและยิ้มรับเล็กน้อย ก่อนจะก้าวขึ้นไปนั่งบนรถที่มีคีรีเปิดประตูรอด้วยหัวใจพองโต สุดแสนจะประทับใจกับการปฏิบัติตัวของผู้ชายคนนี้
คีรีเลือกที่จะขับรถไปที่สวนสาธารณะชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากร้านอาหารมากนัก
และพอไปถึงเขาก็ยิ้มอย่างพอใจเมื่อคนที่เขาพามาเที่ยวออกอาการตื่นเต้นดีใจราวกับเด็กได้เจอสนามเด็กเล่นขนาดใหญ่ เธอวิ่งเข้าไปยืนใต้ร่มไม้ใหญ่แล้วกางแขนเงยหน้าสูดอากาศเข้าเต็มปอด
“อา...อากาศสดชื่นจัง”
“ดูท่าคุณจะชอบที่แบบนี้มากๆ เลยนะครับ”
“ค่ะ ฉันชอบต้นไม้แต่ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวตามป่าเขาสักเท่าไร เพราะไม่มีใครพาไป จะไปเองแม่ก็บอกว่าอันตราย สุดท้ายก็ต้องอาศัยเที่ยวตามสวนสาธารณะแบบนี้แหละค่ะ” ร้อยรักเล่าเสียงเจื้อยแจ้วพลางเดินเลาะไปตามถนนที่เป็นคอนกรีตแต่มีแนวร่มของต้นไม้ตลอดทางอย่างอารมณ์ดี
“เอาไว้มีวันหยุดยาวๆ เราไปกันไหมครับ”
ชายหนุ่มเอ่ยชวน ก่อนจะฉุกคิดได้ว่าตนอาจจะพูดเรื่องนี้เร็วไปหน่อยเพราะเขาและเธอเพิ่งเจอกันครั้งนี้เป็นครั้งแรก ทำให้ร้อยรักหันมามองเขาเหมือนกับไม่แน่ใจ
“ผมหมายถึงชวนทุกคนไปด้วยน่ะครับ ถ้าชอบธรรมชาติและอากาศสดชื่น สถานที่ท่องเที่ยวทางภาคเหนือน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด”
“เอาไว้ฉันจะคุยกับแม่ดูนะคะ ถ้าคนชวนคือคุณ แม่คงไม่ปฏิเสธ เพราะแม่ชอบคุณมาก” ร้อยรักย้ำเมื่อเห็นสีหน้าแปลกใจของคีรี
“ฝากขอบคุณท่านด้วยนะครับ ผมก็ชอบท่านมากเหมือนกัน”
“ค่ะ” ร้อยรักตอบรับยิ้มๆ ก่อนที่ต่างคนต่างนิ่งเงียบ ระหว่างนั้นก็มีแอบปรายตามองอีกฝ่ายเป็นระยะๆ จนบางครั้งก็ประสานสายตากันโดยบังเอิญ ต่างคนต่างยิ้มให้กันอย่างเขินๆ
“ผมว่าเราหาที่นั่งกันดีกว่าไหมครับ”
ร้อยรักพยักหน้าอย่างเห็นด้วย แต่ใช่ว่าพูดแล้วจะหาที่นั่งเหมาะๆ บรรยากาศดีๆ ได้เลย เนื่องจากวันนี้เป็นวันหยุด ที่นั่งจึงถูกจับจองไปจนหมด กระทั่งมีกลุ่มคนลุกจากที่นั่ง คีรีก็รีบพาร้อยรักไปนั่งจับจองทันที ส่วนตัวเองก็อาสาไปซื้อน้ำมาให้
“นอกจากน้ำ อยากได้อะไรเพิ่มไหมครับ”
“อะไรก็ได้ค่ะ” ร้อยรักตอบอย่างไม่เรื่องมาก
“งั้นถ้าผมซื้อตามใจตัวเอง คุณก็อย่ามาโวยนะครับ”
ชายหนุ่มเอ่ยล้อด้วยรอยยิ้มที่ร้อยรักเห็นเมื่อไรใจก็เต้นแรงทุกที
“ไม่หรอกค่ะ ฉันเลี้ยงง่าย”
ร้อยรักตอบเสียงกลั้วหัวเราะ ซึ่งอีกฝ่ายก็หัวเราะตอบแล้วหมุนตัวเดินผละออกไป เธอมองตามแผ่นหลังกว้างนั้นแล้วอมยิ้ม
การมาที่นี่ครั้งนี้จะถือว่าเป็นเดตแรกได้ไหมนะ
“ภูว่าหนูรักเป็นยังไงบ้าง”
ทันทีที่คนเป็นแม่ได้อยู่กับลูกชายตามลำพังบนรถหลังจากที่เปิดโอกาสให้สองหนุ่มสาวใช้เวลาอยู่ด้วยกันทั้งวันโดยที่ตัวเธอและเพื่อนรักไปนั่งเม้าท์กันที่บ้านไม่ได้ไปทำธุระอย่างที่อ้าง ก็เอ่ยถามขึ้นมา
“ก็ดีครับ น่ารักดี”
