3. ปากดี
แม้จะออกปากไล่สักกี่ครั้งแต่เมฆาก็ยังดื้อดึงที่จะร้องขออีกฝ่ายอยู่เช่นนั้น กำนันเองก็ไม่คิดว่ามาเฟียใหญ่จะมาร้องขอให้ช่วยแบบนี้ ถึงแม้เขาอยากเอาคืนมากกว่านี้ก็เถอะ แต่พรายก็ใช่ว่าจะเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น จนทำเรื่องผิดเพียงแค่เห็นหน้าอีกฝ่ายที่นี่ แค่ไม่ตบปากรับคำช่วยก็น่าจะเพียงพอแล้ว เพราะดูท่าคงหาคนทำงานให้ไม่ได้จนต้องมาร้องขอเขาถึงบ้าน
เมฆายืนมองอีกฝ่ายด้วยสายตาสำนึกผิด แต่มันก็ไม่ช่วยให้พรายสงบความโกรธในใจลงได้ เพราะสิ่งที่ตนเคยทำมันยากเกินจะให้อภัย ไม่งั้นพรายคงไม่หนีมาอยู่ที่นี่ กำนันยกยิ้มเหยียดอีกฝ่ายพร้อมด้วยสายตาดูถูก
“ไอ้แก้วไล่พวกมันไป แล้วอย่าให้คนพวกนี้มาเหยียบบ้านกูให้เป็นเสนียดอีก”
“พราย พี่ขอโทษกับเรื่องเมื่อก่อน แต่ได้โปรดเถอะนะมีแค่นายที่จะช่วยธามได้ พี่ขอร้องล่ะ”
เมฆายื่นมือมาจับไหล่ของอีกฝ่ายเพื่อให้เขาหันกลับมา แต่พรายกับกระชากออก แต่รุ่นพี่ก็ไม่ลดละความพยายามจึงทำเหมือนเมื่อครู่อีก แต่คราวนี้ร่างสูงของพรายหันกลับมาพร้อมกับยกยิ้ม
“มึงนี่มันวอนหาเรื่องจริงๆ” เสียงเย็นของกำนันหนุ่มดังขึ้น ก่อนที่เขาจะง้างแขนสุดแรงเพื่อชกหน้า หมัดแกร่งหวดกระทบใบหน้าของอีกฝ่ายเต็มแรง แต่มันไม่ใช่คนที่เขาอยากให้เจ็บ เมื่อร่างที่เซถลาไปคือธาม
เด็กหนุ่มซึ่งลงจากรถตรงมาตั้งแต่เห็นพ่อถูกกำนันสะบัดไหล่ใส่แล้ว พอพรายง้างหมัดเขาก็เข้ามารับแทนพ่อทันที เมฆารีบลงไปประคองลูกชายด้วยความสงสาร ใบหน้าที่ขาวเนียนตอนนี้มันกลับมีรอยแดงช้ำจนเห็นได้ชัด เสื้อฮู้ดที่สวมใส่อยู่จึงเผยใบหน้าเขาออกมาให้ทุกคนเห็น
พรายนิ่งไปชั่วครู่ ไม่คิดว่าจะมีคนวิ่งเข้ามารับหมัดแทนแบบนี้ โดยเฉพาะคนที่ทรุดอยู่คือเด็กคนเดียวกันที่เขาเคยไปรับส่งที่โรงเรียนเมื่อแปดปีก่อน ธามลุกขึ้นยืนพร้อมกับใช้นิ้วลูบลงที่แก้มของตัวเอง นัยน์ตาสวยจ้องมองคนตรงหน้าที่ไม่ได้เจอกันมานาน ก่อนที่มันจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเหมือนสัตว์ชนิดหนึ่ง ซึ่งพรายรู้ดีว่ามันคืออะไร
“ถ้าอาพรายไม่อยากช่วย พวกเราก็จะไม่รบกวน คงพอใจแล้วสินะที่ได้ทำแบบนี้” เสียงทุ้มเล็กที่คนรอบตัวเคยได้ยินตอนนี้มันกับปะปนไปด้วยความน่าสะพรึงในตัว แม้คำพูดจะไม่ได้ดุดันอย่างที่ได้ยิน แต่มันกลับดูเย็นยะเยือกจนน่าขนลุก
“ลุงทำไมบรรยากาศมันถึงได้ดูแปลกๆ แบบนี้” แก้วกระซิบถามลุงฉ่ำ เมื่อรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงฉับพลันของสภาวะรอบตัว อีกฝ่ายส่งเพียงสายตาตำหนิเท่านั้น
ก่อนจะหันมาสนใจเด็กหนุ่มตรงหน้าที่ยังยืนจ้องกำนันไม่หลบตา ผิดธรรมชาติที่ใครเห็นก็เกรงบารมีที่อยู่ในกายของกำนันพรายผู้นี้
