บทที่ 4 ของเก่า
สิงหนาทสนใจคำถามของเพื่อนสาวและอยากรู้คำตอบจากด็อกเตอร์
“เดี๋ยวถูกเตะ ให้เรียกอาจารย์ไม่ใช่ให้เรียกจารย์คำเดียว พวกแกนี่มันไม่รู้จักสัมมาคารวะเลย ฉันเป็นครูแกไม่ใช่เพื่อนเล่นนะโว้ย”
“ขอโทษครับอาจารย์ ผมเรียกอาจารย์คนอื่นแบบนี้นี่ครับ มันชิน ถ้าไม่ให้ชินต้องให้เราเรียกด็อกเตอร์เหมือนเดิม”
“เออๆ จะเรียกยังไงก็ได้ ขออย่างเดียวอย่าขึ้นไอ้ก็แล้วกัน รับไม่ได้ว่ะ”
หางเสียงของหนุ่มใหญ่เป็นกันเองจนลูกศิษย์หัวเราะพร้อมกัน กรองทองมองหน้าด็อกเตอร์แล้วถามคำถามเดียวกับวรวรรณ
“อาจารย์รู้ได้ยังไงคะว่าเจ้าของเขาหวง อาจารย์เห็นเขาหรือคะ”
“เปล่าหรอก ฉันก็เดาเอาเพราะว่าคนสมัยก่อนมักจะหวงของ ยิ่งคนโทใบนี้มีสภาพสมบูรณ์เหมือนเป็นของเจ้านายชั้นสูงเก็บรักษาไว้อย่างดี แต่ก็แปลกนะทำไมมาอยู่ที่ยัยกรองได้ มาได้ยังไง”
“เจ้าของเขาตั้งใจเอามาให้อาจารย์ค่ะ ไม่อย่างนั้นจะอยู่ในรถหนูได้ยังไงล่ะคะ”
กรองทองพูดเสียงดังกว่าทุกครั้ง ด็อกเตอร์เงยหน้าจ้องตาลูกศิษย์สาว แสงสีเขียววับอยู่ในดวงตาคู่นั้น ด็อกเตอร์ผงะ ดวงตากะพริบเร็ว รีบวางคนโทลงบนโต๊ะ
“เป็นอะไรครับอาจารย์”
ภาสกรเห็นกริยาแปลกไปของด็อกเตอร์ อาจารย์ของเขาเห็นอะไรที่หน้ากรองทองถึงได้ทำหน้าเหมือนกลัวขนาดนั้น
“เอ่อ.เปล่า ไม่เป็นไร ฉันเอาคนโทไปเก็บก่อน แกมากับฉันด้วยภาส”
ด็อกเตอร์คว้าคนโทมากอด พยักหน้าให้ภาสกรตามเขาไปที่ห้องเก็บวัตถุโบราณที่สะสมไว้ทั้งหมดซึ่งห้องนี้ลูกศิษย์ทั้งสี่คนเคยเข้าไปแล้ว เขาไม่หวงหากใครต้องการชมของเก่าแก่พวกนี้ มีดดาบ หม้อ ไห แจกัน สร้อยลูกปัด กำไล อีกหลายชิ้นที่ล้วนแล้วเป็นของทั้งสิ้น ยกเว้นกำไลคู่ผีที่ด็อกเตอร์พลัมไม่ได้เก็บไว้ในห้องนี้
เขายังตีความหมายตัวอักษรที่แกะสลักไว้กับกำไลไม่ได้ หากเขามั่นใจว่าตัว จ จานคือชื่อหรือนามสกุลและถ้าเป็นชื่อ ชื่ออะไร ถ้าเป็นนามสกุล เป็นชื่อสกุลอะไร เขายังให้คำตอบไม่ได้ว่าจะรู้หรือเปล่าว่า จ จาน หมายถึงอะไร กำไลคู่ผีจึงต้องอยู่ในห้องทำงานส่วนตัวต่อไป
“อาจารย์ครับ คนโทอยู่ในยุคไหนครับ”
ภาสกรมองคนโทในตู้กระจก ด็อกเตอร์พลัมเพิ่งนำไปวางคู่กับแจกัน เนื้อแจกันกับคนโทเป็นสีเดียวกัน ชายหนุ่มย่นหัวคิ้ว คำถามของเขายังไม่มีคำตอบแต่เขารู้ในวินาทีนี้
“อาจารย์ครับ เนื้อเดียวกับแจกัน อยู่ยุคเดียวกันหรือครับ”
