ตอนที่ 5
ช่วงบ่ายคีรินทร์เดินจากออฟฟิศมาที่หน้างานเพื่อมาตรวจสอบงานที่สั่งให้ลูกน้องแก้ไข และเมื่อเห็นว่าเรียบร้อยดีจึงเดินไปที่ริมหน้าต่าง ทอดสายตามองไปเรื่อยเปื่อยอย่างใช้ความคิด
‘ตาผา แกรู้หรือยังว่าหนูรักตกลงคบกับตาภูแล้วนะ’
ฉายรวีเอ่ยบอกลูกชายคนเล็กที่มากินอาหารเช้าช้ากว่าทุกคนในบ้านเพราะเข้างานสายด้วยท่าทีดีใจจนออกนอกหน้า
‘แม่กับพี่ภูคิดดีแล้วเหรอที่ทำแบบนี้’ คีรินทร์เตือนเสียงเครียด
‘ดีที่สุด แกก็เห็นนี่ว่าหนูรักสวยน่ารักขนาดไหน นิสัยหน้าที่การงานก็ดี’ ฉายรวีลอยหน้าลอยตาพูดพลางอมยิ้มอย่างอารมณ์ดี
‘แต่ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่หนูรักของแม่นะครับ’
‘แม่ไม่สนว่าใครจะมีปัญหา และแกก็ห้ามพูดถึงเรื่องนี้อีก รีบกินแล้วก็รีบไปทำงานเลย ไอ้ลูกจอมขัดคอ’ ฉายรวีบ่นแล้วเดินหนี
คีรินทร์คิดถึงบทสนทนาระหว่างตัวเองกับแม่แล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ และมันก็เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่เช้าจนลูกน้องคนสนิทอย่างมาวินละความสนใจจากงานแล้วหันมาเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
“เป็นอะไรพี่ ถอนหายใจซะความสุขวิ่งหนีหมดแล้วมั้ง”
“ไม่มีอะไร ว่าแต่ท่อประปาที่รั่วซ่อมเสร็จแล้วใช่ไหม”
“ใกล้แล้วครับ”
“เสร็จแล้วก็ไปซ่อมรอยขาดวอลล์เปเปอร์ต่อเลยนะ ถ้ารอยไม่ใหญ่ก็ตัดปะเหมือนเคยนั่นแหละ เร่งมือหน่อยละกัน เหลืออีกตั้งห้าห้อง เดี๋ยวจะเสร็จไม่ทันวันที่ยี่สิบห้า”
คีรินทร์สั่งงานเสร็จก็หยิบโทรศัพท์มือถือที่แผดเสียงอยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมา ก่อนจะรีบรับสายเมื่อคนที่โทร.มาคือนับดาวเซลล์สาวเพื่อนร่วมงานที่ถือว่าสนิทอีกคนหนึ่ง
“ว่าไงดาว”
“อีกครึ่งชั่วโมงลูกค้าจะมาดูห้อง แต่ประตูมันล็อกไม่ได้น่ะ พี่ช่วยมาดูให้หน่อยได้ไหม”
“ห้องไหน” ถามถึงตรงนี้ก็หยุดนิ่งเพื่อรอฟังคำตอบจากปลายสายก่อนจะรีบเอ่ยต่อ “โอเคเดี๋ยวผมจะรีบไป”
ชายหนุ่มวางสายแล้วหันไปบอกลูกน้องโดยไม่เจาะจงใครเป็นพิเศษ
“ทำงานกันไปเลยนะ ฉันขอไปดูห้องให้ลูกค้าก่อน ดาวโทร.มาว่าห้องที่ลูกค้าจะมาดูมีปัญหา”
“ครับ” มาวินที่กำลังกรีดวอลล์เปเปอร์อยู่หันมาส่งเสียงตอบรับพร้อมตะเบ๊ะอย่างแข็งขัน ผิดกับคนอื่นที่ทำเพียงพยักหน้ารับ
“ว่าไงดาว ประตูไหนที่ว่าล็อกไม่ได้” คีรินทร์เดินเข้ามาภายในห้องที่ดำเนินการเสร็จไปกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์พร้อมเอ่ยถามเซลล์สาวประจำโครงการ
“หน้าห้องเลยพี่”
นับดาวบอกพลางดันร่างสูงให้หมุนตัวกลับไปที่ประตูหน้าห้อง คีรินทร์เดินไปขยับลูกบิดส่องดูซ้ายทีขวาทีก่อนจะส่งเสียงบอกออกมา