“หึ! ก็ออกจากบ้านกูไปสิ จะมาอยู่ให้รกตาทำไม” พรายยังคงพูดเสียงแข็งใส่คนที่ตัวเล็กกว่าเขา แม้จะใจหายที่ทำอีกฝ่ายบาดเจ็บ แต่พอเห็นสีหน้าเจ็บปวดของเมฆา เขาก็รู้สึกสะใจอยู่ไม่น้อย
“จะปล่อยให้ออกไปจริงเหรอกำนัน เด็กนี่คงไม่มีทางรอดถ้ามาถึงที่นี่แล้ว มันคงไม่ปล่อยไว้แน่”
ลุงฉ่ำพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มพาคนเป็นพ่อกลับขึ้นรถไปแล้ว และกำลังจะเคลื่อนออกไปจากบริเวณบ้าน
“คนเราเกิดมาก็ต้องตายไหมลุง พวกมันอยากลนหาเรื่องเอง อยากได้อยากดีจนทำเรื่องเลว ชั่วทั้งตระกูล”
พรายพูดในสิ่งที่เขาสัมผัสได้ เขาไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้เพราะมันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ หากเข้าไปพัวพันก็มีแต่จะนำปัญหามาให้ตัวเองได้ยุ่งยาก
“แต่มันไม่เกี่ยวกับเด็กคนนี้นะครับ อีกอย่างกำนันก็รู้จักกับเขาไม่ใช่เหรอ พ่อกับลูกจะเอามาเกี่ยวกันไม่ได้หรอกนะ ยังไงก็คิดให้ดี จะมาคิดช่วยตอนสายมันก็ไม่ทันแล้วนะครับ แต่ผมคงปล่อยไปแบบนี้ไม่ได้”
ลุงฉ่ำพูดจบก็เดินตรงไปที่รถซึ่งกำลังเคลื่อนถอยออกไป เขาโบกมือส่งสัญญาณให้จอด และก็เป็นโรมที่เดินลงมาพูดคุย ไม่นานลุงฉ่ำก็เดินอ้อมไปยังเรือนด้านหลังที่เขาพักอาศัยอยู่ ก่อนจะกลับมาพร้อมถุงย่ามขนาดใหญ่แล้วขึ้นรถออกไปกับคนกลุ่มนี้ด้วย
“อ้าว!! ลุงจะไปไหนเนี่ย” แก้วตะโกนถามลุงของตัวเองที่ตามคนแปลกหน้าไปแบบไม่คิดจะถามความคิดเห็นเขาเลยสักนิด ก่อนจะหันมามองหน้ากำนันที่ยืนนิ่งอยู่
“พี่พรายเอาไงล่ะทีนี้ ให้ฉันไปตามลุงกลับมั้ย” แก้วหันมาถามด้วยความสงสัย เพราะเห็นแล้วว่ากำนันไม่ถูกกับคนกลุ่มนี้แค่ไหน แต่ลุงเขายังจะตามไปอีก
“ลุงมึงกลับบ้านไม่ถูกเหรอ ถึงต้องไปตาม” พรายพูดเพียงแค่นั้นก่อนจะเดินขึ้นเรือน ปล่อยให้แก้วยืนเกาหัวมองตามอย่างไม่เข้าใจ ไม่รู้ต้องไปต่อยังไงดีระหว่างตามลุงกับขึ้นเรือนตามกำนันไปกันแน่
“ชิ! มันอะไรกันวะเนี่ยคนหล่องง” เสียงบ่นดังขึ้นก่อนสุดท้ายจะเดินขึ้นเรือนไป เพราะวันนี้ลุงไม่อยู่ก็เป็นหน้าที่เขาต้องทำอาหารแทน
รถแวนคันหรูเคลื่อนออกมาได้ไม่ไกล ก็ต้องจอดในรีสอร์ทใกล้ที่สุดซึ่งมันอยู่ห่างจากตำบลแปดทิศมาแค่สิบกิโล เพราะลุงฉ่ำต้องรีบทำพิธีกลบกลิ่นที่มันกำลังคละคลุ้งอยู่ในตอนนี้ เพราะสิ่งสำคัญคือเด็กหนุ่มย่างกลายเข้ามาในอณาเขตของวิญญาณตนนี้แล้ว จึงยากที่จะควบคุมปิดบังซ่อนตัวเอาไว้เช่นทุกครั้ง
“ขอบคุณที่ช่วยนะครับ” เมฆาพูดพร้อมกับยกมือไหว้อีกฝ่าย ซึ่งธามและโรมก็ทำเช่นกัน