“ฮื่อ.ฉันถึงรีบซื้อก่อนที่ยัยกรองทองจะไปทำหล่นแตก มูลค่าของพวกนี้มันตีราคาไม่ได้สำหรับความรู้สึกของฉัน ถ้าพวกมหาเศรษฐีที่ชอบสะสมของเก่าก็คงจะให้หลายล้านอยู่”
“เป็นล้านเชียวหรือครับ แล้วอาจารย์จะให้ยัยกรองเท่าไหร่ครับ”
“ฉันไม่มีเงินเยอะนักหรอกแล้วแต่ยัยกรองจะเรียกมา”
ด็อกเตอร์มองของในตู้ด้วยสายตาอ่อนโยน ไม่ใช่ปีติยินดีที่มีของเก่าอยู่ในความครอบครอง เขาเก็บเพราะรัก อยากให้คนรุ่นหลังเห็นของมีค่าพวกนี้และใช้ศึกษาหาความรู้ไม่ใช่เก็บเพื่อโชว์ว่ามีเงินซื้อของเก่ามาเพิ่มบารมีเช่นคนอื่น
“อาจารย์ครับ ด็อกเตอร์เจตพลเคยมาถามผมว่าของเก่าอาจารย์มีเยอะมั้ย มีอะไรน่าสนใจบ้าง เขาอยากมาขอดูครับ เขาบอกอาจารย์รึเปล่าครับ”
“ไม่เห็นเคยพูดนี่ เขาถามแกเมื่อไหร่”
“สอบวันสุดท้ายครับ บอกว่าจะมาหาอาจารย์ อยากขอดูของเก่า”
ภาสกรตอบตามที่ด็อกเตอร์เจตพลถามเขา ด็อกเตอร์พลัมมองหน้าลูกศิษย์อย่างใช้ความคิด เจตพลเคยเรียบเคียงถามเรื่องสร้อยลูกปัดแต่ไม่ขอมาชมอย่างที่บอกกับภาสกร ทำไมเจตพลไม่ถามเขาตรงๆ ไปถามลูกศิษย์ทำไม
ด็อกเตอร์เจตพลสอนเกี่ยวกับโบราณคดีเช่นเดียวกับด็อกเตอร์พลัมแต่ไม่มีความคิดจะสะสมไว้เป็นของตัวเอง ที่เขาอยากได้ของเหล่านั้นเพื่อการค้าซึ่งยิ่งพบของเก่าอายุหลายร้อยปีหรือพันปียิ่งทำให้เขาได้ค่าตอบแทนจากเศรษฐีนักสะสมของเก่ามากเป็นเท่าตัว
ด็อกเตอร์พลัมได้แต่ปลงกับความคิดของด็อกเตอร์เจตพล เคยเอ่ยปากทักท้วงบ้างแต่เจตพลไม่ใส่ใจรับฟัง
“คุณเจต ผมขอละ อย่าทำอย่างนี้เลย ของเก่าเราควรเก็บไม่ใช่ขายให้ใครก็ไม่รู้ เขาเอาไปขายต่อให้ต่างชาติหรือเปล่าเราก็ไม่รู้ เราควรอนุรักษ์ของเก่าบ้านเราไว้นะ”
“ผมไม่คิดอย่างคุณนะพลัม ผมว่าสมบัติผัดกันชม เขาอยากมีเก็บสะสมเพิ่มบารมีเขาก็ให้เขาเก็บแต่เราขอค่าตอบแทนที่หามาให้แค่นั้นเอง อีกอย่างผมมีครอบครัวต้องดูแล คุณไม่มีใครคุณถึงคิดแต่จะเก็บไว้ดูเล่นอย่างเดียว ผมว่าคุณขายให้ผมดีมั้ยสร้อยลูกปัดหินนั่นน่ะ ราคาดีนะ”
“ถึงผมไม่มีกินผมก็จะไม่ขายสมบัติแผ่นดินกินแน่ครับ คุณอย่าเสียเวลาเลย ยังไงผมก็ไม่ขาย”
เมื่อพูดกันไม่รู้เรื่อง ด็อกเตอร์พลัมจึงเลี่ยงจะไม่พบด็อกเตอร์เจตพลอีก ถึงจะอยู่ในห้องประชุมของมหาวิทยาลัยก็ไม่มองหน้ากัน ไม่ได้โกรธหรือทะเลาะจนไม่อยากเห็นหน้าแต่ไม่อยากได้ยินด็อกเตอร์เจตพลขอซื้อสร้อยลูกปัดหินอีก
“อาจารย์ครับ ผมทราบมาว่าด็อกเตอร์เจตเข้าไปบ้านด็อกเตอร์โอเว่นเชิงเขาครับ ไปบ่อยมากไอ้สิงห์มันเคยเห็นขนกล่องลงจากรถด้วยครับ”
“นานรึยัง”