กะลาตาผี

62.0K · ยังไม่จบ
ฟ้ารดา, ฟ้าใส ไอรดา, ธัญญา, ดาวฉาย, จันทร์นารี, ภูต เภตรา, จรรยา เลิศพงษ์ไทย
135
บท
3.0K
ยอดวิว
7.0
การให้คะแนน

บทย่อ

เรื่องเกิดสมัยอยุธยาตอนปลาย ความมักมากของผู้ชาย มีภรรยาหลายคน ทำให้มีเรื่องเดือดร้อน และสตรีที่มีความทะเยอทะยาน ทำร้ายผู้อื่น สุดท้ายตัวเองย่อมได้รับความหายนะ โดยเริ่มเรื่องที่เกิดขึ้นใน พ.ศ. 2301-2310 สมัยสมเด็จพระเจ้าอุทุมพรครองราชสมบัติ พม่ายังคงรุกรานทำให้ประชาชนอยู่ไม่สงบสุข จนกลายเป็นนวนิยายที่เกี่ยวโยงมาถึง “หลวงราชศักดิ์” นายทหารหนุ่ม นอกจากจะเก่งกล้าในเชิงรบ เชิงรักก็ไม่แพ้เช่นกัน เป็นผู้ชายที่มักมากในกามคุณ มีภรรยาคนเดียวยังไม่พอ ชอบใช้กำลังอำนาจบังคับบ่าวผู้หญิงในเรือนมาเป็นเมีย เมื่อได้แล้วไม่เคยยกย่อง กลับให้ทำงานรับใช้เหมือนเดิม กระทั่ง “เหลง” ถูกพ่อนำมาขายแลกกับเบี้ยเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่ง “นวลจิต” ภรรยาของหลวงราชศักดิ์รับเอาไว้ด้วยความเมตตา เหลงถูกเมียบ่าวทั้งสองของหลวงราชศักดิ์กลั่นแกล้ง เพราะกลัวว่าหลวงราชศักดิ์เห็นเหลงแล้วจะเอาไปทำเมียอีกคน ทว่า ไม่อาจปกป้องได้ เมื่อเหลงสวยถูกตาต้องใจ ในที่สุดกลายเป็นเมียของหลวงราชศักดิ์ เหลงเป็นคนทะเยอทะยาน คิดว่าตัวเองน่าจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ แต่ ไม่ใช่อย่างที่ฝันเอาไว้เสียแล้ว แทนที่จะมีความสุข กลับทุกข์ยิ่งกว่าเดิม จึงพกพาความเคียดแค้น ชิงชัง เดินทางกลับบ้านป่า ให้อาจารย์เขมรผู้หนึ่งช่วยหาวิธีทำให้หลวงราชศักดิ์หลง จึงเป็นที่มาของความน่ากลัว สยดสยอง ขนพองสยองกล้า แต่สุดท้าย ผู้ที่ทำชั่วก็หนีไม่พ้น “เวรกรรม” ที่กระทำเอาไว้

นิยายสยองขวัญ

1 หมอเสน่ห์ในยามเกิดสงคราม

พ.ศ. 2301-2310 รัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอุทุมพรครองราชสมบัติ ทัพพม่ายังคงรุกรานเข้ามาตลอด ผู้คนต่างหวาดกลัวต่ออริราชศัตรูต่างแผ่นดิน บ้างก็หนีไปอยู่ที่ไกล ๆ บ้างก็หลบซุกซ่อนตามขุนเขา แต่ละคนอยู่ด้วยความยากลำบาก และภาวนาให้สงครามยุติลงโดยเร็ว

ไกลออกไปจากเมืองหลวงมีหมู่บ้านเล็ก ๆ เพียงไม่กี่หลังคาเรือนที่ยังคงตั้งหลักอยู่กับที่ ไม่หลบหนีไปไหน เช้าวันหนึ่งเสียงก่นตะโกนด่าออกมาจากกระท่อมผุพังเก่าคร่ำคร่าพังมิพังแหล่ ชั่วครู่เด็กชายผมจุกร่างแกร็นเปลือยอกแห้งจนเห็นซี่โครง เบื้องล่างสวมเพียงผ้าเตี่ยวผืนเดียวได้กระโจนลงมาด้วยหน้าตาตื่นกลัว ตามด้วยไม้ตีพริกหมุนติ้วจนเกือบเฉี่ยวหัว โชคดีที่ก้มหลบทัน

“ไปเล้ย อ้ายลูกจัญไร ไม่เคารพเชื่อฟังพ่อแค่บอกให้ข้ารู้ว่าเบี้ยของแม่เอ็งซ่อนอยู่ที่ใดเท่านั้น กลับงับปากเงียบ ขอให้มันเป็นใบ้ตลอดกาลเถอะ”

หล่านชายวัยสี่สิบเศษไว้ผมทรงหลักแจว เนื้อตัวสักอักขระสีเขียวเข้มจนลายพร้อยยังคงส่งเสียงตะโกนไล่ผุดลูกคนที่สองรองจากเหลงด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองใจ หลังจากค้นหาเบี้ยของเพ็ญเมียขี้โรคไม่เจอ อารมณ์พลันเดือดพล่านเมื่อถูกลูกชายย้อนหาว่าจะเอาเงินไปลงบ่อนถั่วโป ผุดจึงถูกดุด่าตามด้วยไม้ตีพริกอันเก่าคร่ำคร่าร่อนใส่หัว แต่ยังไม่สะใจแก่พ่อผู้ลุ่มหลงในการพนัน ไม่ใส่ใจว่าบัดนี้จะอยู่ในยุคข้าวหมากยากแพงจากภัยสงคราม เบี้ยของเมียที่เก็บสะสมเอาไว้เป็นแรมปีจากการรับจ้างทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำโดยมีเหลงร่วมเหนื่อยด้วยอีกคน

