2. กำนัน vs มาเฟีย
รถแวนคันหรูจอดลงหน้าทางเข้าของเรือนไทยหลังใหญ่ ซึ่งมันตั้งเด่นเป็นสง่าท่ามกลางป่าและทุ่งนาที่อยู่ล้อมรอบคนละฝั่ง ยิ่งมองก็ยิ่งร่มรื่น เห็นถึงบรรยากาศที่น่าอยู่ แต่นั่นมันก็แค่ช่วงกลางวันที่ยังมีชาวนาเดินไปมา หากเป็นตอนกลางคืนที่นี่ก็ไม่ต่างจากป่าช้าดีดีนักหรอก เพราะไม่มีใครอยากจะออกมาเดินในตอนกลางคืนให้ขนลุกเล่น
เสียงรถที่แล่นเข้ามาหลายคัน ทำเอาคนที่อยู่ใต้ถุนเรือนไทยถึงกับต้องเดินออกมาดู ลุงฉ่ำยืนขมวดคิ้วมองคนแปลกหน้าที่พากันเดินลงจากรถมานับสิบ และยังยืนรายล้อมรถเอาไว้อย่างกับบดิการ์ดในหนังที่เคยดู
แต่ละคนแต่งตัวราวกับจะไปประชุมที่ไหน เพราะใส่สูทผูกไททั้งที่อากาศก็ร้อนจะตาย ไม่นานคงเห็นคนเหล่านี้ถอดเสื้อด้านนอกออกแน่แ ต่ก็มีแค่สามคนที่เดินเข้ามา ก่อนจะยกมือไหว้เขาและคนงานอีกสองคนอย่างนอบน้อม ทำเอาคนแก่ต้องรีบรับไหว้ทั้งสามที่เดินเข้ามาทันที
“มาหาใครกันล่ะพ่อ” เสียงของชายแก่ถามออกไป พร้อมกับสายตาสาดส่องมองทุกคน ไม่เว้นแม้แต่พวกที่ยังอยู่นอกเขตบ้าน ต่างก็ยืนนิ่งเหมือนหุ่นยนต์
“เราจะมาพบกำนันพรายครับ” ยังเป็นโรมที่เอ่ยปาก
“กำนันไม่อยู่นะ คงต้องรอจนบ่ายนู่นแหละ”
“ไม่เป็นไรครับ ถ้าไงขอเอารถเข้ามาจอดได้ไหม พอดีเจ้านายผมรออยู่บนรถครับ”
ลุงฉ่ำเอียงคอมองผ่านร่างสูงของหนุ่มหล่อไป ก่อนจะพยักหน้าให้ แต่ก็อนุญาตแค่คันเดียว เพราะถนนหน้าบ้านก็พอจะจอดได้ และไม่อยากให้คนแปลกหน้าเข้ามาในตอนที่เจ้าของบ้านไม่อยู่ โรมยิ้มอย่างเป็นมิตรให้คนแก่กว่าและคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง
“ใครกันน่ะลุง อย่างกับพวกมาเฟียเจ้าพ่อในหนังจีนเลยแล้วไม่ร้อนกันหรือไงดูสิ หรือว่าเสื้อเขาจะติดแอร์ด้วย”
“เพียะ!!” เสียงขันดังกระทบหัวของคนงานที่ตั้งคำถามราวกับคนฟังจะหาคำตอบให้ได้เสียอย่างนั้น
“สมองมีเอาไว้กั้นหูซือๆ ติ บ้านพ่อมึงติเสื้อสิติดแอร์ได่”
“โอ๊ย!!บักห่านี่แหมกูแฮ่งโง่ยุ่” เสียงก่นด่าเพื่อนร่วมงานดังขึ้น ทำเอาลุงฉ่ำต้องหันมาปรามในทันที ก่อนจะหันกลับไปยังรถแวนที่เคลื่อนตัวเข้ามาจอดใต้ต้นไม้ใหญ่หน้าบ้าน ร่างสูงในเสื้อเชิ้ตสีขาวก้าวลงมาจากรถพร้อมกับมองคนที่นั่งอยู่ใต้ถุนเรือนนิ่ง เขาไม่อยากมาที่นี่นักหรอก ถ้าไม่ใช่เพราะกังวลเรื่องของลูกชายคนเล็ก