“ผมแค่ไม่อยากเห็นใครมาตายต่อหน้า ทั้งที่พอจะช่วยยืดเวลาได้เท่านั้น แต่ก็ไม่แน่ใจนักนะครับว่าจะสำเร็จไหม ผมก็ไม่ใช่คนเก่งวิชาอะไร ถ้าเทียบกับกำนันก็ห่างชั้นมาก แต่ถ้ามันพอจะช่วยให้เจ้าหนุ่มนี้มีชีวิตต่ออีกหนึ่งศีลก็ยินดี ถือว่าสร้างบุญบารมีให้ตัวเองแล้วกัน”
“แค่นี้ก็ดีแล้วครับ อย่างน้อยเราก็ยังพอมีเวลาหาคนที่มีวิชามาช่วยได้ ก่อนนี้คิดว่ามันก็แค่นิทานหลอกเด็กของคุณปู่ทวดที่เล่าต่อๆ กันมา ไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องจริงจนวันที่ลูกชายผมเกือบจะฆ่าคน”
เมฆาเล่าถึงตรงนี้ก็เงียบไป ในตอนนั้นเขาจำต้องยิงธามเพื่อหยุด ไม่ให้ลูกชายกลายเป็นฆาตกรในวันพระซึ่งอายุครบยี่สิบพอดี ยังดีที่ธามยังอยู่ในช่วงแรกของคำสาป ความร้ายกาจในตัวจึงมีไม่มากนัก แต่มันก็ทำให้คนที่พบเห็นตกใจไม่น้อย ยังดีว่าขนที่ขึ้นมามันปกคลุมใบหน้าจนไม่รู้ว่าเป็นใคร นอกจากเขาและโรมที่รู้ว่านั่นคือธาม
“ถ้าพ้นคืนนี้ไปได้ ก็ค่อยคิดหาวิธีใหม่แล้วกันครับ” ลุงฉ่ำเอ่ยบอกก่อนจะตั้งโต๊ะพิธีไม่นานก็แล้วเสร็จ และออกมานั่งทานข้าวร่วมกับเมฆากับลูกชาย เพื่อรอเวลาหลังหกโมงที่ร่างนี้จะกลายเป็นสัตว์หน้าขน ซึ่งมันแปลกประหลาดต่างจากตำนานที่เคยได้ยินมา เพราะปกติมันจะไม่ปรากฏแค่ช่วงวันพระเช่นนี้ และยังมาอยู่ในร่างของคนที่ไม่เคยเข้าป่าสักครั้งอย่างเด็กหนุ่มนี่อีก
“ทานเยอะๆ นะธาม” เมฆาเอ่ยกับลูกชายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทำเอาลุงฉ่ำยิ้มตามอย่างเอ็นดู เพราะไม่คิดว่าคนที่ดูน่าเกรงขามจะมีมุมนี้กับเขาด้วย
“พ่อทานเถอะครับธามไม่ค่อยหิว พึ่งทานแซนวิชที่พี่โรมเอาให้กินบนรถพร้อมกับกาแฟด้วยยังอิ่มอยู่เลย” ธามตอบออกไปก่อนจะยิ้มส่งให้ผู้เป็นพ่อ เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายคงกำลังห่วงเขามาก พอมาอยู่ใกล้สถานที่เจ้าของวิญญาณแบบนี้ด้วยก็ยิ่งกังวล
“ถ้างั้นก็รีบเข้าไปข้างในเถอะครับ พระอาทิตย์จะลับขอบฟ้าแล้ว ถ้าขืนชักช้้าอาจจะทำให้มันได้กลิ่นซะก่อน”
ลุงฉ่ำเอ่ยบอกเมื่อทานอาหารเสร็จแล้ว ก็ลุกขึ้นเดินนำเข้าไปด้านในห้อง ก่อนจะให้ธามนั่งขัดสมาธิหน้าโต๊ะที่มีพระพุทธรูปตั้งอยู่ ซึ่งเด็กหนุ่มก็ทำตามอย่างว่าง่าย เพราะไม่อยากให้คนมาช่วยต้องลำคาญใจ
“หวังว่ามันจะพอช่วยได้ไม่มากก็น้อยนะครับ เพราะผมเองก็ไม่รู้ว่าไอ้เจ้าวิญญาณนั้นมันจะมีฤทธิ์เดชมากแค่ไหน แต่จากที่รับรู้ได้ก็คงจะแกร่งพอตัว คืนนี้ยิ่งเป็นวันพระใหญ่ด้วย อะไรที่ใช้ควบคุมก่อนหน้านี้อย่าลืมให้คุณเขาใส่ไว้นะครับ เพราะผมอาจช่วยได้ไม่มาก”
ลุงฉ่ำเอ่ยบอกมาเฟียใหญ่ที่นั่งอยู่บนเตียง ซึ่งเขาก็ได้ยื่นตะกรุดส่งให้ธาม ก่อนที่ชายแก่ที่นั่งอยู่จะเอ่ยขึ้น