“อ้ายผุด อ้ายลูกไม่รักพ่อ คืนนี้อย่าหวังเลยว่าจักได้นอนใต้ชายคา ข้าจะนั่งขวางมันตรงธรณีประตูทั้งคืนนี่ล่ะวะ”

หล่านแค้นเคืองลูกชายไม่หาย สายตาขุ่นขวางสำรวจไปทั่วกระท่อมและสะดุดกับแสงแดดสาดส่องเข้ามาตรงช่องรูโหว่ ฝาไม้ไผ่ขัดแตะเก่ากรอบและมีร่องรอยมอดแทะจนวิ่นเมื่อเงยแหงนหน้าขึ้นไปด้านบนหลังคาเห็นว่าบางแห่งเป็นรูจนเห็นท้องฟ้าเบื้องบน

“เมื่อไหร่สงครามมันจักยุติเสียทีวะ ข้าจักได้ทำงานจริง ๆ จัง ๆ ไม่ต้องคอยวิ่งหลบหนีจนหลงเข้าไปในบ่อน โอย ปวดหัวใจ”

หล่านกลัดกลุ้มต่อความยากจนข้นแค้นที่กำลังประสบจนถึงขั้นกินไม่อิ่มนอนไม่หลับ หากความจริงแล้วเรื่องการพนันไม่ได้ติดมาแต่ก่อน เมื่อว่างงานพรรคพวกชวนเล่นแก้เหงาเท่านั้น เล่นไปเล่นมากลายเป็นติดหนับ หากวันไหนไม่ได้เข้าบ่อนอารมณ์จะหงุดหงิดพาลพาโลใส่ลูกเมีย เพ็ญต้องคอยหลบหนีให้ห่างมือห่างตีน เพราะรู้จักพิษสงเป็นอย่างดีว่าเคยโดนแข้งสาดใส่จัง ๆ ตรงสะโพกจนร่วงทรุดนอนซมไปหลายวัน เพื่อความปลอดภัยของตัวเองเพ็ญพยายามเลี่ยงหลบไม่ยอมพบหน้าผัวอ้างว่าไปหาเก็บหัวเผือกหัวกลอยในป่า กว่าจะกลับก็มืดค่ำ เหลงก็เช่นกันบางทีเข้าป่าแต่บางคราวไปหาผวนคู่รักวัยฉกรรจ์

ครานั้นหล่านนั่งขวางประตูเข้าบ้านได้ไม่นานก็ต้องร่วงทรุดลงไปกองกับพื้น เพราะเผลอหลับไปด้วยความอ่อนเพลียหลังจาก อดตาหลับขับตานอนเป็นเวลาถึงสามวันสองคืน ในบ่อนถั่วโป ถ้าเบี้ยไม่เกลี้ยงกระเป๋าอย่าหมายว่าจะออกมาได้ ความหวังของหล่านอยู่ที่เบี้ยในกำปั่นเสื้อผ้า เขาค้นหาจนผ้าผ่อนกระจุยแต่ไร้วี่แววเจอะเจอ อดคิดไม่ได้ว่าเบี้ยเกลี้ยงบ้านไปแล้วจริง ๆ หรือ เมื่อเจอหน้าลูกชายจึงเค้นถาม แต่ไม่ได้คำตอบที่พึงใจจนต้องตะเพิดด้วยกริยารุนแรง

ผวนชายรูปร่างสันทัด ขอสมัครเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ขนอมหมอผีชาวเขมร ซึ่งอาจารย์ขนอมได้แยกตัวออกไปสร้างสำนักอยู่บนเนินท้ายหมู่บ้านด้วยเหตุที่ชาวบ้านไม่ชอบพวกใช้เวทมนตร์ เกรงว่าจะปล่อยสิ่งไม่ดีมาใส่ทำให้มีอันเป็นไป ทุกค่ำคืนอาจารย์ขนอมมักท่องมนตร์คาถาต่อหน้าหัวกะโหลกผีตายโหง โดยมีผวนคอยรับใช้อยู่เคียงข้าง

คืนนี้เช่นกันอาจารย์ขนอมพาศิษย์รักลงมาทวนคาถาที่ลานดินหน้าสำนัก เสียงสวดท่องมนต์คาถาด้วยเสียงสูง ๆ ต่ำ ๆ ดังขึ้นตลอดเวลา ผวนลอบมองอาจารย์ผู้มากด้วยวิชา ใบหน้าใหญ่กว้างค่อนข้างเหลี่ยม รวบผมยาวเอาไว้ตรงท้ายทอย ชุดสีขาวที่สวมใส่นั้นตัดกับสีดำของลูกประคำอย่างชัดเจน ช่วยเพิ่มความน่าเกรงขามมากยิ่งขึ้น ผวนเห็นว่าดวงตาทั้งสองข้างของผู้เป็นอาจารย์ยังคงปิดสนิท จะมีแค่เพียงริมฝีปากใหญ่หนาสีคล้ำขยับขึ้นลงตามด้วยเสียงเล็ดลอดออกมาเป็นภาษาที่ฟังไม่รู้เรื่อง นานเกือบชั่วโมงอาจารย์ขนอมจอมขมังเวทย์ได้ลืมตาขึ้นแล้วมองไปที่ลูกศิษย์คนโปรด

“อ้ายผวน อ้ายผวนมานี่เร็ว”