ตอนที่ 4 ดวงวิญญาณ
ดวงจิตของสตรีผู้หนึ่ง กำลังยืนจ้องมองไปยังเตียงในเรือนสภาพทรุดโทรมนี้ นางปวดใจเหลือเกิน
ดวงวิญญาณนี้หย่อนก้นนั่งลงอย่างหมดสภาพ ผิวของนางขาวซีดไร้สีเลือด อีกทั้งใบหน้าของนางก็มีเส้นเลือดสีม่วงคล้ำ ดูน่าเกลียดไม่น้อย
วิญญาณดวงนี้ เป็นใครกันถึงได้จ้องมองคนที่นอนไม่สติ ละเมอเพ้ออยู่เช่นนั้น อาจิง สงสารเจ้านายอย่างสุดขั้วหัวใจ คุณหนูต้องพิษยังป่วยเช่นนี้อีก จะทำอย่างไรดีเล่า
ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น หากคุณหนูตื่นมาได้เมื่อไหร่ นางจะพาคนที่นอนป่วยหนีไปให้ไกลพ้นหูพ้นตาพวกคนชั่วช้า คิดลงมือได้แม้กระทั่งลูกในไส้ของตนเอง
ไอหมอกสีขาวพวยพุ่งห้อมล้อม รอบ ๆ เตียงนอน มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ชายผู้หนึ่งมีรัศมีเปล่งประกายเจิดจ้า อีกทั้งในมือยังแจกันใบเล็ก ๆ อีกด้วย
หนวดเครายาวจนถึงท้องของเขา สีหน้านั้นดูอ่อนเยาว์มากมายนัก ท่านเทพโชคชะตาลงมาจากเบื้องบนด้วยตนเอง เพราะทำงานผิดพลาดครั้งใหญ่ ทำให้ชีวิตของเด็กสาวผู้นี้ตกระกำลำบากไม่น้อย
เผชิญกับเรื่องราวเลวร้ายจนบัดนี้ชีวิตของนางกำลังจะสิ้นลมไป ทว่าผู้เป็นพี่สาวฝาแฝดนั้น ยังวนเวียนไม่ยอมไปไหนรอคอยน้องสาวตลอดเวลา สิบเจ็ดปีที่ผ่านมา
จนมารดาสิ้นลมหายใจไปแล้ว นางก็ยังรอคอยน้องสาวที่นอนแน่นิ่ง ในใจนึกชิงชังอยากจะแค้นเหลือเกิน
นางทั้งวิงวอนและสาปแช่งท่านเทพอยู่ทุกราตรี
เทพชะตานั้นทนไม่ไหว ผีสาวตนนี้ด่าแสบทรวงนัก จนหูของเขานั้นชาทุกวัน จะกินไม่ได้ นอนไม่หลับก็เพราะวิญญาณตนนี้มีความแค้นใหญ่หลวงยิ่ง
หากเขามิช่วยเหลือเกรงว่าจะถูกนางสาปส่ง
เรื่องลับอันใดเกี่ยวกับมารดาของนางล้วนรับรู้หมดสิ้น มีหรือที่นางสองคนมิใช่ลูกของบิดา แต่เป็นฮูหยินใหญ่ผู้นั้นต่างหากเล่า วางแผนใส่ร้ายจนมารดาตรอมใจ บิดาไม่เชื่อในสิ่งที่เอ่ยกล่าว
ทำให้ต้องเสียแฝดผู้พี่ก็คือวิญญาณดวงนี้ที่ ยืนรอคอยน้องสาวอย่างมีความหวัง นางเองมิอาจจะช่วยเหลืออันใดได้
ก็เป็นเพียงแค่ดวงวิญญาณเร่ร่อนรอคอยอย่างมีความหวัง
สักวันหนึ่งนางจะต้องได้กอดและพูดคุยกับน้องสาว
“เจ้ารอนางมาเนิ่นนานแล้ว ใกล้จะสมหวังเสียทีสินะ” เทพชะตาผู้ยิ่งใหญ่เอ่ยขึ้น เมื่อมองเห็นดวงวิญญาณดวงนี้
ที่แน่วแน่ รอคอยน้องสาวมาสิบเจ็ดปี ในที่สุดสิ่งที่นางรอคอยใกล้จะมาถึง
เด็กสาวกำลังจะสิ้นใจลงในไม่ช้า ด้วยเพราะร่างกายอ่อนแอ ยังถูกพิษเข้าแทรก ดูแล้วทรมานเหลือเกินกว่าจะสิ้นใจลงไปได้