“โอเค ผมรู้สาเหตุละ เดี๋ยวขอโทร.หาช่างวินให้เอาเครื่องมือขึ้นมาซ่อม”
ว่าแล้วเขาก็ล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายหาลูกน้องที่ทำงานอยู่คนละชั้น
“ช่างวิน เดี๋ยวเอาเครื่องมือมาเจาะขยายตรงเดือยล็อกประตูหน่อย มันไม่ตรงกันเลยล็อกไม่ได้ รีบขึ้นมาเร็วๆ เลยนะ”
“แก้ไม่นานใช่ไหมคะ” เซลล์สาวถามพลางยกนาฬิกาขึ้นมาดูอย่างเป็นกังวล
“แป๊บเดียว แล้วนี่มีปัญหาอื่นอีกไหม”
“ก็มีปลั๊กไฟตรงข้างหัวเตียงนอนน่ะ เห็นว่าไฟไม่เข้า ส่วนจุดอื่นต้องรอให้ลูกค้ามาตรวจดูอีกทีว่าจะสั่งแก้อะไรอีกหรือเปล่า” หญิงสาวบอกพลางส่งยิ้มหวานให้อีกฝ่ายดั่งเช่นทุกครั้ง
“โอเค”
คีรินทร์พยักหน้ารับแล้วเดินดูภายในห้องเผื่อเจอปัญหาเพิ่มเติม เพียงไม่นานมาวินก็มาถึง
“มาแล้วครับ”
“จัดการเลย”
มาวินไม่พูดพร่ำทำเพลงลงมือตรวจสอบปัญหาตามที่หัวหน้าแจ้ง ก่อนจะจัดการแก้ปัญหานั้นอย่างคล่องแคล่ว เพียงชั่วครู่ลูกบิดที่ล็อกไม่ได้ก็ใช้งานได้ตามปกติ
“เรียบร้อยแล้วครับ”
มาวินบอกหลังจากที่เขาทดสอบผลงานแล้วเห็นว่ามันใช้งานได้ คีรินทร์จึงเดินเข้าไปทดสอบดูอีกครั้งเพื่อความชัวร์
“โอเค ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมกับช่างวินขอตัวไปทำงานก่อนนะ เดี๋ยวเสร็จไม่ทัน”
“ค่ะ ถ้าลูกค้าจะขึ้นมาดูห้องดาวจะโทร.ตามนะคะ”
คีรินทร์พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มเนือยๆ ก่อนจะหันไปเรียกลูกน้อง
“ไปช่างวิน”
พูดจบก็เดินออกไปทันทีโดยไม่คิดสนใจเซลล์สาวที่มองตามตาละห้อย
“ไปก่อนนะครับคุณดาว”
มาวินที่เก็บเครื่องมือเสร็จบอกและกำลังจะเดินออกจากห้อง แต่ถูกนับดาวเรียกเอาไว้ซะก่อน
“เดี๋ยวสิ ช่างวินรู้ไหมว่าทำไมพี่ผาดูหน้าตาเครียดๆ”
“ผมก็สงสัยอยู่เหมือนกัน อยู่หน้างานก็ยืนถอนหายใจแล้วถอนหายใจอีก ไม่รู้กลุ้มอะไรหนักหนา”
มาวินบอกอย่างเป็นห่วงตามประสาเพื่อนร่วมงาน แต่สำหรับนับดาวเขารู้ว่าไม่ใช่ เพราะอะไรนะเหรอ ก็ผู้หญิงคนนี้หลงรักหัวหน้าเขามาหลายปีแล้ว แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่สนใจ
“เครียดเรื่องอะไรนะ” นับดาวบ่นลอยๆ ทั้งอยากรู้ทั้งเป็นห่วง
“ถ้าเป็นห่วงก็ลองถามดูสิครับ แต่ถ้าให้ผมเดา หนุ่มหล่อเสน่ห์แรงอย่างลูกพี่ผมเนี่ย คงหนีไม่พ้นเรื่องสาวๆ แน่ ว่าไหมครับคุณดาว”
มาวินถามอย่างล้อเลียนแล้วก็ได้ค้อนวงโตตอบกลับมา
“รู้ดี รีบไปทำงานเลยไป ดาวจะลงไปรอลูกค้าที่ล็อบบี” เซลล์สาวออกปากไล่อย่างหงุดหงิดเหมือนเช่นทุกครั้งที่มาวินชอบเอาเรื่องผู้หญิงของคีรินทร์มาพูดให้เธอฟัง ถึงเธอจะรู้ว่าไม่มีหวังแต่ก็ยังตัดใจไม่ได้สักที อีกอย่างเรื่องแบบนี้ก็ไม่อยากฟังให้เจ็บกระดองใจหรอก