“ขอลุงดูหน่อยได้ไหมครับคุณ” ธามยื่นของในมือส่งให้ด้วยความเต็มใจ ลุงฉ่ำมองเพียงครู่ก็ยกยิ้ม
ก่อนจะส่งคืนตะกรุดให้เจ้าของไป โดยที่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา จนเมฆาและโรมต่างก็สงสัยจนอดถามไม่ได้
“ทำไมนิ่งไปล่ะครับลุง” เสียงจากโรมดังขึ้น
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ไม่คิดว่าสมบัติของอาจารย์เทียนจะไปอยู่ในมือของคุณธามได้ เพราะมันหายสาบสูญไปนานแล้วพร้อมกับการเสียชีวิตของท่าน”
ลุงฉ่ำพูดขึ้นในสิ่งที่แกรู้มา เมื่อสี่สิบปีก่อนแกคือลูกศิษย์ปู่ทวดของกำนันพราย ซึ่งชอบติดตามไปทุกที่โดยเฉพาะในป่า จนวันที่ท่านได้ตระกรุดเล็บเสือนี่มาลุงฉ่ำก็อยู่ด้วย และเป็นคนจัดทำกรอบใส่เองกับมือถึงจำได้ดีไม่มีลืม ซึ่งในวันนั้นแกและอาจารย์ออกล่าสัตว์ตามปกติ
แต่กลับไปเจอซากเสือโคร่งนอนตาย จึงได้ถือโอกาสทำพิธีเลาะเอาหนังหน้าเสือก่อนจะถอดเขี้ยวและเล็บของมันออกมา เพื่อนำมาทำเป็นเครื่องรางของขลัง แต่ไม่คิดว่าหนึ่งในสามอย่างจะตกมาอยุู่ในตระกูลของคนมีอิทธิพลได้
“ตะกรุดนี่ปู่เทียนมอบให้คุณปู่ผมครับ บอกว่าในวันหนึ่งจะต้องใช้มันเพื่อคุ้มครองลูกหลานรุ่นที่ห้า คงหมายถึงธาม เพราะตั้งแต่อายุครบยี่สิบก็เกิดเรื่องนี้ขึ้น ผมเลยต้องให้เขาสวมสร้อยนี่ทุกวันพระ ส่วนวันอื่นผมเป็นคนเก็บไว้ เพราะเขาใส่ได้แค่วันพระเท่านั้น”
“อย่างนี้นี่เอง อาจารย์คงรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถึงได้มอบของสำคัญให้แบบนี้ ถ้างั้นก็รักษาไว้ให้ดีนะครับ”
ลุงฉ่ำเอ่ยด้วยน้ำเสียงของคนที่มีเมตตาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพราะแกบวชเรียนมาหลายปีและมาอยู่รับใช้ติดตามอาจารย์เทียนจนตายจาก ตอนนี้แกก็หกสิบสี่แล้ว จึงเป็นที่รักของคนในหมู่บ้านมากรวมถึงกำนันพรายด้วย
จึงไม่แปลกที่เขาจะตามมาจอดรถเฝ้าอยู่ที่บ้านเจ้าของรีสอร์ท ซึ่งเป็นเพื่อนกับเขาที่รู้จักกันตั้งแต่เด็ก ก่อนกำนันจะย้ายไปเรียนที่กรุงเทพ และกลับมาอยู่ที่นี่ถาวรก็ตอนที่เจ็บปวดเพราะความรักนี่แหละ
“ไม่เข้าไปเหรอพี่พราย จะมาเฝ้าอยู่แบบนี้จะช่วยอะไรได้ มันจะมืดแล้วนะ” แก้วส่งเสียงท้วงทันที
“อยากเข้าก็เข้าไปสิ กูมัดขามึงไว้เหรอ”คำตอบที่ได้รับมาทำเอาแก้วถึงกับส่ายหัว ก่อนจะเบือนหน้าหนีออกไปนอกรถ เพื่อสังเกตการณ์รอบนอก
แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรต่อกระจกรถก็ถูกเคาะด้วยฝีมือมานพ เพื่อนสนิทของกำนันพราย ซึ่งเป็นไม้เบื่อไม่เมากับแก้ว ที่เจอกันไม่ได้ต้องคอยหาเรื่องตลอด
“ไอ้พราย มึงมาจอดรถหน้ารีสอร์ทก็ทำไมไม่ลงจากรถ หรือมาดูลู่ทางปล้นรีสอร์ทกูห๊ะ”
# หึ! สุดท้ายก็ตามมาจนได้