5. จบทุกอย่าง
ค่ำคืนที่ดูวังเวงและน่ากลัวยังคงคืบคลานเข้ามาตลอดเวลา เพราะดูเหมือนว่าวิญญาณร้ายนั้นจะไม่ยอมผละไปง่ายๆ เลยแม้แต่น้อย มันยังคงวนเวียนก่อกวนโสตประสาทคนในรีสอร์ทอยู่ไม่ไปไหน ซึ่งกำนันพรายก็รับรู้ดี
“ไอ้พรายมันเสียงอะไรวะ ทำไมถึงดังได้น่าขนลุกแบบนี้ มึงทำอะไรสักอย่างสิวะ”
มานพพูดขึ้นหลังจากที่เดินกลับมาถึงบ้านแล้ว คืนนี้เขาไม่ยอมให้เพื่อนสนิทกลับ เพราะเกิดตาขาวกลัวสิ่งที่เห็นขึ้นมา เพราะยังไม่รู้ที่ไปที่มาอะไรเลยก็เจอกับภาพของเด็กหนุ่มตัวมีขน กลายเป็นคนสภาพเดิมต่อหน้าต่อตา ดีแค่ไหนที่ไม่เป็นลมสิ้นสติตรงนั้น
“ก็แค่วิญญาณที่กำลังหาทางเข้าร่าง มันทำอย่างอื่นไม่ได้นอกจากทำให้กลัว ที่เหลือก็แล้วแต่จะคิด”
“อะไรคือแล้วแต่จะคิดวะ มึงพูดให้กระจ่างสิ” มานพยังคงไม่เข้าใจในสิ่งที่เพื่อนพูด แต่คนที่ตอบกลับเป็นแก้วที่พอจะรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่บ้าง
“พี่พรายหมายถึง วิญญาณนี้ทำอะไรไม่ได้ ถ้าไม่มีร่างให้สิง แต่ความกลัวของเราเองนี่แหละที่จะสร้างจินตนาการขึ้นมา จนทำให้เราสร้างภาพต่างๆ ขึ้นมาหลอกตัวเอง แล้วคิดว่าวิญญาณมีฤทธิ์มาก แต่อันที่จริงมันทำได้แค่ให้เรากลัว แล้วหลอกตัวเอง ไม่ใช่ผีหลอก”
มานพเงียบไปเมื่อได้ยินแบบนั้น ก่อนจะปรากฏใบหน้าที่เปื้อนยิ้มออกมา ซึ่งมันไม่ได้เป็นอย่างที่เห็นสักนิด เพราะเขาแค่แสดงมันออกมาเพื่อกลบเกลื่อนความกลัวที่มีต่างหาก และทุกคนก็พอจะดูออกแต่ไม่พูดอะไร
“แก้วพาลุงไปนอนเถอะ” พรายเอ่ยบอก ก่อนจะหันมาหยิบเอาผ้าห่มในลิ้นชักออกมา และนอนลงที่โซฟาตัวเดิมที่เขามักใช้มันเป็นที่นอนประจำ
ถ้าวันไหนมาดื่มกับเพื่อนแล้วเมาก็จะค้างคืนที่นี่ แต่ครั้งนี้มันต่างกันตรงที่มานพไม่ยอมกลับเข้าห้อง แต่กลับเดินไปหยิบเอาผ้าในลิ้นชักมานอนคนละฝั่งกับเพื่อน จนเห็นสายตาดูถูกของพรายที่มองมาอย่างไม่ปิดบัง
“อะไร กูก็แค่นอนเป็นเพื่อนมึงเฉยๆ”
“หึ!” เสียงจากอีกฝ่ายดังมาแค่นั้น ก่อนจะหันหลังให้แล้วห่มผ้าจนถึงคอ เพราะตอนนี้เขาเหลือแค่เสื้อกล้าม เพราะเสื้อเชิ้ตที่ใส่มาถอดให้ใครบางคนคลุมร่างไปแล้ว เมื่อนึกถึงตรงนี้กำนันหนุ่มก็รู้สึกแปลกๆ ในใจก็คิดว่ามันคงเป็นเพราะเขาไม่เคยเห็นผู้ชายล่อนจ้อนนั่นแหละ