หลังจากเลิกงานคีรินทร์ก็ตรงกลับบ้านทันที ขณะกำลังก้าวเท้าเดินเข้ามาในบ้าน เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
“ครับพี่ตี๋” ชายหนุ่มรับสายช่างที่รู้จักกัน
“มีงานมาให้”
“งานอะไรครับ” ปากขยับปากแต่สายตากลับจดจ้องไปยังพี่ชายซึ่งกำลังเดินลงบันไดพร้อมกับกลิ่นน้ำหอมที่ฟุ้งตลบ
“งานเดินระบบไฟฟ้าในอาคารสามชั้นน่ะ สนใจไหม”
“สนใจครับพี่ ผมมีช่างที่พอทำงานนี้ได้อยู่เหมือนกัน เอ่อ...พี่ตี๋ครับ พอดีตอนนี้ผมติดธุระ ถ้าพี่จะไปดูหน้างานวันไหนก็โทร.นัดผมอีกทีนะครับ สวัสดีครับ”
คุยยังไม่ทันจะจบดีคีรินทร์ก็รีบตัดสาย เมื่อคีรีหันมายิ้มให้น้อยๆ แล้วเดินผ่านหน้าไป
“เดี๋ยวสิพี่ภู นั่นพี่จะไปไหนเหรอ”
คนที่กำลังจะเดินพ้นหน้าประตูบ้านเอี้ยวตัวกลับมาตอบอย่างคนอารมณ์ดี
“ไปข้างนอก”
“ผมเพิ่งรู้จากแม่เมื่อเช้าว่าพี่คบกับคุณรักแล้ว”
คำพูดของน้องชายทำให้รอยยิ้มที่มีอยู่บนใบหน้าค่อยๆ เลือนหายไป คีรีถอนหายใจแล้วหันมาพูดแบบไม่เต็มปากนัก
“ก็...ตามน้ำน่ะ”
“จะตามน้ำหรือตามใจ ผมก็เบื่อจะพูดแล้วละครับ โตๆ กันแล้ว เอาเป็นว่าถ้าคิดว่าดีก็ทำไปละกัน”
พูดจบคีรินทร์ก็หมุนตัวเดินหนี แต่ก็ต้องหยุดชะงักเพราะเสียงตะโกนที่ดังตามมา
“แกคงไม่เอาเรื่องนี้ไปโพนทะนาหรอกนะ”
“พี่เห็นผมเป็นคนแบบนั้นเหรอครับ” คีรินทร์พูดโดยไม่หันมามองหน้าพี่ชาย
“ก็ไม่รู้สิ เห็นแกไม่ชอบที่ฉันจะคบกับคุณรัก”
“พี่จะคบกับใครมันก็เรื่องของพี่ แต่ที่ผมพูดผมเตือนนี่ เพราะสงสารผู้หญิงก็เท่านั้น”
พูดย้ำเจตนารมณ์ของตัวเองจบคีรินทร์ก็เดินหนี
“เออ ฉันรู้น่าว่ากำลังทำอะไรอยู่” คีรีตะโกนตามหลังน้องชายแล้วหมุนตัวเดินออกจากบ้าน แม้จะรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่มันไม่ค่อยถูกต้องนัก ถึงกระนั้นก็คิดว่าเขายังควบคุมทุกอย่างได้
การสานสัมพันธ์ระหว่างคีรีและร้อยรักเป็นไปอย่างราบรื่นด้วยการสนับสนุนจากฉายรวี แม้คราแรกคีรินทร์จะแสดงท่าทีอย่างเด่นชัดว่าไม่เห็นด้วย แต่พอคัดค้านไปเรื่อยๆ แล้วไม่มีใครฟัง เขาก็เบื่อที่จะพูด จึงได้แต่เฝ้าดูอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ ว่างานนี้ต้องมีคนเจ็บแน่นอน และไม่คิดว่ามันจะมาถึงเร็วปานนี้
คีรินทร์ที่กลับบ้านดึกเพราะทำงานนอกต่อหลังจากเลิกงานประจำชะงักเท้าเล็กน้อยเมื่อเดินเข้าบ้านแล้วได้ยินเรื่องที่แม่กับพี่ชายคุยกัน
“แม่ว่าภูขอหนูรักแต่งงานดีไหม” แม้จะพูดเหมือนถามความคิดเห็น แต่สิ่งที่ฉายรวีต้องการได้ยินคือการเห็นด้วยเท่านั้น
“เอ่อ...ผมว่า...”
