4. กลายร่าง
มานพพูดขึ้นเสียงดังตามปกติเมื่อเห็นเพื่อนสนิทมาจอดรถอยู่ทางเข้ารีสอทร์กลับไม่ยอมลงมา แต่สายตากลับจ้องไปที่เด็กหนุ่มวัยสิบแปดที่นั่งอยู่ด้านคนขับ
“เหอะ!ทำยังกับรีสอร์ทจะมีอะไรให้ปล้น ขนาดทีวียังไม่มีให้ลูกค้าดู จะให้เขามาปล้นเอาโถส้วมหรือไง”
“เมื่อไหร่มึงจะเฉดหัวไอ้เด็กเหลือขอนี้ออกจากบ้านวะ”
มานพยังคงพูดว่ารุ่นน้องเหมือนเดิมทุกครั้งเวลาที่อีกฝ่ายตอบโต้มา พรายยกยิ้มก่อนจะพูดขึ้นอย่างรู้ทัน
“ถ้ากูเฉดมันออกจากบ้าน มึงก็จะรีบอ้าแขนรับใช่ไหม”
พูดจบเขาก็เปิดประตูดันเพื่อนสนิทจนเซถอยไป ก่อนจะก้าวลงจากรถมาพร้อมกับเสียงของแก้วที่ดังถามขึ้น
“พี่พรายเมื่อกี้ว่าอะไรนะ เขาจะมาอ้าแขนรับผมทำไม พูดให้เคลียร์สิหมายความว่าไง”
แก้วเปิดประตูรีบลงมาตามคนที่พึ่งพูดไปเมื่อครู่ทันที แต่ก็เจอกับมานพที่ยืนขวางอยู่ พร้อมกับยกยิ้มมองหน้าเด็กหนุ่มที่ส่งสายตาดุมาให้เขา ราวกับเสือที่จะตะครุบเหยื่อ ผิดก็แต่คนตรงหน้าเหมือนแมวมากกว่านี่สิ
“จะรีบไปไหน เมื่อกี๊ยังปากเก่งอยู่เลย ทำตัวเป็นหมาไม่มีเจ้าของไปได้ เก่งแต่ตอนมีพวกเหรอไอ้หนู”
“คุณน่ะสิเป็นหมา” แก้วตอกกลับไปทันที ก่อนจะตามคนที่รีบเดินเข้าบ้านของมานพเหมือนกำลังหลบใคร
“อะไรวะ ทั้งเจ้านายทั้งลูกน้อง เห็นกูเป็นเจ้าของบ้านบ้างไหมเนี่ย ทำไมทำกับกูแบบนี้”
มานพเดินเข้าบ้านพร้อมกับเสียงบ่น ก่อนที่ลูกน้องจะเดินเข้ามารายงานเรื่องของแขกที่เข้ามาพัก เพราะมากันเป็นกลุ่มและท่าทางก็ดูแปลกๆ ด้วย เขาพึ่งกลับมาจากไปดูไร่ที่อยู่ติดกับป่าสงวน เลยไม่รู้ว่ามีใครมาพักในรีสอร์ท
ร่างสูงเดินเข้ามานั่งกับเพื่อนสนิท ซึ่งตอนนี้มันกำลังชงเหล้าให้อย่างเคย แก้วน้ำสีอำพันถูกส่งมาให้ก่อนที่เขาทั้งคู่จะยกมันชนจนเกิดเสียง แต่วันนี้กำนันพรายไม่ได้ดื่ม เพราะเป็นวันพระที่เขาต้องละเว้นจำศีลตามปกติ ในแก้วที่ยกใส่ปากจึงเป็นแค่น้ำอัดลมเท่านั้น
“เฮียวันนี้ลูกค้ามาจากที่ไหนไม่รู้ เข้าพักเกือบเต็มเลย”
“อย่าเวอร์ไอ้ก้าน รีสอร์ทกูมีตั้งยี่สิบห้อง พักเต็มคงยกโขยงมากันทั้งบริษัทมั้ง”มานพยังคงตอบออกไปด้วยความไม่รู้