เมื่อคิดได้แบบนั้นก็หลับตาลงและหลับไปในที่สุด เพราะนี่ก็ดึกเกือบเที่ยงคืนแล้ว ซึ่งมานพก็หลับไปแล้วเช่นกัน ค่ำคืนนี้จึงผ่านไปโดยที่ยังมีเสียงด้านนอกดังอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งมันสงบลงในช่วงของรุ่งสาง ซึ่งมีแสงของตะวันสาดส่องขึ้นมา
07:00 ลุงฉ่ำตื่นขึ้นมาในช่วงสายกว่าปกติ เพราะแกรู้สึกครั่นเนื้อตัวจากอาการบาดเจ็บเมื่อคืน ดีที่หลานชายเอายาให้กินก่อนนอน ไม่งั้นคงจับไข้แน่
“ตื่นแล้วเหรอลุง เป็นไงบ้าง” มานพถามขึ้นพร้อมกับยื่นแก้วกาแฟส่งให้เพื่อน พรายมองตามร่างของคนที่เขานับถือด้วยสายตาเป็นห่วง เพราะลุงฉ่ำก็แก่มากแล้ว ล้มครั้งนี้คงไม่ดีกับตัวแกนัก
“ไม่เป็นไรครับ ตอนนั้นไม่ได้กระทบกับขอบเตียงที่แข็ง แต่ที่ไม่ได้สติคงเป็นนัยน์ตาของไอ้สัตว์ร้ายนั่นสะกดผมไว้มากกว่า ตอนนั้นเหมือนตกอยู่ในภวังค์ จนต่อต้านมันไม่ไหว จู่ๆ มันก็ดับวูบไปเลย”
ลุงฉ่ำเอ่ยบอกในสิ่งที่เขาพบเจอมาเมื่อคืน ทำเอามานพถึงกับขนลุกเกรียว ก่อนจะยิ้มแห้งออกมาเมื่อเห็นสายตาของแก้วที่มองอยู่ พร้อมกับริมฝีปากอิ่มของเด็กหนุ่มที่ยกยิ้มออกมาเย้ยเขาซึ่งหน้า
“เฮียครับคนที่พักในรีสอทร์มาขอพบกำนันครับ” เสียงจากพนักงานเดินมาบอกกับเจ้านาย ก่อนจะหันไปมองหน้ากำนันที่กำลังจิบกาแฟอยู่
“ไม่จำเป็น กูไม่อยากเจอใคร” พรายตอบหลังจากที่วางถ้วยกาแฟลงแล้วก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
“กลับกันได้แล้วครับ” เขาหันมาบอกลุงฉ่ำ ก่อนจะเดินนำออกมาจากบ้านเพื่อน สุดท้ายก็ต้องมาเผชิญหน้ากับเด็กหนุ่มที่เขาช่วยเอาไว้เมื่อคืนจนได้
“ขอบคุณครับ” ธามส่งเสื้อคืนให้อีกฝ่าย ก่อนจะยกมือไว้เขาและลุงฉ่ำเพื่อบ่งบอกสิ่งที่เขาตั้งใจ
“หึ! ถึงกับไม่กล้าถอดออกเลยเหรอ”พรายยืนประจันหน้ากับเด็กหนุ่มที่ยังคงเค้าหน้าเหมือนแปดปีที่แล้ว ต่างก็แค่ตาโตขึ้น จมูกก็โด่งเรียว และริมฝีปากอิ่มสีแดงรูปกระจับ ซึ่งมันมีน้ำมีนวลจนเขาลืมตัวจ้องมองไม่วางตา แต่ก็ดึงสติตัวเองกลับมาได้ทัน