“สวัสดีครับ ยังไงนั่งรอตรงนี้ก่อน เพราะกำนันไม่อยู่ผมก็ไม่กล้าให้คนแปลกหน้าขึ้นไปด้านบน ยังไงอย่าถือสาคนบ้านนอกกันเลยนะครับ”
“ไม่เป็นไร” เสียงเย็นเฉียบดังขึ้นเพียงเท่านั้น เขาก็หันไปที่รถซึ่งยังมีลูกชายนั่งอยู่ด้านใน
ธามกำลังนั่งไถมือถือดูข่าวคราวคนรักที่กำลังขึ้นแท่นเป็นนางเอกเต็มตัว เขาคบกับเธอตั้งแต่อีกฝ่ายยังไม่ได้เป็นดารา ตอนนั้นมีนาเป็นคนสารภาพรักกับเขาในช่วงเรียนมัธยม ทั้งคู่จึงคบกันเรื่อยมาจนถึงตอนนี้ก็เข้าปีที่สามแล้ว
แต่ช่วงหลังมานี่ต้องห่างกันจนนานๆ เจอที จนเขาเป็นฝ่ายบอกเลิกเธอไป เพราะไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้ใช้ชีวิตต่ออีกไหม และนี่คือสาเหตุที่เขาต้องมาที่นี่ หนุ่มหน้าหวานซึ่งพึ่งจะอายุยี่สิบ เขากำลังตกอยู่ในช่วงที่คำสาปของวิญญาณร้ายจะทวงคืนสิ่งที่ควรจะเป็นของมัน
หลังจากที่ปล่อยให้เขาใช้ชีวิตอย่างผาสุขมาตั้งแต่เกิด เพียงแค่ถึงวันครบรอบปีนี้ชีวิตของธามก็เปลี่ยนไป เขาออกนอกบ้านได้แค่ตอนกลางวัน เรียกได้ว่าหกโมงเย็นต้องรีบเข้าบ้านเพื่ออยู่ในห้องพระ เพื่อกลบกลิ่นที่จะนำพาบางสิ่งมาหา
กลิ่นเลือดที่หอมหวลมันชักนำให้เจ้าของมันอีกครึ่งในร่างนี้ ตามหาเขาในทุกคืนวันพระ
มันไม่ใช่เพียงแค่คำสาปอย่างเดียว แต่เป็นการฝากฝังของสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติที่ทำขึ้น เพื่อแลกกับความต้องการของใครบางคน ที่เห็นแก่ตัวจนไม่นึกถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดในภายหน้ากับลูกหลานของตน อาจารย์เสริมปู่ทวดของธาม เจ้าของอวิชาที่จองจำเสือสมิงลายพาดกลอนสีขาวต่างจากเสือทั่วไป
เพื่อให้มันนำไปเอาสมบัติ ซึ่งถูกซุกซ่อนไว้ในสมัยอดีตหลายพันปี สุดท้ายก็ได้ให้คำสัตย์แก่มันในตอนนั้นว่าจะให้อิสระ พร้อมสิ่งที่มันต้องการและสิ่งที่เสือตัวนั้นเอ่ยขอคือร่างที่สมบูรณ์และอยู่ในวัยหนุ่มเต็มตัว แต่ปู่ทวดของธามก็ฉลาดพอที่จะไม่ให้มันเกิดขึ้นในช่วงที่ตนเองยังมีชีวิตอยู่ จึงเอ่ยปากรับคำว่าจะให้มันสมหวังในอีกแปดสิบปีต่อจากนั้น และคนที่รับเคราะห์ในช่วงนี้ก็คือธามลูกชายคนเล็กของเมฆา
“คุณธาม ไม่ลงไปเหรอครับ ที่นี่บรรยากาศดีนะ”
“ผมต้องอยู่ที่นี่จริงเหรอพี่โรม” ธามถามขึ้น พร้อมกับนัยน์ตาสวยที่สาดส่องมองไปโดยรอบ แม้จะรู้สึกสดชื่นเมื่อมองเห็นแต่สีเขียวของต้นไม้ใบหญ้าก็เถอะ