“จริงครับเฮีย แถมยังแต่งตัวยังกะมาเฟีย จนพวกผมไม่กล้าเข้าไปถามเลย ดีที่มีลุงฉ่ำมาด้วย ไม่งั้นคงไม่รู้เรื่อง”
เพียงเท่านั้นมานพก็หันมาหาเพื่อนสนิท เพราะการที่เขามาที่นี่คงไม่ใช่มาหาตนแน่ เพราะถ้าลุงฉ่ำมากับคนอื่นคงมีเรื่องอะไรที่มันไม่อยากพูดให้ใครรู้
“เออ! รู้แล้วออกไปได้” เขาหันมาไล่พนักงานให้กลับไปทำหน้าที่ต่อ ก่อนจะมองหน้าเพื่อนที่นั่งนิ่งอยู่
“ใครวะ มึงรู้จักเหรอถึงได้ตามมาเฝ้าแบบนี้”
“กูไม่ได้เฝ้ามัน แค่มาดูลุงฉ่ำ”
พรายตอบเสียงเรียบ เขาคิดแบบนั้นจริง เพราะสิ่งที่สัมผัสได้ใช่ว่าลุงฉ่ำจะรับมือไหว ถ้าเป็นแต่ก่อนก็คงใช่ แต่ทุกวันนี้แกแก่มากแล้ว วิชาก็ไม่เคยได้ใช้อาจจะลืมบางช่วงบางตอนไปแล้วก็ได้ ขนาดบทสวดมนต์บางทียังให้ไอ้แก้วเขียนตัวหนังสือใหญ่ๆ ให้เลย
“ดู!! แล้วมึงมาดูอะไรในบ้านกู ทำไมไม่ไปดูที่ห้องลุงพักเขาล่ะ เกิดคนพวกนั้นทำอะไรลุงขึ้นมา คิดเหรอว่ามึงจะเข้าไปช่วยได้ทัน ถ้านั่งอยู่ตรงนี้”
มานพส่งเสียงตำหนิเพื่อนทันทีพร้อมกับทำท่าจะลุกออกไปเพราะกลัวคนกลุ่มที่ว่าจะทำอะไรลุงฉ่ำ พรายถึงกับส่ายหัวกับนิสัยใจร้อนของอีกฝ่าย ก่อนจะดึงแขนมานพให้นั่งลงอีกครั้ง
“พวกนั้นไม่ทำอะไรลุงหรอก แต่ถ้าทำจริงมึงจะสู้ลูกปืนที่เอวเขาได้เหรอ มีกันทุกคนนะกูจะบอกไว้ก่อน”
พรายพูดขึ้น ทำเอามานพถึงกับยิ้มแห้ง เพราะไม่คิดว่าคนกลุ่มนี้จะมีปืนมาด้วย ส่วนแก้วนั้นนั่งเงียบอยู่ริมหน้าต่าง สายตายังคงจับจ้องไปที่ห้องพักของรีสอทร์ ซึ่งมันอยู่ห่างออกไปครึ่งกิโล แต่ก็ยังพอมองเห็นได้ แม้ที่นี่จะมีต้นไม้ที่ปลูกประดับเอาไว้มากมายก็เถอะ
“มึงรู้จักด้วยเหรอวะคนกลุ่มนี้”
“อืม” พรายตอบเพียงแค่นั้น เพราะเรื่องนี้คนหัวสมัยใหม่อย่างมานพคงไม่เชื่อแน่ นอกจากจะเห็นกับตาตัวเอง ทำเอาคิ้วเรียวของเพื่อนสนิทผูกเป็นปมทันที เพราะคำตอบมันดูไม่กระจ่างชัดเอาซะเลย
“คือมึงตอบแค่นี้แล้วกูต้องเข้าใจทุกอย่างใช่ไหม” พรายเหลือบตามองเพื่อนเล็กน้อย ก่อนจะยกแก้วน้ำสีดำขึ้นดื่มจนหมด หากเป็นเหล้าคงเมาไปแล้วแน่ๆ