“ท่านเทพ ชีวิตน้องสาวของข้าช่างน่าสงสารยิ่งนัก” ดวงจิตว่างเปล่าเอ่ยขึ้น ดวงตาของนางกำลังมองน้องสาวที่เหมือนกำลังอ้อนวอนบางอย่าง
เห็นริมฝีปากของนางที่เม้มเข้าออก เหมือนกำลังจะพูดคุยเรียกสาวใช้อย่างอาจิง
แสงเทียนในห้องนอนถูกดับลงแล้ว ด้านในยังคงเหลือเพียงแค่อาจิงเท่านั้น กับคนป่วยที่ไร้ลมหายใจไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
ดวงจิตดวงน้อยน้ำตาไหลพรากที่เห็นสาวใช้นั้นกำลังจับมือของตนเองอย่างเป็นห่วง เมื่อพบกับดวงจิตอีกดวงที่มีใบหน้าเหมือนกับนางก็ตกใจไม่น้อย
ท่านเทพชะตาเอ่ยกล่าวให้ฟัง ว่าทั้งสองคนเป็นพี่น้องกัน แต่ว่า พี่สาวนั้นสิ้นใจก่อน นางเพียงกำลังรอน้องสาวอย่างว่านชิงไปเกิดด้วย
ว่านชิงสงสารอาจิงจับใจหากนางจากไปแล้ว สาวใช้ของนางจะต้องร้องไห้และเสียใจเป็นแน่ ใครจะคอยอยู่ให้นางเป็นห่วงกัน ใครจะคอยอยู่พูดคุยกับนางกัน
ว่านชิงทรุดกายลงข้าง ๆ อาจิง ร้องไห้ร้องห่มอย่างเวทนาสงสาร แต่ว่า...ดวงจิตของนางถึงคราที่จะต้องไปปรโลกแล้ว หมดสิ้นกันแล้วในชาตินี้
รุ่งเช้าของวันใหม่มาเยือน อาจิงตื่นขึ้นมาก็พบกับเตียงนอนที่ว่างเปล่า ไร้ร่างคนป่วยที่นอนอยู่เมื่อคืน นางตกใจรีบลุกขึ้นไปตามหาเจ้านายของตนเอง
และก็พบกับคนร่างเล็กผอมแห้งแรงน้อย ยืนยืดแขนยืดขาอยู่หน้าเรือน ยาของท่านหมอช่างวิเศษนักเพียงแค่คืนเดียว เจ้านายของนางก็หายจากอาการป่วยแล้ว
ช่างเป็นยาวิเศษนัก อาจิงอดชื่นชมตาแก่อย่างท่านหมอผู้นั้นไม่ได้ หารู้ไม่ว่าสตรีนางนี้มิใช่ว่านชิงที่นางรู้จักอีกแล้ว
อาจิงรีบวิ่งเข้าไปสวมกอดเจ้านายด้วยความดีใจ “คุณหนู ในที่สุดท่านก็ฟื้นแล้ว” นางเอ่ยกับคนที่ถูกนางสวมกอด น้ำเสียงอู้อี้เพราะร้องไห้ไปด้วย พูดคุยไปด้วย
ว่านชิง มองใบหน้าของสาวใช้จากนั้นก็ระบายยิ้มเล็ก ๆ “อาจิง ต่อไปเราก็ไม่ต้องลำบากแล้วนะ” ว่านชิงเอ่ยขึ้น ทำให้สาวใช้ที่โผกอดด้วยความเป็นห่วงมิเข้าใจเจ้านายของตนเอง
“เหตุใดเล่าเจ้าค่ะ เมื่อครู่ท่านพ่อให้พ่อบ้านมาแจ้งว่าให้ย้ายไปเรือนที่อยู่ตรงนั้น” นิ้วเรียวของนางชิงชี้ไปยังเรือนที่ตั้งอยู่ไม่ได้ห่างจากจุดที่นางยืนอยู่
แววตาเป็นประกายวาววับทำให้สาวใช้นึกสงสัยแต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามอันใด เมื่อเห็นว่านายของตนหายดีแล้ว นางก็ยิ่งมีความสุขนัก มือเรียวหยาบกร้าน ลูบมือของอีกฝ่าย ยามที่นางยืนข้าง ๆ
“คุณหนู ต่อไปนี้ข้าจะปกป้องท่านแทนฮูหยินรองเองนะเจ้าคะ” อาจิงแววตาเป็นประกายทีเดียว ทุกวันนี้นางทำหน้าที่เป็นสาวใช้ดูแลนายอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แต่ก็ยังไม่พ้นเงื้อมมือของสองแม่ลูกนั่นสักที
