36 เหลงกลัวศัตรูแผ่นดิน
“จ้า ค่อยยังชั่วแล้ว นั่นพี่ได้ไก่ป่ามารึ”
“เออ มันกระโจนใส่แร้วที่ข้าดักเอาไว้พอดี ลาภปากเอ็งล่ะอ้ายผุด ข้าจักคลุกเกลือแล้วย่างให้เหลือง กินกับข้าวสวยที่ข้าไปปันจากบ้านเพื่อน โชคดีที่ข้าเม้มเงินจากค่าตัวนังเหลงเอาไว้ ทำให้มีข้าวกินไปได้สักครึ่งเดือน”
เมื่อได้ยินชื่อเหลง ลูกสาวคนโต เพ็ญน้ำตาร่วง คิดถึงลูกจับใจ ไม่รู้ว่าป่านนี้จะอยู่สุขสบายแค่ไหน ยิ่งคิดยิ่งเศร้า จากอาการเงียบเศร้าซึมของเมีย หล่านรู้ดีว่าเพ็ญรู้สึกอย่างไร จึงตัดบทด้วยการเดินเลี่ยงเข้าครัวไปจัดการกับไก่ป่าให้เรียบร้อย
ความร้อนจากเปลวแดดที่ทาบทับลงบนลำตัว ร่างที่นอนสลบไสลไม่ได้สติต่อภาพความน่ากลัวจากการต่อสู้ของผีทั้งสองตน เหลงขยับขาไปมา ในลำคอแห้งผากหนังตาหนักเสียจนต้องขยับหลาย ๆ ครั้ง จนที่สุดแสงแดดที่แยงตาเล็ดลอดผ่านม่านขนตาจนต้องหรี่เอาไว้
“หา นี่มันเช้าแล้วหรือ เรา เรายังไม่ตาย”
ด้วยความดีใจเหลงขยับตัวลุกขึ้นนั่งโดยเร็ว ลืมความเมื่อยล้าไปเสียสนิท กวาดสายตามองไปรอบ ๆ ตัว ไฟที่สุมไว้เมื่อคืนกลายเป็นเถ้าไปแล้ว ภาพเหตุการณ์ผีร้ายที่ต่อสู้กันอย่างดุเดือดเริ่มเกิดขึ้นในมโนสำนึก
ทว่าไม่มีร่องรอยการต่อสู้แม้แต่น้อย เกิดอะไรขึ้นหรือว่าเธอหลับฝันไป ฝันเห็นผีร้ายน่ากลัว แต่มันเหมือนจริงมาก
“จริงหรือฝันกันแน่ เหตุใดไม่มีร่องรอยการต่อสู้ แต่เราเห็นผีกองกอยกับผีท้องโต มันสู้กัน โอย แล้วนี่มันไม่มีรอยอะไรเลย อยู่ไม่ไหวแล้วตู ไปเรือนดีกว่า”
เหลงรีบสลัดปัดเศษใบไม้ออกจากเนื้อตัวแล้วหยันกายลุกขึ้น แม้จะมีเคล็ดขัดยอกไปบ้างแต่ก็ยังเดินรุดไปข้างหน้าด้วยความเร็ว แม้ว่าทางจะรกไปบ้างแต่ก็ยังฝืนกัดฟันทน ก้าวเดินไปด้วยสองเท้าที่มั่นคง
บางครั้งสะดุดรากไม้ล้มลงแข้งขาฟาดลงกับแง่หิน หน้าแข้งแตกยับ เลือดพุ่งกระจายส่งเสียงร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเก สองมือจับอุดบาดแผลกันไม่ให้เลือดทะลักออกมา ความทุกข์ทรมานในครั้งนี้ เหลงโทษนวลจิตกับหลวงราชศักดิ์เป็นเหตุ
“อ้าย อีคู่นั้นมันทำให้ข้าต้องทนทุกข์ทรมานต้องนอนกลางดิน กินกลางทราย ข้าเกลียดมันซะจริง คอยดูเถิดถ้าประสบความสำเร็จ พวกเอ็งและคนรอบข้างจักได้รับความระทมทุกข์อย่างแสนสาหัสมากกว่าที่ข้าผจญเป็นร้อยเท่า”