20:30 กำนันพรายยังคงนั่งอยู่ในห้องรับแขกของบ้านมานพ เพราะห่วงกังวลกลัวว่าลุงฉ่ำจะรับมือไม่ไหว เพียงแค่พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไป เสียงลมกระโชกก็เริ่มดังขึ้น จนเหล่าสมุนของมาเฟียใหญ่เริ่มขนลุกกันเกรียว แต่ก็ยังต้องยืนเฝ้ายามตามที่เจ้านายสั่ง
“บอกทุกคนกลับเข้าห้องกันเถอะครับคุณ ถึงอยู่ก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก เพราะไม่ได้สู้กับคนมีแต่จะทำให้สูญเสีย อีกอย่างดูท่าคนพวกนี้จะไม่รู้เรื่องด้วยใช่ไหม”
ลุงฉ่ำเอ่ยบอก ก่อนเขาจะกลับเข้าไปดูคนที่นั่งสมาธิอยู่ด้านใน เมฆาก็ทำตามที่บอก เพราะเขาเองก็เคยเห็นฤทธิ์ของลูกชายมาแล้ว ถ้าหากเกิดเรื่องนั้นอีกลูกน้องที่ไม่รู้ก็คงจะเล็งปืนใส่ไปยังธามโดยไม่ลังเลแน่
“นายจะไม่เข้าไปพักก่อนเหรอครับ เดี๋ยวผมจะเฝ้าเอง”
“ขอบใจนะโรม ฉันอยากรอให้พ้นคืนนี้ไปก่อน ดูเหมือนว่ามันจะยากเหลือเกินจนฉันหวั่นใจ”
“ผมว่าลุงฉ่ำแกน่าจะเอาอยู่นะครับ” โรมพูดปลอบใจเจ้านายที่ดูจะกังวลเอามากๆ ไม่ต่างจากเขานักหรอก เพราะบรรยากาศที่นี่มันช่างแตกต่างจากทุกครั้ง แม้มันจะพึ่งผ่านมาแค่สามวันพระก็เถอะ แต่ทุกครั้งมันจะดูรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และครั้งนี้ก็ยิ่งเป็นวันพระใหญ่ด้วย เกรงว่าจะคุมร่างที่จะแปรเปลี่ยนเป็นเสือนี้ไม่ได้
ทั้งคู่จึงนั่งอยู่ในห้องโดยที่ยังคงเปิดประตูทิ้งไว้ เพราะยังไงเสียเมฆาก็เคยร่ำเรียนวิชาติดตัวมาบ้าง แต่ก็แค่พอป้องกันตัวเท่านั้น ไม่ได้เก่งกาจอะไรจนสามารถช่วยลูกชายได้ คราวก่อนที่เขาสามารถใช้กระสุนหยุดร่างที่กำลังแปรเปลี่ยนได้ ก็เพราะคาถาที่อาจารย์เทียนเคยให้มาพร้อมกับตะกรุดเล็บเสือ เลยทำให้ร่างที่กำลังจะกลายเป็นเสือสงบลง ดีที่เมฆายังเชื่อเรื่องนี้อยุ่บ้าง
ไม่งั้นธามคงไม่มีลมหายใจอยู่ถึงตอนนี้ ถึงมีก็อาจจะไม่ใช่คนเดิม เพราะถ้าเขาไม่พยายามช่วยลูกเอาไว้ ป่านนี้ธามอาจจะอยู่ในป่าลึกที่ไหนสักแห่งไปแล้วก็ได้
21:00 “ตึก! ตึก! โครม!” เสียงจากข้างห้องดังขึ้นจนคนที่เฝ้าอยู่ถึงกับต้องรีบหันมองหน้ากัน
“ลุงฉ่ำเปิดประตูสิลุง เกิดอะไรขึ้น” เมฆาตะโกนเรียกด้วยท่าทีตื่นตระหนก พร้อมกับทุบประตูไปด้วย แต่ด้านในกลับไม่มีเสียงตอบรับ