“สองแม่ลูกคุยอะไรกันอยู่ครับ” คีรินทร์ร้องทักเสียงดังเมื่อเห็นพี่ชายทำหน้าลำบากใจ
“อ้าว ตาผากลับมาแล้วเหรอ กินข้าวมาหรือยัง” ฉายรวีถามลูกชายคนเล็กอย่างเป็นห่วง
“เรียบร้อยแล้วครับ ว่าแต่เมื่อกี้คุยเรื่องอะไรกันอยู่เหรอครับ” คีรินทร์ถามพลางเดินไปทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ พี่ชาย
“เรื่องตาภูกับหนูรักน่ะ”
“ทะเลาะกันเหรอครับ” คนที่เพิ่งเข้ามาใหม่เอ่ยถามทั้งที่รู้และได้ยินเต็มสองรูหูเมื่อตอนเดินเข้ามา
“ปากเสีย แกไม่เห็นพวกเขาสวีตหวานกันหรือไง ถึงได้บอกว่าพวกเขาทะเลาะกัน” ฉายรวีตำหนิพลางมองค้อนลูกชายคนเล็กอย่างหงุดหงิดเช่นเคย
“ก็ไม่รู้ เห็นแม่บอกว่าคุยเรื่องพี่ภูกับคุณรักนี่ครับ” คีรินทร์ตีหน้าซื่อ
“แม่ว่าจะให้พี่แกไปขอหนูรักแต่งงานน่ะ” พอเอ่ยถึงเรื่องนี้ใบหน้าที่บูดบึ้งเมื่อครู่ก็มีรอยยิ้มมาประดับเต็มวงหน้า น้ำเสียงที่ขุ่นมัวก็สดใสขึ้นทันตา
“พี่ภูว่าไง” คราวนี้คีรินทร์ไม่คิดจะขัด แถมยังหันไปถามความคิดเห็นจากพี่ชายที่นั่งหน้าเครียด ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าจะสงสารหรือสมน้ำหน้าดี
“ผมว่ามันจะเร็วไปไหมครับ ผมกับคุณรักเพิ่งคบกันได้ไม่กี่เดือนเอง” คีรีตอบเสียงแผ่ว และไม่กล้าแม้แต่จะสบตาคนเป็นแม่ เพราะรู้ดีว่านั่นไม่ใช่คำตอบที่ท่านต้องการได้ยิน
“คนรักกันไม่มีคำว่าช้าหรือเร็วหรอก ไม่รู้ละ แม่ได้เกริ่นๆ เรื่องนี้กับน้าแก้วไปแล้ว ถ้าหนูรักไม่ว่าอะไร แกต้องทำตามที่แม่สั่ง”
ฉายรวีสั่งเสียงเข้ม สีหน้าจริงจังจนคีรีปฏิเสธไม่ออก
“แม่ครับ” คีรินทร์ครางเรียก มองหน้าพี่ชายที่ดูเครียดตลอดเวลาแล้วถอนหายใจ “แต่งงานนะครับไม่ใช่เล่นขายของ เผื่อมันเกิดผิดพลาดอะไรขึ้นมาแม่จะทำยังไง”
“ไม่มีอะไรผิดพลาดทั้งนั้น แกต้องรีบเคลียร์ทุกอย่างที่จะเป็นปัญหาต่อชีวิตรักของแกกับหนูรักให้เร็วที่สุด”
สั่งจบฉายรวีก็ลุกเดินขึ้นห้องไปด้วยไม่ต้องการฟังการต่อรองจากลูกชายทั้งสอง
“เอาไงล่ะทีนี้” คีรินทร์หันมาถามพี่ชาย
“ไม่รู้สิ ยังคิดไม่ออก คงได้แต่ภาวนาให้คุณรักยังไม่อยากแต่งงาน”
“จะเป็นไปได้แค่ไหนกัน ผมเห็นยายนั่นดูรักพี่จะตาย”
“เอาไว้ค่อยคิดละกัน ตอนนี้ขอไปนอนเอาแรงก่อน”