ภายในใจเหลง มีแต่ความคั่งแค้น อยากจะทำลายคนที่สร้างความทุกข์ให้ ยกเว้นแค่เพียงตุ่ม พนมและแดง ทั้งสามคนพยายามเข้ามาช่วยเหลือดูแล แต่ก็ทำได้ไม่เต็มที่ซึ่งก็สุดความสามารถของบ่าว ไม่อาจช่วยคุ้มกะลาหัวเหลงได้เลย
เหลงเดินลากขากะเผลกแหวกป่าพงไพรไปด้วยความยากลำบาก จากเลือดที่ไหลหยดเป็นทาง เริ่มแห้งเกรอะกรังไปตามหน้าขา อีกทั้งความร้อนจากแสงแดด ผสมกับเหงื่อทำให้คันยุบยิบตามเนื้อตัว จนต้องเกาขูดเนื้อหนังแทบถลอกปอกเปิก
แมลงหวี่ตัวเล็กเมื่อได้กลิ่นคาวเลือดจากบาดแผลเริ่มบินตามมาเกาะดูดเลือด เหลงต้องหาใบไม้มาแปะและรัดพันด้วยเถาวัลย์จนแนบแน่น ทำให้รอดพ้นจากแมลงน่ารำคาญ เดินไปได้ชั่วครู่หิวจนตาลายต้องเก็บผลไม้ใต้ต้นที่หล่นเกลื่อนกลาดกิน โดยสังเกตดูว่าไม้ชนิดไหนที่นกกากิน เห็นว่าปลอดภัยจึงคว้ายัดเข้าปากโดยไม่รั้งรอ
นับว่าเป็นความทุกข์แสนสาหัสของผู้หญิงคนหนึ่งที่ดิ้นรนเพื่อให้ประสบความสำเร็จในชีวิต โดยไม่รู้เลยว่าอาจารย์ขนอมจะให้ความร่วมมือแค่ไหน แต่เหลงเชื่อในอำนาจเงินตรา สามารถทำให้เรื่องยากกลายเป็นเรื่องง่ายในไม่ช้า
เสียงคนเดินย่ำเท้าใกล้เข้ามา ด้วยสัญชาตญาณ รู้ในทันทีว่าเป็นพวกอริราชศัตรู เหลงกระโดดเข้าหลบเข้าไปในโพรงต้นไทร โชคดีที่ไม่มีสัตว์มีพิษหลบซ่อนอยู่ อดทนขดตัวอยู่เป็นนาน เมื่อเห็นว่าพวกต่างชาติหน้าตาเหี้ยมโหดเดินผ่านเลยไป
‘พวกเลว เมื่อไหร่จักออกไปจากแผ่นดินเสียที ทำให้พวกข้าอดอยากปากแห้ง ถ้าหากมันเจอเราคงโดนย่ำยีจนย่อยยับแล้วเชือดคอด้วยคมดาบนั่นก็ได้’
เหลงหวาดกลัวเสียจนต้องขดหลบตัวซ่อนอยู่อีกพักหนึ่ง เมื่อเห็นว่าศัตรูแผ่นดินไม่ย้อนกลับมา เหลงขยับมุดลอดออกด้วยความระมัดระวัง หลังจากทรงตัวได้แล้ว เหลียวไปรอบตัวเห็นว่าตะวันตรงหัว รับรู้ว่าอีกไม่นานจะถึงหมู่บ้าน คงได้พบกับพ่อแม่และน้องชาย ที่สำคัญอาจารย์ขนอมจะต้องอยู่ชายป่าแล้วมีผวน คนที่เคยลักลอบได้เสียเป็นผัวเมียกัน
“พี่ผวน ฉันคงไม่มีวาสนาครองคู่อยู่กับพี่ ฉันจะต้องไปให้ถึงที่หวัง ขืนอยู่ตรงนี้รังแต่มีคนเหยียบย่ำ อย่าโกรธฉันเลย”
เหลงน้ำตาไหลเมื่อนึกถึงความดีของผวนที่พึงกระทำต่อตน ในชีวิตนี้ไม่มีผู้ชายคนไหนดีเท่าเขาอีกแล้ว แต่เธอไม่อาจอยู่คู่กันในเมื่อตัดสินใจเป็นเมียของหลวงราชศักดิ์จะต้องได้รับสิ่งที่ดีกลับคืนมา เชื่อว่าอาจารย์ขนอมคงช่วยให้สมความปรารถนา