ก่อนที่ร่างเขาจะเซถลาออกมาจากประตูด้วยแรงกระชากของใครบางคน แต่พอรู้ว่าเป็นกำนันพรายเขาก็ถอยออกมายืนอยู่ข้างรุ่นน้องนิ่ง ร่างสูงพนมมือขึ้นเป่าคาถาสะเดาะปลดล็อคประตู ก่อนจะถีบมันออกหลังจากนั้น ภาพตรงหน้าที่เห็นคือลุงฉ่ำกำลังถูกคร่อมด้วยร่างซึ่งเต็มไปด้วยแพขนลายพาดกลอน แต่มันไม่ใช่สีเหลืองตามปกติที่ควรจะเป็น แต่เป็นสีขาวนวลดูสวยงาม
แต่มันไม่ได้เป็นอย่างตาเห็นเท่าใดนัก เพราะแววตาแดงก่ำที่จ้องมองมามันดูน่ากลัวเป็นอย่างมาก ทำเอาทุกคนถึงกับผงะถอยออกมายืนด้านหลังของกำนันพราย ไม่เว้นแม้แต่เมฆาที่ตื่นกลัวต่างจากทุกครั้ง เพราะดูเหมือนลูกชายตรงหน้านี้จะถูกกลืนกินจากวิญญาณร้ายแล้ว
นัยน์ตาคมจ้องมองร่างที่ยังคงใช้มือวางบนตัวของลุงฉ่ำ ซึ่งตอนนี้มันเริ่มจะกลายเป็นอุ้งเท้าของเสือร้ายแล้ว มันกำลังเปลี่ยนร่างไปทีละนิด จนไม่ได้สนใจคนที่นอนนิ่งและจะกลายเป็นเหยื่อของมันในไม่ช้าถ้าหากเขาไม่เข้ามาเสียก่อน ลุงฉ่ำซึ่งสลบไปแล้วตั้งแต่ถูกมันกระโจนใส่
แกชนเข้ากับขอบเตียงจึงทำให้หมดสติ ทำเอาไอ้แก้วและมานพที่ยืนตัวสั่นอยู่อดเป็นห่วงไม่ได้ แต่ก็ไม่รู้จะช่วยยังไง เพราะแววตาที่สัตว์ร้ายส่งมามันน่ากลัวจนขาขยับไม่ได้กันเลยทีเดียว มือเรียวของพรายล้วงเข้าไปในกระเป๋าคาดอกที่พกมาด้วย
เขาหยิบสิ่งวิเศษของพระสงฆ์ขึ้น บริกรรมคาถาหนึ่งบทบนผ้ารัดอกของพระอาจารย์ที่เขานับถือซึ่งเขาขอมาก่อนจะตรงมาที่นี่ ซึ่งมีการลงอักขระไว้แล้ว ก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาร่างนั้นอย่างไม่เกรงกลัว ทำให้ร่างที่กำลังจะกลายเป็นเสือเต็มตัว ตั้งท่าจะกระโจนหนีออกไปทางหน้าต่าง เพราะรู้ตัวว่ามันคงสู้คนตรงหน้าไม่ได้
แต่กลับถูกมือใหญ่ของกำนันพรายจับล็อคที่ขาเรียวด้านหลังเอาไว้ทัน พร้อมกับใช้สองขาหนีบร่างไว้ราวกับคนใต้ร่างนี้เป็นแค่คนธรรมดา ซึ่งมันต่างจากภาพที่เห็นเป็นอย่างมาก เพราะเรื่องจริงคืออีกฝ่ายกำลังจะกลายเป็นเสือต่างหาก
เมื่อล็อคร่างนี้ได้แล้วกำนันพรายก็รีบเอาผ้าคาด อกของพระอาจารย์คล้องคอเด็กหนุ่มทันที เพียงเท่านั้นร่างนี้ก็หมดสติลง พร้อมกับเสียงลมที่พัดกระหน่ำมาราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังโกรธเกรี้ยวโมโหจนระบายออกมาด้วยวิธีนี้
