37 เหลงเจอกับน้องชายในป่า
ควันไฟสีดำฟุ้งกระจายสูงเทียมยอดไม้ เหลงมองด้วยดวงตาเป็นประกาย จากเมื่อยล้าจวนเจียนแทบขาดใจ กลับกลายมีพลังฮึดขึ้นมาอีกครั้งเพราะรู้ว่าพ่อ แม่ และน้องจะต้องอยู่ที่เรือน แข้งขาที่เปลี้ยเริ่มตะกายไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็ว
“พ่อ แม่ อ้ายผุด นังเหลงกลับมาบ้านแล้ว โอย ข้าเหนื่อยเหลือทน แต่เราล้มไม่ได้ต้องไปข้างหน้า เหลืออีกไม่กี่ก้าวก็จักถึงแล้ว โอ๊ย”
ร่างที่เต็มไปด้วยรอยแผลสดล้มกลิ้งลงกับพื้นอีกครั้งเมื่อชนกับต้นไม้เข้าเต็ม ๆ กำลังวังชาวูบหายไป จำใจนอนนิ่งอยู่กับที่ กลอกดวงตาไปมา นานเท่านานจนผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว
ผุดคว้าย่ามสีหม่นขึ้นสะพาย เมื่อรู้ว่าหัวเผือกหัวมันที่กักตุนเอาไว้กำลังจะหมด เห็นทีว่าจะต้องไปหามาเพิ่ม จึงป้องปากตะโกนบอกแม่ว่าจะไปในป่าข้างในหมู่บ้าน เพ็ญมองตามลูกชายด้วยความเป็นห่วง ใจจริงแล้วอยากจะไปด้วย ติดขัดตรงที่กำลังวังชายังไม่อยู่ตัว
“ฉันไปไม่นานดอกแม่ เอาแค่ครึ่งย่ามก็คงพอ พ่ออยู่กับแม่ที่เรือนนี่เถอะ เผื่อว่าแม่ตัวร้อนจักได้กรอกยาอีกครา”
เด็กน้อยกล่าวแก่ผู้ให้กำเนิดทั้งสองที่นั่งคู่กันที่ชานหน้าบ้าน หล่านหน้าเศร้ารู้สึกละอายใจเพราะหน้าที่นี้ตนเองจะต้องเป็นผู้กระทำ แต่ลูกชายตัวดีชิงคว้าเสียมแบกใส่บ่าเดิมดุ่ม ๆ เข้าป่าไปแล้ว เสียงถอนใจดังเฮือกหลุดออกจากปากพ่อบ้านพุงพลุ้ย
“ข้าเป็นห่วงอ้ายผุดซะจริง เข้าป่าเข้ารกคนเดียว ครั้นข้าจะไปเป็นเพื่อนมันก็ห่วงเอ็ง หากฉวยเป็นอะไรไป ใครจักรู้เห็น เฮ้อ ห่วงหน้าพะวงหลังจริงเชียว”
“หากว่าพี่ห่วงลูกก็ตามมันไปเถิด อย่ามาพะวงกับฉันเลย ครานี้ก็หายพอจักช่วยตนเองได้แล้ว”
นางเมียเองก็ห่วงลูกชายไม่น้อยเหมือนกัน จนต้องออกไปไล่ผัวให้ไปตามลูกชายในป่า หล่านส่ายหน้าไปมาเพราะห่วงเมียกว่าสิ่งใด เมื่อก่อนไม่เคยมีความรู้สึกอย่างนี้มาก่อน กาลเวลาผ่านไปจึงรู้ว่าเมียและลูกคือสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต เสียใจไม่น้อยที่พาเหลงไปขายให้กับนวลจิต ไม่รู้ว่าป่านนี้มีความเป็นอยู่อย่างไร แต่เชื่อว่าคนที่เป็นขี้ข้าคนอื่นคงไม่มีความสุขสบายสักเท่าไร
