บทที่ 5 สมบัติแผ่นดิน
พลัมสนใจคำบอกเล่าของลูกศิษย์ทันที เจตพลทำอะไร ขายอะไรให้ฝรั่งผมทองคนนั้น อินธนเคยเล่าให้เขาฟังครั้งหนึ่ง
“ด็อกเตอร์ ผมเห็นด็อกเตอร์เจตนั่งอยู่ในร้านอาหารกับฝรั่ง ถ้าจำไม่ผิดน่าจะใช่ด็อกเตอร์โอเว่น บินมาจากฝรั่งเศสไม่นานนี่เอง เห็นว่าจะมาขุดหาอะไรสักอย่างที่เชิงเขา เขาเช่าบ้านพักอยู่ที่นั่นด้วย”
“ผู้ว่าฯยอมให้ขุดหรือ”
“ยังไม่แน่ใจว่าเขามาที่นี่เพื่ออะไรแต่ต้องการของโบราณเมืองนี้น่ะใช่แน่”
“ทำไมด็อกเตอร์เจตคิดจะขายสมบัติของชาติ”
“เงินไงครับ”
คำตอบของอินธนกระจ่างชัด ไม่มีคำอธิบายต่อท้ายให้ยุ่งยาก พลัมถอนหายใจยาว เดินไปเปิดตู้ติดกับตู้แรกหยิบสร้อยลูกปัดหินออกมา
“ด็อกเตอร์เจตเคยขอซื้อสร้อยเส้นนี้จากฉัน รวมทั้งสร้อยข้อมือ ต่างหูทั้งหมดนั่นด้วย”
พลัมพูดเรื่อยๆ สายตาที่มองสร้อยในมือนั้นว่างเปล่า สร้อยลูกปัดหินเป็นสมบัติส่วนตัวของเขาเพราะชาวบ้านคนหนึ่งนำมาขายโดยบอกกับเขาว่า
“ผมขุดเจอที่เชิงเขาครับ เมียผมไม่ให้เอาไว้ มันฝันเห็นผู้หญิงสูงใหญ่ นุ่งผ้าซิ่นใส่สไบ บอกเมียผมว่าไม่ใช่ของพวกเอ็งเก็บไว้จะตายกันหมดบ้าน ผมก็เลยคิดถึงด็อกเตอร์ครับ”
นั่นคือที่มาของสร้อยลูกปัดหินครบชุด สมบัติแผ่นดินเหล่านี้อยากมาอยู่กับเขาจึงได้มาโดยไม่ต้องไปลักขโมยหรือตามล่าหาซื้อ ทุกชิ้นมาด้วยความสมัครใจทั้งสิ้น
“ภาส รู้จักของทุกชิ้นในห้องนี้ ฉันอยากให้ช่วยดูแลด้วย ฉันสังหรณ์ใจบางอย่างกลัวด็อกเตอร์เจตจะเล่นกลกับฉัน”
พลัมมองหน้าภาสกร เอ่ยน้ำเสียงเป็นกังวล ดวงตาที่มองมานั้นเศร้าจนลูกศิษย์หนุ่มใจหาย
“เล่นกลยังไงครับอาจารย์ ด็อกเตอร์เจตคิดจะทำอะไรครับ”
“ไม่รู้เหมือนกันถึงอยากให้แกช่วยไง ตอนนี้ยังไม่ได้งานทำก็มาช่วยฉันทำงานในสวนก็ได้ ฉันกลัวจริงๆ ภาส”
“ครับ ผมจะชวนไอ้สิงห์มานอนค้างที่นี่ดีมั้ยครับ”
“ไม่ต้องถึงยังงั้นหรอก แค่มาเที่ยวบ่อยๆ ก็พอ”
ด็อกเตอร์ยิ้ม เก็บสร้อยลูกปัดเข้าที่เดิม หันมาตบไหล่ลูกศิษย์เดินนำออกจากห้อง ภาสกรเดินตามมาอย่างไม่ค่อยสบายใจเท่าไรนัก ด็อกเตอร์พลัมสัมผัสถึงความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นอย่างนั้นหรือจึงพูดอย่างนั้น
ประตูห้องปิดลง เงาดำปรากฏขึ้นหน้าตู้ใส่คนโท รูปร่างสูงใหญ่ค่อยๆ เด่นชัด ใบหน้าเรียบหันมองไปที่ประตู ดวงตาสีเขียวมรกตเปล่งประกายวับ ครู่เดียวร่างนั้นก็จางสลายไปกับอากาศสลัวภายในห้อง