ก่อนที่อีกฝ่ายจะทันได้พูดตอบอะไรกลับมา เขาก็เอื้อมมือแกะเอาผ้าที่ผูกคอธามออก ทำเอาทุกคนต่างก็ตกใจกับการกระทำของเขา แต่ก็ไม่มีใครกล้าทักท้วง เพราะคิดว่ากำนันหนุ่มคงต้องการของสิ่งนี้คืน
“ของสิ่งนี้ใช้ได้แค่ครั้งเดียวนายคงต้องหาเครื่องรางชิ้นใหม่ปกป้องตัวเองแล้วล่ะ แค่เล็บเสือที่ห้อยอยู่ คงกันได้แค่วันพระเล็กเท่านั้น แต่ถ้าวันพระใหญ่ก็จะเหมือนเมื่อคืน”
เขาพูดพร้อมกับส่งสายตาเยาะอีกฝ่าย แต่สิ่งที่ได้รับกลับมากลับทำเอาหนุ่มใหญ่ใจหายขึ้นมาเสียดื้อๆ
“ไม่เป็นไรครับ ยังไงก็ขอบคุณอาพรายที่ช่วยเมื่อคืน และขอโทษลุงฉ่ำที่ทำให้ต้องเจ็บตัว จากนี้ผมจะไม่ทำให้ใครต้องมาเดือดร้อนเพราะเรื่องนี้อีกแล้ว”
เสียงทุ้มหวานดังขึ้น ก่อนจะหันกลับมายิ้มกับคนตัวโตที่ยืนอยู่ตรงหน้า พร้อมด้วยคำพูดสุดท้ายที่เอ่ยขึ้น
“ธามดีใจที่ได้เจออาพรายอีกครั้งนะครับ” ตาเรียวสวยสบเข้ากับนัยน์ตาคมของอีกฝ่าย ราวกับจะบอกลาก็ไม่ปาน จู่ๆ ใจแกร่งของพรายก็กระตุกวาบขึ้นมาดื้อๆ เขามองตามร่างเพรียวของอีกฝ่ายที่เดินจากไป จนเพื่อนอย่างมานพเดินมายืนอยู่ข้างๆ
“ทำไมน้องมันพูดเหมือนจะลาไปตายเลยวะ คงไม่คิดจะจบทุกอย่างด้วยชีวิตหรอกนะ ว่าแต่ถ้าทำแบบนั้นเรื่องจะจบใช่ไหม วิญญาณก็ไม่มีที่สิงสถิตอะไรแบบนั้น”
มานพพูดในสิ่งที่เขาคิด ก่อนที่คำตอบจะดังมาจากปากลุงฉ่ำที่ยืนกังวลอยู่
“จบไม่ได้หรอกครับ เพราะสิ่งที่มันต้องการคือร่างนี้ ถ้าทำแบบนั้นก็คือเข้าทางมันเลย”
“งั้นถ้าคุณธามตายก็เท่ากับมอบร่างให้มัน แบบนี้เขาจะรู้ไหมครับว่ากำลังทำให้ทุกคนเดือดร้อนมากกว่าเดิม ถ้าวิญญาณนั่นมีที่สิงสถิต หมู่บ้านแรกที่มันจะเอาคืนก็ต้องเป็นตำบลเราน่ะสิ พี่พรายจะปล่อยไปแบบนี้จริงเหรอ”
แก้วร้องถามขึ้นทันที เพราะเมื่อคืนลุงฉ่ำเล่าถึงที่มาของเรื่องนี้ให้ฟังแล้ว วิญญาณดวงนี้มีความคับแค้นอยู่ในใจ ซึ่งมันข้องเกี่ยวกับคนในหมู่บ้านโดยรอบจนแทบจะเกือบทั้งตำบลเลยด้วยซ้ำ
แม้มันจะเกิดขึ้นมานานนับหลายร้อยปีแล้วก็ตาม แต่เพราะเมื่อแปดสิบปีก่อนมีคนไปปลดปล่อยวิญญาณร้ายออกมาแล้วแลกกับบางสิ่ง จนตอนนี้ถึงเวลาต้องชดใช้ให้มันแล้ว มันจึงตามทวงสัญญาไม่ยอมหยุด และดูเหมือนจะร้ายขึ้นเรื่อยๆ เมื่อทุกคนเริ่มเกิดความหวาดกลัวขึ้นมา