พูดจบคีรีก็ลุกเดินขึ้นห้องไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด คีรินทร์ได้แต่มองตามแล้วส่ายหน้า
ปัญหากำลังก่อเค้าขึ้นมาแล้ว และคนที่รับไปเต็มๆ ก็คือคีรี
วันนี้เป็นวันที่ร้อยรักอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เรียกได้ว่าทำงานไปยิ้มไปตลอดทั้งวันจนเพื่อนร่วมงานบางคนถึงกับเอ่ยปากล้อ ซึ่งเธอก็ได้แต่ยิ้มรับอย่างอารมณ์ดี และรู้สึกว่าวันนี้เวลามันช่างผ่านไปไวเหลือเกิน เพียงแป๊บเดียวก็ได้เวลาเลิกงานเสียแล้ว
คนอารมณ์ดีเก็บของเตรียมตัวจะกลับบ้าน แต่แล้วก็ต้องละมือมารับโทรศัพท์เมื่อได้ยินเสียงเรียกเข้าที่เธอเอาไว้สำหรับคนพิเศษด้วยใบหน้าแย้มยิ้มเหมือนเช่นทุกครั้งที่ได้ยินเสียงนี้
“ค่ะคุณภู ค่ะ แล้วเจอกันค่ะ”
ร้อยรักยิ้มแก้มปริขณะเก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋า ก่อนจะก้มลงเก็บของซึ่งเหลืออีกนิดหน่อย แต่แล้วก็ต้องเงยหน้าขึ้นมายิ้มเขินๆ เมื่อได้ยินเสียงล้อของเพื่อนร่วมงานโต๊ะข้างๆ
“แหม แฟนโทร.มายิ้มหน้าบานเลยนะ วันนี้มารับอีกละสิ อิจฉาคนมีแฟนจริงๆ” ปีวราย์ล้อพลางกระแทกไหล่เพื่อนร่วมงานเบาๆ
“แถมหล่อระเบิดระเบ้อ” อัญชลีเพื่อนอีกคนรีบเอ่ยเสริม “ว่าแต่สวีตหวานกันแบบนี้เมื่อไรจะมีข่าวดีจ๊ะ”
“ข่าวดีอะไรกัน ฉันกับคุณภูคบกันยังไม่ถึงปีเลย” ร้อยรักหลบสายตาเพื่อนแล้วรีบปฏิเสธเสียงสูงด้วยกลัวว่าคนทั้งคู่จะจับพิรุธได้
“มีกฎหมายข้อไหนห้ามคนคบกันไม่ถึงปีแต่งงาน ไม่มีสักหน่อย”
“นั่นสิ คู่เธอหวานกันออก นี่ถ้าเขาขอก็รีบตอบรับเลยนะ วัยจะเฉียดเลขสามอยู่รอมร่อแบบนี้ ขืนเล่นตัวมากๆ จะขึ้นคาน ทีนี้แหละได้อยู่ยาวเลย เพราะไม่รู้ว่าอีกเมื่อไรจะมีคนหลงดึงลงมา”
อัญชลีพูดพลางยกมือไม้ประกอบทุกคำพูด หน้าตาอินกับคำว่า ‘ขึ้นคาน’ มากเป็นพิเศษ จนร้อยรักและปีวราย์อดขำไม่ได้
“ถ้าเขาขอนะ ไปละ แล้วเจอกัน” ร้อยรักตัดบทก่อนจะลุกจากเก้าอี้ โบกมือลาเพื่อนเล็กน้อย และรีบเดินออกมาที่หน้าบริษัทด้วยใบหน้าที่ยังเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข
ก็จะไม่ให้เธอมีความสุขได้ยังไง เมื่อคืนแม่เล่าให้ฟังว่า เมื่อหลายวันก่อนคุณน้ามาเกริ่นเรื่องจะให้คีรีขอเธอแต่งงาน แต่หลังจากวันนั้นก็ไม่มีความคืบหน้าอะไร จึงต้องมาถามเธอว่าคีรีมีพูดเรื่องนี้กับเธอบ้างหรือยัง แม้คำตอบจะทำให้แม่ของเธอผิดหวังเล็กน้อย แต่สำหรับเธอมันคือประกายของความหวัง ทั้งที่บอกตัวเองว่าอย่าคาดหวังมากนักเพราะเป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายต้องพูดคุยกันเอง แต่ก็อดแอบคิดเล่นๆ ไม่ได้ว่าถ้าชายหนุ่มพูดเรื่องนี้ขึ้นมาจริงๆ เธอจะตอบเขาว่ายังไงดี
คิดไปพลางก็ยิ้มเขินๆ เหมือนที่เป็นมาทั้งวัน กระทั่งเดินออกมาถึงหน้าบริษัท ร่างสูงที่แสนจะคุ้นตายืนพิงรถเก๋งสีดำคุยโทรศัพท์อยู่ทำให้ร้อยรักรีบเก็บอาการแล้วปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ก่อนจะเอ่ยทัก
“รอนานไหมคะ”
เสียงทักของแฟนสาวทำให้คีรีรีบวางสายในทันทีแล้วยัดโทรศัพท์มือถือใส่ในกระเป๋ากางเกง
“ไม่ครับ”
ว่าแล้วก็รีบเปิดประตูรถให้แฟนสาวเหมือนเช่นเคย
“ขอบคุณค่ะ” ร้อยรักก้าวขึ้นไปนั่งบนรถด้วยรอยยิ้มอย่างเช่นทุกครั้งที่เธอได้อยู่กับคีรี เพราะไม่ว่าชายหนุ่มจะปฏิบัติอย่างไรก็ดูเหมือนจะถูกใจเธอไปเสียหมด
“วันนี้ก่อนกลับบ้านคุณอยากจะแวะที่ไหนหรือมีธุระอะไรต่อหรือเปล่าครับ” คีรีเอ่ยถามแฟนสาวขณะหมุนพวงมาลัยให้รถขับเคลื่อนไปตามท้องถนน
“อืม ไม่มีนะคะ”
“งั้นวันนี้ผมไปส่งคุณฃที่บ้านเลยแล้วกัน พอดีผมมีธุระจะต้องไปต่อน่ะครับ”
“อ้าวเหรอคะ ทำคุณเสียเวลาเลย คราวหน้าถ้ามีธุระไม่ต้องมารับฉันก็ได้นะคะ ฉันกลับเองได้”
ร้อยรักบอกอย่างเกรงใจ บ่อยครั้งที่คีรีทำแบบนี้ ด้วยนิสัยของเขาที่มักเป็นห่วงคนอื่นก่อนตัวเองเสมอ จนบางครั้งเธอก็อดคิดไม่ได้ว่าเขาใจดีเกินไปหรือเปล่า
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่ใช่ธุระด่วนอะไร แล้วอีกอย่างแฟนทั้งคนจะให้นั่งรถเมล์กลับได้อย่างไรล่ะครับ เรื่องแค่นี้ผมทำให้คุณฃได้อยู่แล้ว”
“ขอบคุณนะคะที่คอยเป็นห่วงฉันเสมอเลย” ร้อยรักบอกอย่างซาบซึ้งแกมปลาบปลื้ม รู้สึกว่าตัวเองโชคดีเหลือเกินที่ได้มาเจอและเป็นแฟนกับผู้ชายแสนดีคนนี้
“แฟนทั้งคนนี่ครับ”
ร้อยรักได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกดียิ่งนัก จนไม่สามารถเอ่ยถ้อยคำใดออกมาได้เลย จึงได้แต่พยักหน้ารับยิ้มๆ และนั่งอิ่มเอมใจไปกระทั่งถึงบ้าน