เสียงคุยไม่หยุดในโต๊ะอาหารและในสวนหลังบ้าน สิงหนาทดังกว่าเพื่อนๆ กรองทองกับวรวรรณไม่ยอมแพ้แข่งกันสอยมะม่วงน้ำดอกไม้ลงเข่งเตรียมบ่ม แสนทำหน้าที่นี้เมื่อผลมะม่วงแก่จัด จากการบ่มทานเองเป็นแบ่งเพื่อนบ้านและเหลือไปถึงตลาดสดที่จงกลคุ้นเคย
เพียงผลไม้ไม่กี่ต้นสามารถเปลี่ยนเป็นค่ากับข้าวได้พอสำหรับคนสามคนทีเดียว จงกลนำเงินทุกบาทให้เจ้านายแต่ด็อกเตอร์พลัมไม่รับเงินเหล่านั้น
“ป้าเก็บไว้ซื้อกับข้าวกับของใช้ในบ้าน เงินที่ผมให้ก็เก็บรวมไปด้วยเหลือก็ไม่เป็นไร ป้ากับลุงแสนอยากได้อะไรก็ซื้อเอาเลยผมไม่ว่าหรอก”
ความมีน้ำใจเอื้ออาทรต่อคนรอบข้างทำให้ด็อกเตอร์พลัมเป็นที่รักของคนทุกคน จงกลกับแสนไม่คิดจะลาออกจากบ้านด็อกเตอร์พลัม ทั้งสองสัญญากับตัวเองว่าจะทำงานให้เจ้านายจนกว่าร่างกายจะทำไม่ไหว
“อาจารย์คะ หนูขอมะม่วงกลับบ้านสองถุงนะคะ”
วรวรรณส่งเสียงอยู่ใต้ต้นมะม่วง พลัมยิ้มกับลูกศิษย์ มีเด็กหนุ่มสาวกลุ่มนี้มาเยี่ยมเยียนบ่อยครั้งก็ทำให้บรรยากาศบ้านสวนไม่เหงาแต่พอเด็กๆ กลับไปความเงียบสงบอย่างที่เขาชอบก็กลับคืนสู่สภาพเดิม
“จะเอาไปเท่าไหร่ก็ตามสบาย ชมพู่ก็เอาไปสิ ช่วยกันกิน”
เสียงพลัมดังแว่วออกไปถึงประตูรั้วไม้ รถเก๋งสีดำจอดอยู่ริมรั้ว กระจกด้านผู้โดยสารเลื่อนลง คนขับสวมแว่นกันแดดสีดำปกปิดดวงตาที่มองผ่านรั้วเข้าไปด้านใน ครู่เดียวรถก็เคลื่อนตัวออกพร้อมกระจกเลื่อนขึ้น
ด็อกเตอร์เจตพลเดินไปเดินมาอยู่ในห้องรับแขก ลูกน้องที่เคยทำงานด้วยกันรายงานมาว่า
“ด็อกเตอร์ครับ มีคนอยู่หลายคน ไม่รู้ใคร เสียงดังออกมาถึงหน้าบ้าน”
“เห็นคนมั้ย”
“ไม่เห็นครับ น่าจะอยู่ในสวนหลังบ้าน จะให้ทำยังไงต่อครับ”
“ยังไม่ต้องทำอะไร ถ้าลูกค้าต้องการของ ฉันจะโทร.บอก”
“ครับ”
ปลายสายวางไปแล้ว ด็อกเตอร์หนุ่มใหญ่ถอนหายใจหนักๆ ลูกค้าที่เขาพูดถึงต้องการของสำคัญที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร รู้เพียงเป็นของในกล่องไม้เก่าสี่เหลี่ยมเล็ก หากได้กล่องใบนั้นมา ลูกค้าพร้อมจ่ายด้วยตัวเลข 6 หลักแล้วอย่างนี้เขาจะไม่สนใจเชียวหรือ
“ใครไปหามันหรือว่าญาติมันมาจากกรุงเทพฯ เออจริงสิ ญาติมันมาเยี่ยมแน่ๆ แล้วจะทำยังไงวะเนี่ยลูกค้าอยากเห็นของมะรืนนี้ สงสัยต้องไปเองแล้วละ”
เจตพลยิ้มเมื่อคิดถึงบ้านสวนของพลัม เขาเคยไปที่นั่นสองสามครั้งแต่พลัมไม่เคยพาชมของเก่าที่สะสมไว้สักครั้ง
“ถึงแกจะไม่ให้ฉันเข้าไปดูของเก่าแก ฉันก็จะหน้าด้านขอเพื่อธุรกิจของฉันไอ้พลัม”
รอยยิ้มกระจายเต็มดวงหน้าอวบเล็กน้อย เท้าพาเขาเดินออกจากบ้านตรงไปที่รถเก๋งคันหรู ครู่เดียวรถก็แล่นออกจากรั้วบ้านหลังใหญ่