“กลับบ้าน จะอยู่จะตายมันก็เรื่องของเขาไม่เกี่ยวกับเรา เอาไว้ให้ไอ้สมิงตัวนี้มันมากัดคนในตำบลเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน ฉันยังมีงานต้องทำอีกใครจะอยู่ก็แล้วแต่”
เสียงทุ้มดังขึ้นก่อนจะเดินออกจากเขตบ้านเพื่อนตรงไปยังรถที่จอดอยู่ไม่ไกล ถึงจะพูดไปแบบนั้นแต่พรายก็นึกหวั่นกลัวใจเด็กนั่นอยู่เหมือนกัน
แต่พอนึกถึงหน้าของเมฆาเขาก็หงุดหงิดขึ้นมาทันที ก่อนที่มือซึ่งกำลังดึงประตูรถเปิดออกจะชงักเมื่อได้ยินเสียง “ปัง!!” ก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบสนิท เพราะต่างก็ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พรายรู้สึกถึงใจที่มันหล่นวูบ
ก่อนที่สองขาจะวิ่งไปตามเสียงที่มันดังขึ้นมา นัยน์ตาคมจ้องมองไปยังห้องพักที่มีลูกน้องของเมฆายืนมุงอยู่ ทุกคนเปิดทางให้เขาทันทีที่มาถึงพร้อมกับคนอื่นๆ ภาพตรงหน้าทำเอาเขาโล่งอกที่เห็นว่าเด็กหนุ่มแค่มีรอยถากของกระสุนเท่านั้น
“ธามทำไมถึงทำแบบนี้ล่ะลูก ถ้าโรมช่วยไว้ไม่ทันพ่อก็เสียลูกไปแล้วนะ อย่าทำแบบนี้อีกเข้าใจไหม”
เมฆานั่งกอดลูกชายพร้อมกับร้องไห้ออกมาไม่อายใคร ทำเอาทุกคนต่างก็อดสงสารไม่ได้ คงมีแค่พรายเท่านั้นที่มองด้วยสายตาเฉยชาไร้ความรู้สึกเช่นคนอื่น เพราะหยดน้ำตาที่เห็นเมื่อก่อนมันเป็นเขาที่ปล่อยให้มันไหลออกมา
ต่างกันก็แค่ความทุกข์ที่ได้รับมันคนละอย่างเท่านั้น เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้เป็นอะไรมากเขาก็เลยพูดขึ้น
“ตายไปแล้วคิดว่าจะไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนเหรอ มันต้องการอะไรก็รู้อยู่ ยังไงนายก็หนีมันไม่พ้นหรอก ยิ่งตายเร็วมันก็ยิ่งได้เป็นอิสระไวขึ้น โดยการครอบครองร่างนี้ และที่สำคัญมันจะตามรังควานคนในหมู่บ้านฉันด้วย”
“นายรู้เรื่องนั้นด้วยเหรอ” เมฆาถามขึ้นทันที ก่อนจะพยุงลูกชายให้ลุกขึ้นนั่งบนเตียง พร้อมกับสั่งคนของตนออกไปให้พ้นจากตรงนี้ เพราะยิ่งมีคนรู้มากชีวิตของธามก็ยิ่งจะไม่ปลอดภัย เพราะถ้าศัตรูเขารู้คงตามมาถึงนี่แน่ ไหนจะนักข่าวอีก แต่เรื่องพวกนั้นเขาไม่ห่วงเท่าไหร่ เพราะยังพอจัดการได้ แต่ไม่อยากให้คนเห็นสภาพของลูกคนเล็กเป็นแบบนี้ต่างหากสิ่งที่เขากังวล
