13. ไม่ให้ห่าง
ด้านหลังก็เลยมีกันสามคนที่ต้องนั่งเบียดกัน ซึ่งผู้ใหญ่ดาวก็หงุดหงิดอยู่ไม่น้อย เพราะปกติเธอจะได้นั่งหน้าเป็นตุ๊กตาให้กำนันตลอด แต่วันนี้กลับต่างออกไปจากทุกครั้ง
รถกระบะสี่ประตูมาถึงทุ่งนาไกลออกมาจากหมู่บ้านดงไพรเกือบสี่กิโลเมตร ที่นี่อยู่ถัดตำบลมาสองหมู่บ้าน และส่วนมากจะเป็นทุ่งนาป่าข้าวเสียมากกว่าเพราะเป็นที่ลุ่ม จึงเหมาะแก่การปลูกข้าว สูงขึ้นมาหน่อยก็จะเป็นไร่ข้าวโพดและมันสัมปะหลัง
ทั้งหมดลงจากรถเพื่อตรงไปที่ฝายทดน้ำ ซึ่งตอนนี้มีชาวบ้านที่มาช่วยกันขุดดินถมตรงส่วนที่มันขาดออก ทั้งที่ฝนตกแค่รอบเดียวแต่ทำนบนี้กลับพังโดยง่าย ทั้งที่ตอนแรกเขาตรวจสอบอย่างดีแล้ ถึงได้เซ็นอนุมัติจบงานให้กับผู้รับเหมา ไม่น่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ได้
โรมเดินสำรวจโดยรอบ ก่อนจะเดินมาหยุดที่บริเวณหลุมขนาดใหญ่ ซึ่งมันไม่น่าเกิดจากการทรุดตัวของหน้าดินเพราะถูกน้ำฝนเซาะ
“มีอะไรเหรอครับพี่โรม ผมเห็นพี่ต้องอยู่นานแล้ว”
“มันไม่ได้เกิดจากธรรมชาติครับ แต่มีคนทำ” โรมพูดกับธามเบาๆ เพราะเขาสังเกตเห็นแล้วว่ามีกลุ่มคนที่ยืนมองอยู่ ดูเหมือนจะไม่ได้มาช่วยงานในครั้งนี้ด้วยซ้ำ เพราะเอาแต่จ้องกำนันและเขาสองคนที่มาใหม่
พรายเองก็พอจะดูออกแต่ก็ทำเฉย แต่เขาไม่ได้รู้ว่ามีอะไรที่แปลกไปตรงหลุมขนาดใหญ่นี้ เพราะไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องอาวุธเหมือนโรม เขาทำเป็นแต่การเกษตรและปราบผีเป็นบางคราวเท่านั้น เรื่องพวกนี้เลยเกินตัวไปสำหรับกำนันผู้เก่งกล้าวิชา แต่ไม่ประสาเรื่องอาวุธ
“พี่จะบอกกำนันหรือเปล่า” ธามถามขึ้นเพราะดูท่าพรายคงไม่คิดว่าจะมีคนคิดทำเรื่องแบบนี้ได้ ที่นี่อยู่ไกลจากหมู่บ้านรอบๆ นี้มาก ทั้งบางมุมก็เป็นป่า เลยไม่แปลกที่จะไม่มีใครได้ยินเสียงระเบิดตูมตาม ถ้าทำเรื่องนี้ในตอนฝนตกด้วยยิ่งไปกันใหญ่เลย
“ต้องบอกครับ แต่คงไม่ใช่ตอนนี้ น่าจะมีคนที่ทำเรื่องรวมอยู่ที่นี่ด้วย เพราะมากหน้าหลายตาเหลือเกิน”
“นั่นสิ ทำไมมองเราแปลกๆ” ธามพูดขึ้นเมื่อเห็นสายตาของคนที่สนใจเขาสองคนเหลือเกิน
“เขาคงเห็นคุณธามสวยมากกว่านะครับ เลยมองเป็นธรรมดา คงจะสงสัยกันว่าผู้หญิงตัดผมสั้นหรือเปล่า”
ผู้ใหญ่ชาญพูดขึ้นเมื่อเดินมาได้ยินคำพูดของธามตอนท้ายพอดี สองหนุ่มยกมือไหว้คนที่แก่กว่ามาก แต่ก็ยังเป็นน้องของกำนันพรายอยู่ดี เพราะชาญอายุสามสิบ แต่พรายนั้นสามสิบสามเข้าไปแล้ว