แต่เขาก็ไม่แน่ใจว่าจะอยู่กับคนแปลกหน้าได้ โดยเฉพาะคนที่เคยเป็นศัตรูกับพ่อเขามาก่อน ไม่ต้องเดาให้ยากยังไงกำนันคนนั้นก็ไม่มีทางช่วยแน่
“ก็ไม่แน่ว่าจะได้อยู่ไหม คุณก็รู้ว่าคุณพ่อกับกำนันเคยมีเรื่องกัน มันก็เป็นไปได้ยากแหละที่เขาจะช่วย”
“นั่นสินะ แล้วพ่อจะมาขอให้เขาช่วยทำไม คนอื่นไม่มีแล้วเหรอ ไม่ก็ปล่อยให้ผมตายไปซะก็จบ จะได้ไม่ต้องมาเสียศักดิ์ศรีขอร้องศัตรูแบบนี้”
เสียงทุ้มเล็กดังขึ้น มันปะปนไปด้วยความเหนื่อยหน่ายที่สะสมมาตลอดช่วงเดือนหลังๆ มานี่ ปกติธามไม่เคยอยู่ติดบ้านเลย เขาเป็นลูกชายคนเล็กของคฤหาสน์หลังโต
มีความเป็นอยู่ที่สุขสบาย กินเที่ยวตามประสา ดื่มเหล้าสูบบุหรี่ทุกอย่างที่ผู้ชายแมนๆ ทำกัน ถึงหน้าเขามันจะหวานก็เถอะ แต่นิสัยก็เหมือนเด็กหนุ่มทั่วไปนั่นแหละชีวิตมันเริ่มจะเปลี่ยนก็ตอนที่เขาอายุครบยี่สิบ เมื่อเรื่องเหนือธรรมชาติเริ่มเกิดขึ้นบ่อยครั้ง
และคนเป็นพ่อก็หาวิธีที่จะช่วยให้เขารอดพ้น อาจารย์ที่ว่าแน่ว่าเก่งก็ไม่สมกับที่คุยเลยสักนิด สุดท้ายก็ต้องพึ่งพระเพื่อช่วยให้เขารอดพ้นในทุกวันพระ ถ้าไม่ใช่เพราะคำแนะนำของพระอาจารย์ที่พ่อเขาเคารพ ก็คงไม่ได้มาที่นี่แน่ แม้พ่อเขาจะรู้ว่ามันไม่มีทางสำเร็จก็เถอะ แต่ก็ยังอยากจะลอง สุดท้ายตอนนี้ธามก็อยู่ในเขตบ้านของคนที่เกลียดพ่อเขามากที่สุด
“อย่าพูดแบบนั้นเลยครับ เจ้านายไม่มีทางปล่อยให้คุณธามเป็นอะไรไปแน่ แม้จะต้องทำในสิ่งที่ไม่อยากทำก็เถอะ อย่าคิดมากเลย”
โรมยังเป็นคนเดียวที่คอยปลอบโยนเขาเสมอ เพราะในคฤหาสน์หลังโตแห่งนี้มีแค่สองคนที่ดีกับธาม แม้เขาจะไม่เคยยุ่มย่ามกับพี่ชายและพี่สาวซึ่งมีอีกสามคน เพราะเข้าใจว่าเขานั้นเป็นที่รักของพ่อมากที่สุด แต่อันที่จริงเป็นเพราะเมฆารับรู้ถึงเรื่องคำสาปที่ลูกชายคนเล็กต้องเจอ
ยิ้มหวานของธามยังคงส่งให้บดิการ์ดคนสนิทเช่นเคย เพียงเท่านั้นคนที่คอยดูแลก็เบาใจขึ้นมา ภายนอกแม่ธามจะดูหยิ่งและร้าย แต่ความจริงเขาเป็นคนอ่อนโยนมาก เพียงแต่ไม่ค่อยได้เจอคนจริงใจเท่านั้น ด้านนี้เลยไม่ค่อยปรากฏให้เห็นนัก
ร่างเพรียวนี้ยังคงนั่งอยู่ด้านในรถโดยไม่ลงมา เพราะคิดว่าคงไม่จำเป็นถ้าคนที่รอมาถึง ไม่แน่ว่าอาจจะถูกไล่ตะเพิดกลับทั้งที่ยังไม่ได้เจราจาด้วยซ้ำ ไม่รู้พ่อเขาเอาความมั่นใจมาจากไหน ว่ากำนันศัตรูเก่าจะช่วยลูกชายของตัวเอง ในเมื่อที่ธามรู้มาทั้งคู่มีปัญหากันถึงขั้นชกต่อยกันมาก่อน และเกือบจะยิงกันตายด้วยซ้ำ