“หึ! ก็ไม่คิดว่าตระกูลเห็นแก่ตัวนั่นจะเป็นของแกน่ะสิ ตอนนี้กูไม่แปลกใจเลยสักนิดว่าทำไมมึงถึงเลวนัก”
พรายพูดเหยียดอีกฝ่ายซึ่งหน้า และเมฆาเองก็ไม่ตอบโต้เลยสักนิด เมฆาก้มหน้ารับผิดเรื่องนี้แต่โดยดีทั้งที่เรื่องทั้งหมดไม่ได้เกิดจากเขา แต่ก็ไม่เคยปริปากเรื่องนี้กับรุ่นน้อง เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะแก้ตัว
แต่ในใจส่วนลึกเขากลับดีใจที่ทำเรื่องนี้ลงไปในตอนนั้น เพราะเท่ากับดึงให้ผู้หญิงเห็นแก่เงินนั้นหลุดพ้นจากชีวิตพรายได้ แต่ไม่คิดว่าความสัมพันธ์ของเขาและรุ่นน้องที่คบกันมานานจะจบลงไปด้วย
“ยังไงก็ขอบใจนายนะที่ช่วยธามไว้ ถึงจะไม่เต็มใจก็เถอะ เอาเป็นว่าต่อไปเราจะหาทางแก้เองแล้วกัน ธามอย่าทำแบบนี้อีกนะลูก ถ้าธามตายความเดือดร้อนมันจะไปตกอยู่กับคนในหมู่บ้านนี้และใกล้เคียง เอาไว้พ่อจะเล่าให้ฟัง”
“ทำไมครับ อยู่ก็ไม่ได้ ตายก็ยังไม่ได้อีกเหรอ” น้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความอัดอั้นตันใจอย่างเหนื่อยหน่าย ดังขึ้นจนคนที่ได้ยินต่างก็พากันใจหาย
“กำนัน” ลุงฉ่ำเอ่ยเรียกพร้อมกับใช้สายตากดดันอีกฝ่าย ซึ่งแก้วและมานพก็ทำเช่นกัน เพราะอดสงสารคนที่นั่งสะอื้นอย่างไม่อายใครจนขอบตาแดงไม่ได้
“อย่ามาทำหน้าแบบนี้ใส่ผมนะลุง ลูกคุณหนูขนาดนี้จะมาอยู่บ้านนอกได้ไง ไม่ถึงวันก็ร้องกลับแล้ว”
“แล้วถ้าคุณเขาอยู่ได้ล่ะครับ กำนันจะอนุญาตใช่ไหม” ลุงฉ่ำถามขึ้นพร้อมกับความหวังที่วาดไว้ จนกำนันหนุ่มถึงกับเบือนหน้าหนี เพราะทนสายตากดดันของลุงฉ่ำไม่ได้ พอหันมาก็เจอกับลูกน้องและเพื่อนจนต้องเอ่ยขึ้น
“เออ!! ถ้าอยู่ได้ก็อยู่ แต่บอกก่อนนะว่าห้ามขึ้นบ้านเด็ดขาด ไม่ใช่แขกที่ฉันจะต้องต้อนรับ เตียงใต้ถุนบ้านมี อ้อ! อีกอย่างอยู่ได้แค่สองคน แต่หนึ่งในนั้นต้องไม่ใช่ไอ้เมฆา แล้วก็พาคนของมึงออกไปให้พ้นจากตำบลกู ออกนอกประเทศไปเลยยิ่งดี เหม็นขี้หน้า”
พรายพูดขึ้นเพียงเท่านั้นก็เดินดุ่มๆ ออกไปนั่งรอบนรถ
# ก็ปากแข็งอะนะใครจะทำไม กำนันพรายซะอย่าง แต่ก็ช่วยอยู่ดี