ก่อนที่ร่างเล็กเต็มไปด้วยขนสีขาวตัดดำจะเจือจางออกไปจนหมด เผยให้เห็นร่างเปลือยของเด็กหนุ่มที่นอนคดอยู่ใต้ร่างของกำนันที่ยังคงยืนอยู่ จนกำนันหนุ่มถึงกับต้องกลืนน้ำลายเลยทีเดียว ก่อนจะรีบถอดเสื้อเชิ้ตของตัวเองออกมาคลุมให้ เพื่อกันความอุจาดที่คนอื่นน่าจะมองอยู่ เมฆารีบดึงผ้ามาคลุมและอุ้มลูกชายขึ้นไปนอนบนเตียง พรายจึงหันมาหาลุงฉ่ำที่ฟื้นขึ้นมาแล้ว
“เป็นไงลุง เกือบไม่รอดแล้วไหมล่ะ” พรายหันมาพูดแซวคนที่กำลังนั่งเอามือจับท้ายทอยตัวเอง พร้อมกับแก้วที่นั่งเอามือลูบให้ราวกับว่ามันจะช่วยให้ดีขึ้น
“ก็ถ้ากำนันไม่มาผมก็คงแย่ครับ คิดว่าจะเอาอยู่ซะอีก ของมันแรงมากเหลือเกิน คงเป็นคนที่มีวิชามากคนหนึ่ง”
“สมิงลายขาว คงแก่วิชามากแหละ ถ้าได้ร่างนี้ไป ป่าทั้งแถบนี้คงเป็นของมันตัวเดียว”
พรายพูดขึ้นแต่สายตากลับเหลือบไปมองคนที่นอนอยู่บนเตียง ใบหน้าที่เคยมีเส้นขนขึ้นตอนนี้หลงเหลือเพียงร่องรอยของหมัดที่เขาชกเมื่อกลางวันให้เห็น เพียงเท่านั้นก็เริ่มรู้สึกผิดขึ้นมาอีก ก่อนที่นัยน์ตาหม่นจะส่องประกายความขุ่นเคืองอีกครั้งเมื่อหันมาพบคนที่เคยหักหลังเขา
“ขอบใจที่มาช่วยหลานนะพราย”
“กูไม่มีหลาน แล้วก็เป็นลูกคนเดียวไม่มีพี่ ที่สำคัญก็มาช่วยคนของกูไม่ได้มาช่วยพวกมึง”
กำนันพรายยังคงเสียงแข็งใส่ ก่อนจะคว้าเอาแขนของลุงฉ่ำให้เดินตามออกมาจากห้อง ทำเอาโรมถึงกับต้องยืนขวางเอาไว้ เพราะกลัวว่าจะเกิดเรื่องอีกครั้ง
“คุณจะไปไหนครับ ช่วยแล้วก็ช่วยให้ถึงที่สุดไม่ได้เหรอ คุณธามน่าสงสารแค่ไหนคุณก็เห็นแล้ว”
“หึ! ก็ถ้าไม่ถอดผ้านั่นออก คืนนี้พวกคุณก็นอนหลับได้อย่างไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น แล้วก็อย่ามายุ่งกับคนของผมอีก เห็นแล้วใช่ไหมว่าลุงฉ่ำเกือบตายเพราะพวกคุณ”
พรายพูดขึ้นเสียงดังด้วยความโมโห ก่อนจะดึงแขนลุงฉ่ำให้เดินตามมาพร้อมกับมานพและแก้ว เมฆาเดินตามออกมามองที่หน้าประตู
“ช่างเถอะโรม เขามาช่วยแค่นี้ก็ดีแล้ว ถ้าผ่านคืนนี้ไปได้จริง เราค่อยหาทางออกเองแล้วกัน” เมฆาบอกกับคนสนิทก่อนจะกลับไปนั่งเฝ้าลูกชาย และหลับตามกันไปในที่สุด