“ไม่ขนาดนั้นมั้งครับ พวกเขาน่าจะมองออกนะว่าผมเป็นผู้ชาย ผมก็ไม่ได้ทำตัวตุ้งติ้งซะหน่อย ออกจะแมน”
ธามพูดพร้อมกับทำท่าไปด้วย เพราะคุ้นหน้ากับผู้ใหญ่ชาญอยู่เหมือนกัน ตลอดเกือบหกวันมานี่เจอผู้ใหญ่ชาญมาแล้วสี่ครั้ง แต่ละครั้งก็อยู่ร่วมกิจกรรมที่บ้านกำนันนานพอดู บางทีก็ชนแก้วกันด้วยซ้ำตามประสาผู้ชาย
“คุณมีอะไรจะบอกผมไหม” พรายเดินเข้ามาพร้อมกับถามโรมขึ้น แม้เขาจะไม่รู้เรื่องอาวุธเอาซะเลย แต่ก็จับสังเกตคนเก่ง และรู้ว่าโรมคงเจออะไรแล้วแน่ๆ ถึงได้มองหน้าเขาบ่อยๆ แบบนี้
“เดี๋ยวผมขอตัวสักครู่นะครับผู้ใหญ่”
“เชิญครับ” ชาญพูดขึ้นก่อนจะโค้งให้โรมตามมารยาท และตั้งใจจะชวนคนตัวเล็กตรงหน้าคุยต่อ แต่ใบหน้าหวานกลับหันหนีไปตามแรงดึงของแขนแกร่งใครบางคน จนเขาต้องมองตามในทันที
“ผมต้องไปด้วยเหรอ” ธามถามขึ้นเมื่อเห็นมือเรียวยังกุมแขนเขาเอาไว้ไม่ปล่อย
“อย่าอยู่ห่างฉันเด็ดขาด” พรายพูดขึ้้นพร้อมกับส่งสายตาดุใส่ราวกับกำลังบังคับเด็กให้กินข้าว
ธามถูกพาตัวมานั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ริมคลอง เขาได้แต่นั่งนิ่งฟังคำบอกเล่าของโรมที่บอกถึงสาเหตุของหน้าฝ่ายที่มันถูกกัดเซาะจนพัง
“ใครที่จะได้ประโยชน์จากน้ำที่สุดครับ ถ้ามันพังลงไป”
“ประโยชน์ไม่น่าจะมี แต่ถ้าเสียหายไม่แน่ ไร่ของหมู่บ้านทางทิศใต้ พืชผักที่เพาะปลูกจะถูกน้ำท่วม ยังดีที่มันไม่ได้ใหญ่จนเป็นรูกว้าง ไม่งั้นชาวบ้านคงเดือนร้อนแน่”
พรายพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจนัก เขากำลังคิดอยู่ว่าใครที่จะได้ผลประโยชน์ถ้าชาวบ้านเดือดร้อน และมันคงหนีไม่พ้นการกู้ยืมเงินที่จะตามมาในไม่ช้า ถ้าหากฝายทดน้ำนี้พังลง ในขณะที่กำลังคุยกัน รถแบ็คโฮก็มาถึง มันจึงทำหน้าที่ของมันเพื่อปิดทางน้ำเอาไว้ก่อนที่จะถูกกันเซาะจนกลายเป็นรูกว้างกว่านี้
“แบบนี้เราต้องจัดคนมาเฝ้าไหมครับกำนัน เพื่อน้ำมันจะเซาะมาอีก เห็นว่ากรมอุตุบอกว่าพายุจะเข้าอยู่ ผมกลัวมันจะรับน้ำไม่ไหวเอานะครับ”
“อย่าเลยผู้ใหญ่ชาญ เพราะถ้ามีพายุมาจริงยังไงคนเฝ้าก็ทำอะไรไม่ได้หรอก รอให้มันผ่านไปก่อนแล้วกัน ค่อยหาทางกันอีกที ยังไงแจ้งให้ชาวบ้านเก็บผลผลิตที่พอจะขายได้ก่อนเลย เพราะถ้ามันเอาไม่อยู่อย่างน้อยได้สักครึ่งก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย”
“ครับ งั้นพวกผมจะรีบไปจัดการ” ผู้ใหญ่บ้านทางทิศใต้รับคำ ก่อนจะพาชาวบ้านที่อาสามาช่วยขึ้นรถเพื่อเดินทางกลับหมู่บ้านของตัวเอง หลังจากรถแบ็คโฮปิดทางน้ำที่กลัวว่ามันจะแตกมากเสร็จแล้ว