บทที่ 7 หมอกันต์ณธีร์ 1.2
“คุณย่าคิดอย่างนี้ได้ไงครับ ผมน่ะผู้ชายทั้งแท่ง มีผู้หญิงห้อมล้อมเยอะแยะ แต่ที่ไม่มีแฟนเพราะยังไม่ถูกใจใคร อีกอย่างคือ ผมอยากอยู่เป็นโสด ไม่อยากมีเมียครับ” หลานชายพูดชัดเจน
“แกก็เลือกผู้หญิงที่ห้อมล้อมแกสักคนสิ หลับตาจิ้มเอาก็ได้”
“คุณย่าครับ เมียนะครับไม่ใช่จิ้มของรางวัล ของอย่างนี้ช้าๆ ได้พร้าเล่มงามนะครับ”
“กว่าแกจะได้พร้าเล่มงาม ฉันตายพอดี” คนเป็นย่าไม่ยอมง่ายๆ
“โธ่คุณย่าก็ ผมอายุแค่สามสิบหกเองนะครับ มีเวลาอีกถมเถที่จะหาเมีย ตอนนี้ขอเป็นโสดก่อนนะครับ” คนไม่อยากมีเมียแย้ง
“สามสิบหกยังไม่คิดมีลูกมีเมียแล้วแกจะมีอายุเท่าไหร่ อายุตอนนี้แหละดีแล้ว แต่งปีนี้แล้วมีลูกเลย ลูกคลอดปีหน้าแกก็จะมีอายุสามสิบเจ็ด ลูกครบอายุยี่สิบแกก็ห้าสิบเจ็ด ลูกเรียนจบป.ตรีแกก็อายุห้าสิบเก้าหกสิบ แต่ถ้าแกมีลูกอายุมากกว่าสามสิบเจ็ด แกลองคิดดูว่าแกจะแก่หงำเหงือกมากแค่ไหน จะอยู่ดูความสำเร็จของลูก อยู่ดูความสุขของลูกได้หรือเปล่า มีเมียตอนนี้น่ะดีที่สุด” มณฑาทิพย์เถียงสู้หลานชาย
“บ้านเราอายุยืนนะครับ ดูอย่างคุณย่าสิตอนนี้เจ็ดสิบเจ็ดแล้วยังแข็งแรงอยู่เลย แถมพูดเก่งอีกด้วย สมองก็ไม่เลอะเลือนจำอะไรได้แม่นเชียว ผมมีลูกตอนอายุห้าสิบยังไหวเลยครับ เพราะงั้นคุณย่าไม่ต้องห่วงผมเรื่องนี้ครับ มีช้าๆ ก็ได้ผมไม่รีบ” คนเป็นหลานก็ไม่ยอม
“แกคิดถึงแต่ตัวเอง แกไม่คิดถึงฉัน แกบอกว่าแกมีลูกตอนอายุห้าสิบก็ไม่เดือดร้อน แกอายุห้าสิบแล้วฉันล่ะจะอายุเท่าไหร่ คงตายก่อนได้เลี้ยงเหลน” นางเอ่ยประโยคนี้มา กันต์ณธีร์ถึงกับพูดไม่ออก “ถ้าแกไม่หาเมียเอง ฉันจะหาให้”
คงต้องเป็นเช่นนี้ เป็นวิธีที่ดีที่สุด
“ไม่ครับ ผมไม่มีวันแต่งงานกับผู้หญิงที่ผมไม่ได้เลือก” กันต์ณธีร์เสียงแข็ง “ผมขอตัวก่อนนะครับ ง่วงนอน”
พูดจบก็ลุกเดินออกจากห้องกินข้าว ทำให้บรรยากาศยามเช้าดูตรึงเครียดขึ้นทันใด
“ตากันต์หยุดนะ ย่ายังพูดไม่จบเลย แกไม่ยอมแกก็ต้องยอม”
“คุณแม่ครับใจเย็นๆ ครับ เดี๋ยวความดันขึ้นนะครับ” กันติพัฒน์ห่วงมารดา และเข้าใจลูกชาย “เรื่องแบบนี้ให้กันต์ตัดสินใจเองดีกว่าครับ คุณแม่เคยพูดกับผมไม่ใช่หรือครับว่า ปลูกเรือนต้องตามใจผู้อยู่”