“ฮืม” คนป่วยใบหน้าสลดลงทันที ยามที่คนใจดีเอ่ยถึงมารดาที่จากไป “เข้าไปข้างในกันเถิดเก็บของย้ายเรือนกัน” คงจะย้ายได้ไม่นาน นางคิดเช่นนั้น
ฟงถงคหบดีใหญ่ เจ้าของบ้านที่มีพื้นที่กว้างขวางนัก ท่วงท่าการเดินดูจะองอาจมาดมั่นเสียเหลือเกิน ยามเห็นบุตรีที่มิได้ใส่ใจ
นางกำลังเช็ดถูเรือนให้สะอาด ผู้ที่ติดตามด้วยเป็นพี่สาวต่างมารดา ยืนเกาะแขนบิดาเสียแน่น คงกลัวว่าสตรีอย่างว่านชิงจะแย่งไปกระมัง
ทว่าสายของว่านหลินยิ้มเย้ยหยันกับอีกฝ่ายอย่างไม่ปิดบัง ยังแลบลิ้นใส่นางอีกอย่างนั้น ทำให้ว่านชิง มองไปแต่ก็ทำเป็นเมินเฉย แม้ว่ารู้แผนการทั้งหมดแล้ว ว่าเป็นเช่นไร
เหตุใดนางจะไม่กอบโกยก่อนจะหนีเล่า ยังมีเวลาให้นางอยู่เสวยสุกอีกเป็นเดือน การหลบหนีก็ไม่เห็นจะยากสักเท่าไหร่ ประตูด้านหลังไร้คนคอยเดินตรวจตรายามค่ำคืน
“ต่อไปนี้เจ้าไม่ต้องทำงานบ้านเองนะ พ่อจะให้สาวใช้เจ้าเพิ่มอีกสองคน” ฟงถงเอ่ยขึ้นกับว่านชิง นางละมือจากการทำความสะอาดยืนพูดคุยกับเขา หาได้หลบสายตาเหมือนเช่นเคยไม่
“ท่านพ่อ ลูกขอบคุณท่านที่เมตตาลูกเจ้าค่ะ” ว่านชิงยกยิ้มขึ้น นางดูสุขุมใจเย็นยังเอ่ยพูดน้ำเสียงใสดูกังวานไม่น้อย มันซ่อนอะไรเอาไว้บางอย่างในสายตาที่ดูว่างเปล่าคู่นี้
“ชิงเอ๋อร์ พ่อรู้ว่าผิดต่อเจ้านัก ต่อไปนี้ก็ถือว่าพ่อขอโทษเจ้าเรื่องที่ผ่านมาเถิด” ฟงถงรีบเอ่ยขึ้นอีกครั้งเพื่อต้องการบางสิ่งบางอย่าง เขาคิดว่าอย่างไร เด็กสาวตรงหน้าย่อมทำตามคำสั่งของเขาอยู่แล้ว
“ท่านพ่อ ลูกขอบคุณท่านที่เอ็นดูลูก มอบเรือนใหญ่ขนาดนี้ให้ หากมีสิ่งใดที่ลูกตอบแทนท่านได้ลูกยินดีเจ้าค่ะ” นางเองก็เช่นเดียว เพื่อต้องการทรัพย์สินไปเริ่มต้นใหม่
จำเป็นต้องแสดงบทบาทของบุตรีที่แสนดีและอ่อนหวาน ว่านอนสอนง่าย ถึงจะยังไม่หายจากการป่วยดี ร่างกายยังอ่อนแรงอยู่มาก
หากนางไม่รีบลุกขึ้นยืนให้ได้ เกรงว่าจะเสียโอกาสที่ได้รับมันมาในครั้งนี้
“ลูกพ่อ เจ้าช่างน่ารักเสียจริง เจ้าพักผ่อนให้หายดีแล้วพ่อจะให้รางวัลกับเจ้า เจ้าคงจะชอบแน่” ฟงถงส่งยิ้มให้ลูกสาวอย่างคุณหนูรองเพียงแค่ในนามเท่านั้น ฐานะของนางก็ไม่ได้ต่างจากสาวใช้ในเรือนสักเท่าไหร่
ว่านหลินยกยิ้มขึ้นอย่างสาแก่ใจ น้องสาวผู้นี้ยังไม่รู้ตัวว่าอนาคตของนางจะต้องเผชิญกับอะไรบ้าง นี่มันทำให้นางมีความสุขยิ่งนัก อะไรจะมีความสุขไปมากกว่าเห็นน้องสาวผู้นี้ถูกทรมานเล่า