14:00 รถกระบะสี่ประตูกำลังขับเคลื่อนเข้ามาตามเส้นทางกลับบ้าน นัยน์ตาคมหรี่ลงเล็กน้อย พร้อมกับเสียงจากแก้วที่ดึังขึ้นมาถามราวกับคนที่นั่งคู่กันจะหาคำตอบให้กับตัวเองได้อย่างนั้นแหละ
“พี่พราย รถใครมาจอดเยอะแยะเลย”
“อยากรู้ก็ลงไปถามสิ” พรายพูดขึ้นก่อนจะเปิดประตูก้าวลงจากรถ เขามองไปโดยรอบก่อนจะหยุดลงที่ร่างสูงคุ้นตาของใครบางคน
“เมฆา” เสียงทุ้มดังออกมาเบาๆ เขาเดินตรงเข้าไปหาอีกฝ่ายซึ่งลุกขึ้นจากเตียงที่อยู่ใต้ถุนเรือน ทั้งคู่ยืนจ้องมองกันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ แต่สายตาของมาเฟียใหญ่กลับอ่อนลงจนพรายเองก็แปลกใจ
“มึงมาทำไม ไม่กลัวตายเลยเหรอถึงมาที่นี่” เสียงทุ้มที่เคยได้ยินมันต่างจากทุกครั้งจนทุกคนต้องหันมอง เพราะดูจากสายตาของกำนันคือเอาเรื่องอยู่มาก
“ใจเย็นก่อนกำนัน มีอะไรก็ค่อยๆ คุยกัน คุณเขาอุตส่าห์มาไกลถึงนี่ ยังไงก็ฟังก่อนเถอะ”
“ผมไม่มีอะไรคุยกับมัน ไอ้แก้วส่งแขก” พรายยังคงออกปากไล่อีกฝ่ายด้วยเสียงขุ่น ก่อนจะหันหลังให้ตั้งท่าจะขึ้นเรือน ทำเอาเมฆาถึงกับหน้าถอดสีแม้จะรู้อยู่แล้วว่ามันต้องเป็นแบบนี้ สิ่งที่ทุกคนไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะทำก็เกิดขึ้น เมื่อเมฆาคุกเข่าลงพร้อมกับพูดขึ้น
“พี่ขอโทษกับเรื่องที่ผ่านมา แต่ขอร้องล่ะช่วยธามด้วยนะ แกจะปล่อยให้หลานตายจริงๆ เหรอ”
“พี่พราย คุณเขาคุกเข่าแล้วพี่” แก้วสะกิดพร้อมกับบอกถึงการกระทำของอีกฝ่าย ซึ่งตอนนี้เหล่าลูกน้องที่ตามมาก็ทำเช่นเดียวกัน
พรายขมวดคิ้วเพราะไม่เชื่อสายตาตัวเอง เมฆาเป็นคนมีชื่อเสียงและมีอิทธิพลมาก ถ้ามีนักข่าวมาเห็นคงได้เป็นข่าวใหญ่โตมากแน่ ที่เขาทำอะไรแบบนี้
“มึงต้องการอะไรที่ทำแบบนี้ ต่อให้ตายอยู่ตรงนี้กูก็ไม่ลืมสิ่งที่มึงทำกับกูแน่ไอ้เมฆา”
พรายยังคงพูดด้วยน้ำเสียงเช่นเคย โดยไม่มีทีท่าว่ามันจะเบาลงแม้แต่น้อยเมื่อนึกถึงสิ่งที่อีกฝ่ายทำกับเขา เมฆาเองก็ยังคงนั่งก้มหน้ารับผิด ในสิ่งที่เขาเคยทำพลาดกับรุ่นน้องที่เคยสนิทคนนี้