“แกก็เข้าข้างลูก ถึงได้ทำอะไรตามใจตัวเอง ขัดใจจริงๆ” มณฑาทิพย์สะบัดหน้างอน ลุกเดินออกจากห้องกินข้าวไปอีกคน
“คราวนี้คุณย่างอนของแท้ คงอยากเลี้ยงเหลนเต็มแก่”
ระพีพรรณเห็นใจมณฑาทิพย์ เพราะความหวังเรื่องนี้อยู่ที่กันต์ณธีร์คนเดียว ส่วนเธอนั้นรักเพศเดียวกันมาตั้งแต่ช่วงแตกเนื้อสาว จนถึงตอนนี้อายุสามสิบปีก็ยังคงรสนิยมเดิม
“เรื่องแบบนี้เร่งรัดไม่ได้หรอก แกก็รู้นิสัยพี่ชายดีไม่ใช่เหรอว่า ไม่ให้ใครมาบังคับอะไรง่ายๆ ถ้าไม่เต็มใจทำเอง” คนเป็นแม่พูดกับลูกสาว
“พี่เชื่อว่าต้องมีผู้หญิงสักคนสิน่าที่ทำให้กันต์เปลี่ยนใจยอมสละโสด แค่รอเวลาเท่านั้น” กันติพัฒน์คิดว่าคงเป็นทางเดียว “พี่ไปง้อคุณแม่ก่อนนะ เดี๋ยวจะน้อยใจ”
คนพูดลุกขึ้นเดินออกไปอีกคน จุดหมายคือห้องนั่งเล่นที่มณฑาทิพย์จะไปนั่งดื่มชาหลังกินมื้อเช้า ส่วนคนที่ทำให้หญิงชราหงุดหงิด ตอนนี้ล้มตัวลงนอนบนเตียง นอนคิดเรื่องที่คนเป็นย่าพูดไม่ถึงห้านาที ความง่วง ความเหนื่อยที่เกาะกินมานานเป็นแรมเดือน ทำให้เปลือกตาเขาค่อยๆ ปิดลงและหลับในที่สุด
บ้านกรรัมภา
บ้านเดี่ยวสองชั้นบนพื้นที่แปดสิบตารางวาภายในหมู่บ้านย่านสาทรคือที่อยู่อาศัยของดารานางร้ายมาตั้งแต่เกิด หากนับวันเวลาก็ยี่สิบหกปี บ้านหลังนี้มีผู้อยู่อาศัยห้าคน ประกอบด้วยวุฒิ ผู้เป็นบิดา กิ่งแก้วมารดา เอกทัศน์พี่ชาย กรรัมภาเป็นลูกคนกลางและเอกวุฒิลูกชายคนเล็กของบ้าน
หมู่บ้านเอกปัญญา เป็นชื่อหมู่บ้านที่กรรัมภาอาศัยอยู่ แม้ว่าอายุของหมู่บ้านจะมากถึงยี่สิบเจ็ดปี ทว่าเรื่องราคาค่าบ้านก็ไม่ได้ลดลงตามอายุ ความเจริญรวมถึงทำเลทองทำให้ราคาค่าบ้านพุ่งสูง เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนขายในราคาไม่กี่ล้าน ทว่าตอนนี้พุ่งสูงถึงหลักสามสิบล้านหรือมากกว่า และเพียงแค่เอ่ยชื่อหมู่บ้านต่างก็พากันคิดว่า เจ้าของบ้านแต่ละหลังล้วนมีฐานะ แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกหลังจะมีฐานะตามที่ใครคิด
ภายนอกหรูหรา ทว่าภายในตรงกันข้าม...