“เชื่อแม่หรือยังล่ะ” ฉายรวีลอยหน้าลอยตายิ้มอย่างพอใจกับคำตอบของลูกชาย หลังจากนั้นเธอก็ซักไซ้ถามเรื่องของร้อยรักจนกระทั่งถึงบ้าน
“อ้าว แกอยู่บ้านด้วยเหรอตาผา” ฉายรวีทักลูกชายคนเล็กทันทีที่เดินเข้าบ้านแล้วเห็นคีรินทร์ยกแก้วขึ้นดื่ม
“กลับมาได้สักพักแล้วครับ”
“แม่นึกว่าจะเห็นหน้าแกก็แค่ช่วงละครหลังข่าวจบแล้วเสียอีก” ผู้เป็นแม่เหน็บลูกชายคนเล็กที่ชอบกลับบ้านดึกเกือบทุกวัน แม้ว่าการกลับบ้านดึกนั้นจะไม่ได้เกิดจากการไปเที่ยวหรือเถลไถลที่ไหน แต่เป็นเพราะงานที่ลูกชายของตนพร้อมด้วยเพื่อนและลูกน้องรับทำนอกเวลางาน หากแต่เธอก็ไม่วายเป็นห่วง กลัวลูกจะทำงานหนักจนพานล้มป่วย
“พอดีงานมันเสร็จไวน่ะครับ แล้วนี่ไปไหนกันมาครับ ดูแม่อารมณ์ดีผิดปกติ” ชายหนุ่มล้อคนเป็นแม่ที่แม้จะมองค้อนเขาแต่ปากนั้นอมยิ้มแทบจะตลอดเวลา
“พาพี่แกไปทำความรู้จักกับว่าที่ลูกสะใภ้ที่แม่ต้องการน่ะ”
“เดี๋ยวนะครับ นี่แม่พาพี่ภูไปดูตัวมาเหรอครับ” คีรินทร์ถามอย่างตกใจ รีบวางแก้วน้ำไว้บนโต๊ะรับแขก แล้วเดินไปหาพี่ชายที่เพิ่งเดินเข้ามา
“เรียกว่าไปทำความรู้จักน่าจะดีกว่า และที่สำคัญพี่ชายแกก็ดูเหมือนจะถูกใจหนูรักด้วย นี่แหละที่ทำให้แม่อารมณ์ดีสุดๆ”
ว่าแล้วก็ปิดปากหัวเราะพร้อมกับเดินนวยนาดผ่านลูกชายคนเล็กขึ้นบันไดไปชั้นบนเพื่อเอากระเป๋าไปเก็บด้วยท่าทางอารมณ์ดี
“แต่แม่ครับ แม่ก็รู้ว่า...”
คีรินทร์ยังพูดทักท้วงไม่ทันจบประโยค ฉายรวีที่กำลังจะก้าวขึ้นบันไดก็หันมาพูดเสียงเข้ม
“ว่าตาภูยังโสดสนิท”
พูดจบก็สะบัดหน้าใส่ลูกชายคนเล็กแล้วเดินปั้นปึ่งขึ้นห้องไป
“พี่ภู” เมื่อคุยกับคนเป็นแม่ไม่ได้ คีรินทร์จึงหันมาหาพี่ชายที่ตอนนี้เดินไปทิ้งตัวนั่งบนโซฟา
“น่า...อะไรที่แม่สบายใจก็ทำๆ ไปก่อนเถอะ เรื่องอื่นเอาไว้ค่อยคิดทีหลัง”
“แต่นี่แม่กำลังจะหาเมียให้พี่นะ” คีรินทร์ออกอาการเป็นเดือดเป็นร้อนทั้งที่คนที่น่าจะมีอาการคือคีรีไม่ใช่เขา
“รู้ แต่มันยังไม่มีอะไรหรอก” คีรีบอกราวกับมันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร
“แต่แม่บอกว่าพี่ถูกใจผู้หญิงคนนั้น”
“ก็แม่ถามว่าเขาเป็นยังไง พี่ก็ตอบตามความรู้สึกว่าเขาน่ารักดี ก็แค่นั้น”
“ขอให้มันแค่นั้นจริงเถอะ” คีรีมองพี่ชายอย่างไม่ไว้ใจ ผู้ชายเราถ้าลองได้ชมผู้หญิงคนไหนว่าน่ารักละก็ ไม่สนใจมากก็น้อยละ
“แกนี่เป็นน้องหรือพ่อเนี่ย บอกว่าแค่นั้นก็แค่นั้นสิ รู้หรอกว่ากำลังทำอะไรอยู่” คีรินทร์เริ่มจะหงุดหงิดเมื่อน้องชายเข้ามาก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวของตนมากเกินไป เพราะทุกวันนี้แค่คนเป็นแม่เขาก็ปวดหัวมากพออยู่แล้ว
“ก็ดี จะได้ไม่เป็นเรื่อง”
พูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นคีรินทร์ก็เดินขึ้นห้องไปอย่างหงุดหงิดอีกคน ไม่เข้าใจเลยว่าตอนนี้พี่ชายกำลังคิดอะไรอยู่ จู่ๆ ถึงไปตามใจคนเป็นแม่อย่างนั้น