“พ่อต้องทำถึงขนาดนั้นเลยเหรอ” หลังจากที่ตื่นขึ้นมาธามก็เห็นว่าพ่อของตัวเอง กำลังนั่งคุกเข่าขอร้องคนตัวโตซึ่งแต่งกายด้วยชุดข้าราชการสีกากีอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน มันทำให้เขาอยากจะลงไปเสียตอนนี้เลย แต่โรมรั้งเอาไว้เพราะอยากให้เจ้านายเคลียร์เรื่องนี้เอง
“รอก่อนครับ ผมคิดว่ายังไงเจ้านายก็น่าจะจัดการได้”
“จัดการยังไงปล่อยให้คนอื่นดูถูกเอาแบบนี้”
เสียงทุ้มเล็กดังขึ้นพร้อมกับสีหน้าที่เป็นกังวลกับภาพเบื้องหน้า แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะต้องรอ
“กลับไป!! ก่อนที่กูจะยิงมึงด้วยข้อหาบุกรุก ไอ้แก้วขึ้นไปเอาปืนกูมาเดี๋ยวนี้”
“ถึงกับต้องใช้ปืนเลยเหรอพี่” แก้วถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจในคำสั่ง แต่พอเห็นสายตาของกำนันเขาก็รีบวิ่งขึ้นเรือนทันที ลุงฉ่ำผู้ไม่รู้ที่มาที่ไปถึงความแค้นนี้ก็อดห่วงไม่ได้ พอๆ กับชาวบ้านที่เข้ามาทำงานในไร่ต่างก็หวาดกลัวสายตานี้อยู่ไม่น้อย
แต่ก่อนจะได้รู้เรื่องอย่างอื่นเพิ่มเติม กำนันพรายก็หันมาออกปากไล่ให้กลับบ้านเสียก่อน ที่นี่เลยมีแค่คนของเมฆาและเจ้าของเรือนและผู้อยู่อาศัยร่วมด้วยอย่างแก้วและลุงฉ่ำเท่านั้น
“พวกแกถอยไปฉันจัดการเอง” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมช่วยดีดีแน่ เมฆาจึงอยากเล่าเรื่องราวให้อดีตรุ่นน้องฟัง เผื่อเขาจะเห็นใจยอมช่วยในครั้งนี้ พรายมองตามลูกน้องของเมฆาเดินออกไปรอที่รถด้านนอก
ก่อนที่นัยน์ตาคมจะไปสะดุดที่รถแวนซึ่งจอดอยู่ในบ้านเขา เงาใครบางคนที่อยู่ในรถทำเขาชะงัก เพราะมันมีพลังงานบางอย่างส่งออกมาจนเขารู้สึกอึดอัด
“มึงพาอะไรเข้าบ้านกูมาไอ้เมฆา” เขาหันกลับมาถามอีกฝ่ายเสียงดังกว่าเดิม จนคนในรถก็ได้ยินด้วย เพราะไม่คิดว่าคนที่เคยอ่อนโยนจะมีด้านมืดเช่นนี้จนน่าตกใจ
“ธาม ไอ้ตัวเล็กที่มึงเคยอุ้มและไปรับส่งตอนเด็กไง”
พรายชะงักไปเมื่อรู้ว่าใครอยู่ในรถ แต่ที่เขาถามไม่ใช่ว่าอยากรู้เรื่องนี้ แต่บางสิ่งที่มันตามมาด้วยต่างหาก เพราะดูเหมือนรอบนอกที่ดูปกติดี แต่ความเป็นจริงมันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เพียงแต่คนปกติทั่วไปจะมองไม่เห็นเท่านั้นเอง มีแค่เขาและลุงฉ่ำที่พอจะรับสัมผัสนี้ได้
“กูไม่สนใจเรื่องของลูกมึง ออกไป!!” พรายยังคงออกปากไล่คนที่ยืนประจันหน้ากับเขา
#ดุดันไม่เกรงใจใคร ยี่ห้อนี้ต้อง กำนันพราย
#ฝากนิยายเรื่องนี้ด้วยนะคะ