เสียงดังเอะอะหน้าห้องนอน ทำให้คนที่กำลังนอนหลับพักผ่อนในวันที่ไม่มีงานช่วงเช้า กรรัมภาตั้งใจว่าจะตื่นสักเที่ยง นอนพักผ่อนให้เต็มที่แล้วออกจากบ้านบ่ายโมงเดินทางไปงานในช่วงทำงานแรกตามนัดหมายคือบ่ายสองโมง เป็นงานสัมภาษณ์สื่อออนไลน์น่าจะใช้เวลาไม่เกินหนึ่งชั่วโมง จากนั้นก็ไปบ้านเจ๊ลิลลี่ผู้จัดการส่วนตัว เพื่อเตรียมตัวไปงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์น้ำหอมแบรนด์ดังที่ว่าจ้างดารานักแสดง นักร้องและนางแบบหลายสิบคนไปร่วมงาน ซึ่งเธอได้รับเลือกเป็นพรีเซ็นเตอร์ร่วมกับณัฐนิชา นางเอกผู้โด่งดัง
ทว่าความตั้งใจของกรรัมภาคงหยุดไว้เพียงแค่เวลา 08.30 น. เนื่องจากเสียงนั้นยังคงดังต่อเนื่อง ไม่เพียงแค่นั้นประตูห้องเธอเหมือนมีอะไรมากระทบหลายครั้ง
“เสียงใครมาทะเลาะกันเนี่ย” กรรัมภาพูดเสียงหงุดหงิด แต่ยังไม่ลืมตา ทว่าวินาทีต่อมา เธอดีดตัวลุกขึ้นนั่ง ใบหน้ามีความตกใจให้เห็น “แม่”
นางร้ายรีบก้าวลงจากเตียง วิ่งไปยังประตูแล้วเปิดมันออกทันที
“พ่อตีแม่ทำไม” กรรัมภาถามบิดา เข้าไปขวางทางมือและเท้าที่กำลังประเคนไปยังร่างกายของกิ่งแก้ว โดยไม่กลัวเจ็บตัวจากลูกหลง “พ่อตีแม่ทำไมคะ”
“มึงถอยไปนะ กูจะตบมัน มันไม่ให้เงินกู” วุฒิที่ตอนนี้เดือดเต็มที่ ขึ้นมึงขึ้นกู หน้าตาคล้ายคนกำลังโมโหจัด “ถ้ามึงไม่ถอย กูตบมึงจริงๆ ด้วย”
“อย่านะ อย่าทำยิ้ม” กิ่งแก้วรีบลุกจากพื้นมายืนกั้นกลาง ไม่ให้สามีทำร้ายลูกสาว “พี่ตียิ้มไม่ได้นะ ถ้าตัวยิ้มเป็นรอย มันจะทำงานได้ยังไง เดี๋ยวได้เป็นข่าวใหญ่กันพอดี”
“ก็มันวอนเองนี่ มายืนขวางทำไม” วุฒิเสียงเขียวใส่ “ถ้ามึงไม่อยากให้กูตบมัน มึงก็เอาเงินมาให้กูสิ มึงไม่ให้กูตบมึงอีกแน่”
พูดจบก็เงื้อมือสูงหมายใจจะตบหน้าภรรยา
“พ่ออย่าทำแม่ พ่ออยากได้เงินเท่าไหร่ เอาที่หนูก็ได้”
“เออ ได้ยินอย่างนี้ค่อยอารมณ์ดีหน่อย” วุฒิยิ้มได้ “ห้าหมื่น”
พอได้ยินจำนวนเงิน กรรัมภาทำหน้าหนักใจทันที
“ลูกไม่มีหรอก เมื่ออาทิตย์ก่อนพี่ก็เอาไปสามแสน เงินก้อนนั้นยิ้มตั้งใจจะเอาไปไถ่รถ ยังไม่ทันได้ไถ่พี่ก็เอาไป วันนี้จะมาเอาอีกห้าหมื่น ยิ้มไม่ใช่ตู้เอทีเอ็มนะพี่” กิ่งแก้วพยายามพูดดีกับสามี แต่ดูเหมือนว่า มันไม่ได้ผล