“วันนี้ผมขอส่งแค่นี้นะครับ ขอโทษจริงๆ ที่ไม่ได้แวะ ยังไงฝากทักทายคุณน้าด้วยนะครับ”
คีรีบอกแฟนสาวที่ก้าวลงจากรถด้วยสีหน้ารู้สึกผิด ร้อยรักเห็นแล้วก็อดที่จะอมยิ้มไม่ได้ เมื่อเขาทำหน้าราวกับทำเรื่องผิดมหันต์
“ไม่เป็นไรค่ะ เรื่องแค่นี้เอง” ร้อยรักยิ้มหวานให้แฟนหนุ่ม “รีบไปเถอะค่ะ ขับรถดีๆ นะคะ”
“ครับ แล้วคืนนี้จะโทร.หานะครับ”
คีรีบอกก่อนจะขึ้นรถแล้วขับออกไปโดยมีแฟนสาวมองตามจนลับสายตา จึงค่อยเดินเข้าบ้าน
“ใครมาส่งน่ะลูก ได้ยินเสียงรถ แม่ก็นึกว่าตาภูมาส่งเสียอีก” กรองแก้วถามพลางชะเง้อคอมองไปที่หน้าบ้าน เมื่อไม่เห็นคีรีเดินตามเข้ามาเหมือนทุกครั้ง
“ก็คุณภูนั่นแหละค่ะ วันนี้มีธุระเลยไม่ได้แวะเข้ามา”
กรองแก้วพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะเงียบไปครู่หนึ่งแล้วขยับเข้าไปนั่งจนชิดลูกสาว จากนั้นก็เอ่ยถามในสิ่งที่ตนอยากรู้และเฝ้าลุ้นมานานหลายวัน
“แล้ววันนี้ตาภูได้พูดถึงเรื่องนั้นบ้างไหม”
“เรื่องอะไรคะ” ร้อยรักแสร้งถามหน้าซื่อ จึงได้รับค้อนวงเบ้อเร่อจากคนเป็นแม่
“ก็เรื่องแต่งงานไง”
“ไม่นี่คะ”
คำตอบของร้อยรักทำให้กรองแก้วถึงกับถอนหายใจอย่างผิดหวัง เนื่องจากรอคอยมาเนิ่นนานที่จะได้ดองเป็นทองแผ่นเดียวกันกับเพื่อนรัก เมื่อมีโอกาสลอยมาอยู่ตรงหน้า สองเพื่อนรักจึงไม่อยากจะรออีกต่อไป ที่สำคัญความสัมพันธ์ระหว่างร้อยรักและคีรีก็ดูเหมือนว่าจะเข้ากันได้ดี ถ้าแต่งงานกันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
“คุณภูคงยังไม่คิดอยากจะแต่งมั้งคะ และอีกอย่างรักกับคุณภูคบกันได้ไม่กี่เดือนเองนะคะ” ร้อยรักให้เหตุผล
“แล้วถ้าเขาขอล่ะ รักจะว่ายังไง” กรองแก้วถามหยั่งเชิงลูกสาว
“แหม แม่ก็ ถามอะไรก็ไม่รู้” ร้อยรักที่เขินจนหน้าแดงจัดไม่ยอมตอบ ทำเพียงอมยิ้มและเบือนหน้าหนี
“ยิ้มแบบนี้แสดงว่าไม่ปฏิเสธใช่ไหมล่ะ”
“ไม่พูดด้วยแล้ว รักเอากระเป๋าไปเก็บดีกว่า” เมื่อโดนคนเป็นแม่พูดจี้ใจดำร้อยรักที่เขินจัดจนไปไม่เป็นก็เลือกที่จะเดินหนีขึ้นห้อง
“ล้อแค่นี้ทำเป็นเขิน” คนเป็นแม่ตะโกนแซ็วเสียงกลั้วหัวเราะ ก่อนจะหันมามองโทรศัพท์ที่แผดเสียงดังลั่น เมื่อเห็นชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอก็รีบรับสายทันที
“ว่าไงยายฉาย”