9 น้ำมันพรายแผลงฤทธิ์ 2
“พี่ พี่ได้แล้วหาเรื่องผลักไส หมดรักในตัวนังเหลงคนนี้เสียแล้ว ใช่สิสันดานผู้ชายเป็นเสียอย่างนี้ ฉันแค้นใจนัก”
เหลงทำท่าจะร่ำร้องด้วยความน้อยใจ สองมือทึ้งเส้นผมแรง ๆ จนยุ่งเหยิงเป็นกระเซิงผวนนึกขำหัวเราะแหะ ๆ จากที่เห็นผมทรงดอกกระทุ่มกลายสภาพเป็นฟูยุ่งเหยิง แถมยังตวัดเสียงใส่ สีหน้าไม่ชอบใจนัก
“พี่ผวนหัวเราะเยาะฉัน ว่าเป็นนังบ้าใช่ไหม”
“ไม่เอาน่าเหลง อย่าคิดมากไปเลยว่าข้าไม่เคยคิดว่าเอ็งเป็นบ้าบอในเมื่อเป็นเมียข้าแล้วก็คือเมีย ทำผมทรงใดก็สวยทั้งนั้น เชื่อข้าสิในย่านนี้ไม่มีใครเลยที่งามไปกว่าเจ้า ไล่รายหัวไปเลยนะทั้งนังดอกไม้ นังแด่น นังด่าง นังแหง่”
“พอ ๆหยุดเสียเถอะ อีนังพวกนั้นน่ะมันวัวควายทั้งสิ้น เรื่องใดมาเปรียบฉันเป็นสัตว์สี่ตีนเล่า พี่เห็นฉันเป็นเหมือนพวกมันใช่หรือไม่”
เหลงส่งเสียงดังไม่ชอบใจเมื่อถูกนำไปเปรียบกับสัตว์ใช้แรงงาน ผัวหมาด ๆ หัวเราะชอบใจต่อใบหน้าเง้างอนจากเมียลับ
“เอาเถอะสงบอารมณ์เสียบ้าง ข้าเย้าเอ็งเล่นน่ะ ไปกลับเรือนเถิด ข้าจักไปส่งตรงปากทางเข้าหมู่บ้านนะ ข้าคงไม่กล้าเยี่ยมหน้าเข้าไปส่งเอ็งถึงเรือนดอก ในตอนนี้ทุกคนพากันรังเกียจหาว่าอยู่กับภูตผี ความจริงแล้ว อาจารย์ขนอมดีกับข้ามาก”
ผวนดันหลังเหลงให้ลุกขึ้น หลังจากฝ่ายหญิงรัดผ้าแถบแนบสองเต้าอร่ามเอาไว้แน่นพร้อมกับยกนิ้วเสยผมให้เข้าที่จนเรียบร้อย ทั้งคู่พากันเดินคลอเคลียไปตามเส้นทางเกวียนอันคดลดเลี้ยว จนกระทั่งถึงทางเข้าหมู่บ้าน เหลงน้ำตาคลอ จับมือผวนเอาไว้แน่น
“ฉันคงคิดถึงพี่ทั้งคืน”
เหลงโผกอดคนรักแนบแน่นด้วยความเสน่หา ผวนยกมือลูบเส้นผมนิ่มเพียงเบามือ ตามด้วยเชยคางมนสวยขึ้น ตาคมวาวเห็นชัดในความมืดสลัว อยากจะจรดปลายจมูกประทับบนแก้มนวล ทว่า ต้องชะงักความคิดเอาไว้ เมื่อได้ยินเสียงใครเดินตรงเข้ามา จนต้องดึงเหลงหลบซุกหมอบหลังต้นไม้ใหญ่
“อะไรพี่ผวน ฉันตกใจเกือบพลั้งปากออกไปแน่ะ”
“เบา ๆ เหลง ข้าได้ยินเสียงคนเดินมา บางทีอาจจะเป็นคนในหมู่บ้าน ถ้าเห็นว่าเอ็งอยู่กับข้า คิดดูซิว่าจักเป็นเช่นไร แม่เอ็ง พ่อเอ็งคงเล่นงานอ่วมแน่เชียว เชื่อข้าเถอะ ว่าเราจักอยู่ด้วยกันไปอย่างนี้จนกว่าถึงเวลาสำคัญ เมื่อนั้นข้าจักยกขันหมากไปสู่ขอตกแต่งเอ็งเป็นเมีย”
ผวนกระซิบข้างหูเบา ๆ แค่ได้ยินสองคน เหลงพยักหน้าเข้าใจและส่ายตามองเล็ดลอดฝ่าความมืดออกไป แม้ว่าเห็นหน้าหญิงชายไม่ชัดนัก เหลงรู้สึกชาไปทั้งตัวเมื่อรู้ว่าเป็นหล่านกับเพ็ญผู้ให้กำเนิดของตน เสียงทั้งคู่คุยกันในขณะหยุดยืนด้านหน้าต้นไม้ ห่างจากหนุ่มสาวทั้งสองแค่เพียงวาเดียว
“มืดจนป่านนี้ นังเหลงยังไม่กลับเข้าเรือนอีก มันหายหัวไปที่ใดวะ รึว่าถูกพวกสอดแนมของฝ่ายโน้นฉุดไปทำเมียแล้วก็ไม่รู้”
หล่านคาดเดาไปด้วยอารมณ์เป็นห่วงลูกสาว นังเมียหันขวับจ้องตาผัวโดยเร็ว ตามด้วยตวาดเสียงดังเพราะไม่ชอบใจต่อความคิดของผัวนักพนัน
“หยุดพูดซะเถิด ทำไมพี่พูดเช่นนั้น นังเหลงมันลูกเรานะ พูดเป็นลางไม่ดีแก่มันนะ ฉันเองยังไม่กล้าคิดเลย”
“เฮอะ! คนสมองตื้นหยั่งเอ็งน่ะจักมีความคิดอันใด วันๆวุ่นอยู่กับลงคลอง ประเดี๋ยวก็เข้าป่า เจอหน้ากันก็แค่เวลามุดหัวเข้าเรือนนอน”
ผัวนักพนันดูถูกเสียจนเพ็ญกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ร้องไห้ออกมาเบาๆ เหลงสงสารแม่จับใจ พาลไม่ชอบใจต่อคำพูดให้ร้ายแก่ตน น้ำตามันเริ่มไหลหยดลงมาตกถูกฝ่ามือผวน ฝ่ายชายรู้ตัวดีว่าเหลงเจ็บช้ำเพียงใด กอดรัดร่างบางให้แน่นเข้าหาตัว ชั่วครู่พ่อแม่กลับเข้าหมู่บ้าน เหลงล่ำลาคนรักแล้วเดินตามทางจนถึงเรือนชานของตน
“นังเหลง เอ็งหายไปไหนมาวะ กลับเข้าเรือนเอาจนป่านนี้ อ้ายผุดอีกตัวยังไม่เห็นหัวมันเลยตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ลูกพวกนี้ดื้อนักเห็นทีต้องเอาหวายลงหลังซะกระมัง”
เพียงเจอหน้ากันหล่านส่งเสียงตะเบ็งถามลูกสาวคนโตด้วยอารมณ์โกรธขึ้ง ผุดกำลังย่องหลบไปซ่อนตัวในครัวต้องชะงักเท้า มองฝ่าความมืดเข้าไปดูทุกคน พลัน! จมูกได้กลิ่นเหม็นสาบของซากสัตว์อะไรบางอย่าง มันทำจมูกบานพะเยิบไปมา พร้อมกันนั้นได้ยินเสียงเพ็ญพูดว่าเหม็น ๆ
“ฉันไปเก็บผักจ้ะ กำลังก้มหน้าเด็ดยอดผักหวานจู่ ๆ มันก็หน้ามืดดับวูบไป เพิ่งจักรู้ตัวเมื่อไม่นานมานี่เอง คงเป็นลมแดดแล้วหิวข้าวด้วย ถ้ามีเสือผ่านมาฉันคงถูกมันคาบไปแล้วล่ะ”
ลูกสาวโกหกหน้าตาย ตามด้วยมือข้างหนึ่งขยับลูบคลำเนื้อตัวทำท่าขนลุกสั่นสะบัดตัวไปมา เพ็ญปราดเข้ามาจับแขนเหลงเอาไว้ สายตาที่มองเต็มไปด้วยความรักและสงสารเต็มที่ เมื่อรู้ว่าเหลงต้องผจญกับเหตุร้ายโดยไม่รู้ตัว
“โถ นังเหลง ถ้าหากเอ็งสลบอยู่ตรงนั้นมีพวกพม่ามันโผล่มาจับเอ็งไปทำปู้ยี่ปู้ยำ เอ็งมิเสียท่ามันฟรีรึวะ ข้าเห็นใจเอ็งเหลือทน ลูกเอ๋ยทำไมต้องเจอกับเรื่องแบบนี้ด้วยนะ อยู่ในยุคสงครามดันมาเป็นโรคร้ายไม่รู้เนื้อรู้ตัว”
“เฮ้ย นังเพ็ญ เอ็งอย่าทำพิลาปรำพันนักเลยวะ บางทีมันจักไม่ใช่อย่างที่เล่ามาก็ได้ ข้าดูมันแปลก ๆ อยู่นา ถ้าคนสลบมันก็แค่เพียงชั่วประเดี๋ยวเท่านั้น นี่อะไรตั้งกะเช้ายันพลบค่ำ มันแอบหนีไปหาไอ้ผวนกระมัง บอกข้ามาเสียดี ๆ นังเหลง”
หล่านพอจะรู้นิสัยของผู้ชายด้วยกันเป็นอย่างดี ท่าทางลูกสาวมีพิรุธหลายอย่าง เวลาพูดไม่ยอมสบตาทำท่ารน ๆ เหมือนไม่อยากสนทนากับพ่อแม่ ประการสำคัญมีคราบเลือดติดด้านหลังของผ้าโจงกระเบน หล่านไม่สบายใจเกรงว่าลูกสาวถูกพรากความสาวไปแล้ว ส่วนเหลงนั้นเล่าใจหายวะวาบต่อคำกล่าวหาของพ่อ จำใจปากแข็งเข้าไว้
“พ่อ ทำไมกล่าวหาฉันอย่างนั้นเล่า ฉันไม่กล้าทำดอก”
“เออ ให้มันจริงดั่งปากเถอะวะ แล้วนี่มันเหม็นอันใดนักหนาตั้งกะเอ็งเข้ามาจนบัดนี้ รึว่าเอ็งไปนอนทับหมาเน่ามาวะ รากจักแตกแล้วโว้ย”