“ข้าห่วงเอ็งมากกว่า อย่างน้อยอ้ายผุดมันก็ยังมีกำลัง แข้งขายังดี พอจะวิ่งหนีไหว แต่เอ็งยังคงต้องนอนแบบอยู่กับฟาก ใครมันน่าห่วงกว่ากันเล่า หากว่าอ้ายผุดมันยังไม่กลับก่อนตะวันตกดิน ข้าจักเข้าไปดูมันเอง เอ็งเข้าไปนอนพักเอาแรงเถิด ข้างนอกลมมันแรงนัก ประเดี๋ยวไข้จักกลับมาซ้ำอีก”
หล่านเองก็เพิ่งจะพบสัจธรรมของชีวิตว่าความสุขต่อการได้อยู่กับลูกเมียคือความสุขสูงสุด โมโหตัวเองที่ละเลยทิ้งครอบครัวมานานหลายปี มารู้ตัวก็สายไป ปล่อยให้ลูกสาวไปอยู่กับคนอื่น เวลานี้ทุกค่ำคืนจะต้องสวดมนต์ภาวนาขอให้เหลงปลอดภัย
เด็กชายผมจุกแบกเสียมแหวกป่าเสียงดังกรากแกรก สายตาเขม้นมองไปทั่ว ทว่า หัวใจดวงน้อยเต้นกระตุกอย่างแรงเมื่อเห็นร่างหนึ่งนอนฟุบหน้าลงกับพื้นดินอันสกปรก ก้าวขยับเข้าไปหาด้วยความเร็ว หวังว่าจะมีทรัพย์สินติดตัวจะได้ฉกฉวยมาเป็นของตัวเอง ในยามศึกสงครามอย่างนี้ สิ่งไหนพอจะหามาได้ก็ต้องรีบคว้า ไม่คำนึงถึงความผิดถูก
“ตายซะละมั้ง เนื้อตัวเต็มไปด้วยริ้วรอย ใครหว่า ผู้หญิงเสียด้วย เฮ้ย”
เด็กชายสะดุ้งโหยงสุดตัวเมื่อเห็นใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นชัด ๆ เด็กน้อยตาเหลือกเมื่อรู้ว่าคนที่นอนสลบแน่นิ่งก็คือ
“พี่เหลง พี่เหลง เป็นอันใด พี่เหลงตื่น ๆ อย่าเป็นอะไรไปนะ”
ผุดเขย่าเนื้อตัวพี่สาวพร้อมกับร้องแหกปากลั่นป่า กลัวว่าพี่สาวจะตายเพราะเห็นว่าไม่ได้สติสมประดี เมื่อเรียกนาน ๆ เข้า เหลงเริ่มขยับเนื้อตัว ปรือตาขึ้นดู เห็นใบหน้าราง ๆ ของใครบางคน จึงกะพริบตาอีกครั้ง
“อ้ายผุด โอ น้องพี่ พี่ยังไม่ตายใช่ไหม”
เหลงตะโกนเรียกร้องชายพร้อมกับตวัดแขนกอดรัดร่างแบบบางของผุดเข้าหาตัวเอง น้องชายเองก็เช่นกันซบหน้าลงกับอกพี่ ร้องไห้ด้วยความดีใจเมื่อรู้ว่าเหลงไม่ได้ตาย กลายเป็นความยินดี น้องชายจึงประคองพี่สาวกลับเรือนด้วยความทุลักทุเล
หลังจากพักฟื้นร่างกายจนรู้สึกแข็งแรงดี เหลงไม่ยอมหยุดนิ่งรับรู้แต่เพียงว่าจะต้องแก้แค้นคนที่เรือนของหลวงราชศักดิ์ สิ่งที่ถูกกระทำยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำ เจ็บปวดทุกครั้งเมื่อนึกถึงหลวงราชศักดิ์ พาเข้าห้องเมื่อเสพสมจนหมดอารมณ์ปรารถนาถูกไล่ออกจากห้องเหมือนสัตว์เดรัจฉานตัวหนึ่ง ไร้ค่าสิ้นความหมาย แค่นั้นยังเจ็บไม่พอ ถูกเหล่าบรรดาเมียบ่าวด้วยกันพูดจากกระทบกระเทียบจนเกิดความอาย แทบไม่อยากอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน