กล้วยไม้ล้อมตะวัน 4
เพราะเดาว่าในเวลาอย่างนี้ แขกของไรวินทร์ยังอยู่ในบ้าน ณิชาจึงพารถคู่ใจอ้อมไปทางประตูรั้วด้านหลัง แล้วเข็นเข้ามาในเส้นทางขรุขระ ขนาดแค่พอคนเดินผ่าน
ด้วยอากาศร้อนจัด แม้จะเดินมาในระยะไม่กี่สิบเมตรจนถึงประตูห้องครัวที่เปิดแง้มก็ทำให้ใบหน้านวลนั้นแดงก่ำด้วยไอแดด แถมเม็ดเหงื่อซึมจนทั่ว ดังนั้นเมื่อเจอกับป้าสดใสที่สาละวนอยู่กับงานครัว เจ้าตัวจึงถึงกับอุทานถามให้วุ่น
“กลับมายังไงคะคุณนิด แล้วเมื่อเช้าเอารถไปไม่ใช่หรือคะ ทำไมถึงได้เข้ามาทางหลังบ้านเงียบๆ”
“โน่นไง รถจอดอยู่ข้างนอก นิดเข็นเข้ามา ไม่อยากรบกวนเจ้าของบ้านกับบรรดาแขกพิเศษ”
“ใครที่ไหนกัน คุณนิดรู้หรือเปล่าว่าแขกของคุณไรวินทร์เป็นใคร เสียดายที่เมื่อเช้าคุณนิดรีบออกไปก่อน ไม่อย่างนั้นคงได้เจอกัน”
“มีอะไรหรือคะป้า”
“คุณลดาน่ะสิคะ มากับคุณใหญ่ ตอนตั้งโต๊ะทานข้าวช่วงใกล้เที่ยง เธอยังมาถามหาคุณนิดถึงในครัว แต่เหมือนจะรู้นะว่าคุณนิดออกไปข้างนอก เธอถามว่าคุณนิดกลับมาหรือยัง...คุณนิดได้คุยกับคุณลดาไว้ก่อนหรือเปล่าคะ”
“ปละ...เปล่าค่ะ ไม่ได้คุย”
ณิชาอ้ำอึ้ง เธอไม่อยากเจอปิ่นลดา เพื่อนใหม่ที่เคยคุยถูกคอในช่วงสั้นๆ ในเวลานี้ แม้จะรู้สึกดีกับเพื่อนรุ่นพี่คนนี้ตลอดมา เพราะรู้สึกว่ามีบางสิ่งในชีวิตที่คล้ายกัน จึงไม่ยากที่จะคุยกันได้ แต่พอเช้านี้เมื่อเผชิญหน้ากันตรงประตูรั้วใหญ่ซึ่งทำให้ณิชารู้ว่าปิ่นลดาและสามีนั่นเองที่มาเป็นแขกของไรวินทร์ เธอจึงถึงกับเบรกตัวเองจนตัวโก่ง
เธอควรทบทวนความสัมพันธ์ฉันเพื่อนกับปิ่นลดาใหม่แล้วใช่ไหม
“แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ไหนกันคะ”...หรือยังสังสรรค์อยู่ในห้องรับประทานอาหารโอ่โถงที่บิดาเคยใช้รับรองแขก ซึ่งภายหลังไรวินทร์ยึดไว้ใช้เอง
“กลับกันแล้วค่ะ นี่บ่ายโมงกว่าแล้ว คุณนิดเพิ่งมา ว่าแต่ทานอะไรมาจากข้างนอกหรือยังคะ ถ้ายังป้าจะตั้งโต๊ะให้”
“นิดยังไม่ได้ทานอะไรมาเลย ตั้งใจหิ้วท้องกลับมากินขนมจีนแกงไตปลากับผักลวกกะทิของป้า ตอนนี้หิวมากเลยค่ะ”
ณิชาบอกเสียงออด แม้จะมีอาหารตกถึงท้องแค่ข้าวต้มไม่กี่ช้อนในมื้อเช้า แต่ก็ยังห่างไกลจากคำว่าหิว หากเพียงอยากให้แม่ครัวใหญ่ถอนความสนใจจากแขกของเจ้าของบ้านคนใหม่เท่านั้นเอง
ณิชายอมรับว่า...ยังไม่อาจทำใจรับฟังด้วยหัวใจที่เปรมปรีดิ์ได้
ลำแสงเรื่อเรืองเคลียเส้นขอบฟ้า ยามตะวันเคลื่อนคล้อยใกล้จะลาลับ อุณหภูมิลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว สายลมหนาวพัดวูบมา ทำให้คนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงลานสนามหญ้าหลังบ้านต้องห่อไหล่ มือบางดึงผ้าคลุมพลิ้วนุ่มกระชับแน่นขึ้น หากสายตาก็ยังจดจ่อกับสิ่งที่วางบนตัก
หล่อนกำลังตกเป็นเป้าสายตาของใครคนหนึ่งซึ่งยืนอิงกรอบหน้าต่างชั้นสองทางปีกซ้ายของบ้าน ดวงตาคมคู่นั้นหรี่ลงอย่างประเมินและครุ่นคิด
เป็นครู่ใหญ่เขาถึงขยับยืน สองมือล้วงกระเป๋ากางเกงยีนส์ สายตายังจับจ้องตรงภาพเดิม นึกอยากรู้ขึ้นมาว่าผู้หญิงคนนั้นทนอยู่ในบ้านหลังนี้ด้วยเหตุผลอะไร เพราะเห็นชัดว่าหล่อนไม่ได้รู้สึกดีกับเขา...แถมยังแสดงชัดว่าไม่แม้จะอยากเฉียดใกล้ด้วยซ้ำ
แล้วเสียงหัวเราะก็ดังในลำคอหนา เมื่อความคิดแล่นมาหยุดตรงนี้
ณิชา...มีสิทธิ์อะไรที่จะคิดและทำอย่างนั้นเล่า ในเมื่อเขากับเธอไม่ได้เกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อย หล่อนเองต่างหากที่ทู่ซี้อยู่ ไม่ยอมย้ายออกไปเอง เท่าที่เขายอมให้อยู่ ก็นับว่าใจดีมากพอแล้ว
ควรหรือที่คนอาศัยอย่างหล่อนจะมาทำท่าทีรังเกียจเจ้าของบ้านอย่างเขาได้!
เมื่อหญิงสาวที่นั่งอยู่กลางลานหญ้าลุกยืน คนร่างสูงใหญ่ตรงบานหน้าต่างชั้นสองก็ขยับตัว ถอยหลบเข้ามาข้างใน ด้วยไม่ต้องการให้เจ้าหล่อนรู้ว่าเขาเฝ้าจับตามองอยู่
ณิชาทอดฝีเท้าเข้ามาในบ้าน พร้อมกอดหนังสือนิยายโรมานซ์ฉบับภาษาไทย ซึ่งเป็นผลงานการแปลเล่มแรกของเธอที่สำนักพิมพ์ตีพิมพ์และวางแผงเมื่อเกือบสองเดือนก่อน เงินตอบแทนนับว่าก้อนใหญ่พอสมควรสำหรับเธอถูกโอนเข้ามานอนนิ่งอยู่ในบัญชีตั้งแต่ต้นเดือน มันทำให้ณิชาอุ่นใจว่านับจากนี้ถ้าชีวิตจะต้องเปลี่ยนแปลงอีก เธอก็จะไม่จนทางนัก
ไม่ไร้ทางไปเหมือนเมื่อปีก่อนตอนเพิ่งเรียนจบจากวิทยาลัย เมื่อเงินก้อนใหญ่ก้อนเดียวนั้นหายไปพร้อมกับจอมหลอกลวง...
นั่นคือสาเหตุหลักที่ทำให้ณิชาต้องทำตัวเป็นคนหน้ามึน แสร้งไม่รู้สึกรู้สากับการยื้ออาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ต่อ แม้มันจะถูกเปลี่ยนมือไปแล้วก็ตาม
แม้แต่บัวบูชาก็ยังไม่รู้ถึงความจริงข้อนี้ เธอรู้ว่าเพื่อนสาวแคลงใจและสงสัยตลอดมาว่าทำไมเธอถึงยึดติดกับบ้านนัก จนไม่ยอมย้ายออกไปเริ่มชีวิตใหม่...แม้ส่วนลึกณิชาจะอาลัย อยากได้บ้านคืนมาใจแทบขาด ถึงขนาดวาดฝันว่าไรวินทร์อาจเปลี่ยนใจยอมขายบ้านคืนให้กับแพทริเซีย และเมื่อเธอพร้อมก็จะเจรจาขอซื้อต่อมาได้
หนึ่งปีที่ผ่านมาเมื่อต้องกลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัว โลกของณิชาจึงกลายเป็นสีหม่น มองไปทางไหนเห็นแต่ความทึมเทา ไร้แสงสว่างสาดส่องมาถึง แต่พอวันนี้หญิงสาวเพิ่งจะเห็นเส้นทางเดินของตัวเองใหม่แล้ว มันปรากฏอยู่ข้างหน้ารางๆ
ดวงหน้าของณิชาแช่มชื่นขึ้นเมื่อนึกถึงตรงนี้ แต่พอจะเดินเลี้ยวไปยังห้องส่วนตัวก็ต้องหยุดตัวเองเมื่อได้ยินเสียงเรียกเบาๆ
“มีอะไรหรือคะป้า” ณิชายิ้มให้แม่ครัวชราที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เธอจำความได้
“ป้ามีเรื่องจะคุยกับคุณนิด” สีหน้าของคนพูดดูไม่มั่นคง ซ้ำยังดูอึกอักชอบกล จนณิชาต้องดึงมือเหี่ยวย่นนั้นเข้าไปในห้องด้วยกัน
“มีเรื่องอะไรจะคุยหรือคะ”
“คุณนิด...วันนี้ไปสมัครงาน เป็นยังไงบ้างคะ เมื่อตอนกลางวัน ป้าก็ลืมถาม”
ณิชายิ้ม มองคนถามอย่างรู้ทันว่าคงมีเรื่องอื่นสำคัญไม่แพ้กันถึงได้ลืมถามเรื่องของเธอ...อย่างที่น้อยครั้งป้าสดใสจะเป็น
“นิดได้งานทำค่ะ เริ่มทำงานตั้งแต่พรุ่งนี้”
“งั้นหรือคะ ดีจัง”
พอถึงตรงนี้ณิชาก็เลิกคิ้วแปลกใจ
“ดียังไงคะ ไหนช่วงเช้าป้ายังว่าให้นิดรองานที่ส่งใบสมัครอยู่เลย แถมปลอบว่าของทุกอย่างมันมีจังหวะของมัน อย่างของนิดจังหวะยังมาไม่ถึงก็ให้ใจเย็นรออีกหน่อย”
ไม่เชิงจะงัดกันจริงจัง แต่อยากรู้เรื่องของป้าสดใสมากกว่าว่าทำไมถึงได้เปลี่ยนความคิดเร็ว แค่ผ่านมาไม่กี่ชั่วโมง
“คุณนิดมีการมีงานทำก็ดีแล้วค่ะ จะได้มีช่องทางของตัวเอง ถึงยังไงก็อยู่บ้านหลังนี้ตลอดไปไม่ได้ คุณนิดพอเข้าใจใช่ไหมคะ”
“นิดรู้ค่ะว่าเจ้าของบ้านไม่ได้ยินดีที่ยังเห็นนิดป้วนเปี้ยนอยู่เท่าไหร่”
“ไม่ว่าเขาจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจ แต่คุณนิดเป็นสาวเป็นแส้ จะอยู่ร่วมบ้านอย่างนี้ตลอดไปไม่ได้ค่ะ” ว่าแล้วเจ้าตัวก็ถอนหายใจ “ป้าก็ต้องกลับกำแพงเพชร ลูกสาวป้าจะคลอดลูกคนที่สาม มันเพิ่งโทร.มาหาเมื่อช่วงสาย มันไม่ค่อยสบาย ผัวก็ไม่ดูแล ป้าเป็นห่วง กลับคราวนี้ตั้งใจจะปักหลักอยู่ตลอดไป คงทิ้งมันกับลูกมาไม่ได้อีก”
ราวกับโลกถล่มลงตรงหน้า นี่หมายความว่าป้าสดใสที่เหมือนญาติผู้ใหญ่ที่เหลืออยู่คนเดียวจะจากเธอไปอีกคนงั้นหรือ...ณิชานิ่งงันชั่วอึดใจ แต่พอเหลือบเห็นสีหน้าของคนอาวุโสกว่า ถึงได้ยิ้มอ่อน บอกตัวเองให้ยอมรับความจริง แม้ข้างในจะอยากร้องไห้ก็ตาม
“นิดเข้าใจ นิดรู้ว่าสักวันป้าต้องกลับไป ครอบครัวป้าอยู่ที่นั่น”
“ป้าเป็นห่วงคุณนิด ถ้ายังอยู่ที่นี่แล้วใครจะคอยดูแล ตอนนี้คนของคุณพ่อก็ไม่เหลือใครแล้ว ที่เห็นเดินกันเกลื่อนบ้านก็เป็นคนของคุณไรวินทร์ ทั้งคนรับใช้ คนงานและคนสนิทของเธอ ส่วนหมอแพทก็อยู่หอพักของโรงพยาบาล เดือนหนึ่งมาค้างบ้านสักคืนสองคืน แถมพอแต่งงานก็คงย้ายออกอย่างถาวร ถึงตอนนั้นคุณนิดจะอยู่ยังไง กลางค่ำกลางคืนในบ้านใหญ่ก็ไม่มีใครอยู่ นอกจากคุณไรวินทร์”
“เขาอยู่ชั้นบน ไม่มายุ่งกับข้างล่างอยู่แล้ว”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะค่ะ มันไม่งาม ผู้หญิงผู้ชายอยู่ร่วมบ้าน...ป้าไม่ไว้ใจ”
“ป้าพูดอะไรคะ ใครจะทำอะไรนิด”
หญิงชราจับมือนุ่มของคุณหนูที่เห็นมาแต่อ้อนแต่ออก บีบกระชับแน่นแล้วว่าเสียงเครือ
“เชื่อป้าสักครั้ง ตอนนี้คุณนิดมีงานทำ ถึงจะเป็นพนักงานขายในห้าง เงินเดือนอาจไม่มาก แต่เราค่อยๆ ขยับขยาย ปล่อยบ้านหลังนี้ไป ถึงยังไงมันก็หลุดมือไปแล้ว คุณนิดค่อยสร้างใหม่ ตั้งต้นใหม่ดีกว่านะคะ”
กล่าวจบ ป้าสดใสก็ล้วงบางสิ่งวางบนฝ่ามือหญิงสาว ณิชามองแล้วเบิกตาตกใจ
“ป้า อะไรกันคะนี่”
“เงินของป้า เก็บไว้ตั้งแต่สมัยคุณพ่อคุณแม่ของคุณนิดยังอยู่ ท่านใจดี ให้เงินพิเศษป้ากับพวกเด็กๆ ใช้อยู่ตลอด ตอนนี้มันมีมากพอให้เราแบ่งกัน”
“ไม่ค่ะ ป้าเก็บไว้ทั้งหมด ยังไงป้าก็ต้องใช้เงิน อย่าลืมนะคะว่าป้ากลับกำแพงเพชร ยังมีอีกหลายชีวิตที่ต้องดูแล เก็บไว้นะคะ อย่าทำอย่างนี้เลย”
“แต่...เงินของคุณนิด” ป้าสดใสอึกอักที่จะพูดต่อ ณิชานิ่งมอง จนเมื่ออีกฝ่ายเงยสบตา เธอถึงพยักหน้าช้าๆ เมื่ออ่านดวงตาคู่นั้นจนกระจ่าง
“ใช่ค่ะ เงินเก็บของนิดไม่มีแล้ว” ณิชาข่มกลั้นอารมณ์ ฝืนกลืนก้อนสะอื้นที่ตีตื้นถึงลำคอ หลายวินาทีถึงพูดต่อ “แต่นิดเพิ่งได้ค่าแปลหนังสือ สำนักพิมพ์โอนมาให้ตั้งแต่ต้นเดือน มากพอให้อยู่ได้สักพัก ป้าไม่ต้องห่วงเรื่องเงินของนิด นิดเอาตัวรอดได้แล้ว ป้าเก็บส่วนนี้ไว้เถอะ ป้าต้องใช้มันเหมือนกัน”
เมื่อหญิงชรายังลังเล ณิชาถึงต้องยืนยันแกมบังคับ ฝ่ายนั้นถึงยอมทำตาม เก็บเงินที่พับมาปึกใหญ่ลงกระเป๋าดังเดิม
“นิดคิดเรื่องย้ายออกอยู่เหมือนกันค่ะ ไม่ต้องห่วงนะคะ นิดหาที่อยู่ใหม่ได้เมื่อไหร่จะไปจากที่นี่ทันที” คำมั่นสัญญานั้นทำให้หญิงชรายิ้มกว้าง
“คุณนิดบอกอย่างนี้ป้าก็สบายใจ หายห่วงไปอีกเปลาะค่ะ”
“แล้วป้าจะกลับกำแพงเพชรเมื่อไหร่คะ มีใครมารับหรือเปล่า”
“พรุ่งนี้ค่ะ ป้าเพิ่งจองตั๋วรถทัวร์ปรับอากาศเสร็จ”
“พรุ่งนี้เลยหรือคะ ทำไมกะทันหันจัง แล้วรถออกกี่โมง”
“บ่ายสองโมงค่ะ”
“พรุ่งนี้นิดทำงาน แต่จะออกไปส่งป้าค่ะ”
“คุณไรวินทร์สั่งคนให้ไปส่งป้าถึงสถานีขนส่งแล้ว คุณนิดทำงานวันแรก อย่าลำบากออกมาส่งป้าอีกเลย มันไม่ดี กำแพงเพชรก็แค่นี้เอง ยังไงคุณนิดก็ต้องไปหาป้าอยู่แล้วใช่ไหมคะ หรือไม่ก็ป้ามาหาคุณนิดที่เชียงราช ถึงยังไงเราก็ต้องได้เจอกันอีก”
“งั้นก็ได้ค่ะ สัญญาแล้วนะคะว่าเราแค่แยกบ้านกันอยู่ แต่ไม่ได้แยกจากกันตลอดไป”
“สัญญาค่ะ”
ณิชาโถมกอดร่างท้วมของหญิงชรา ซึมซับความอบอุ่นเดียวที่เหลืออยู่ ข่มกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลอย่างยากลำบาก สุดท้ายก็ยอมแพ้ ยอมให้น้ำใสไหลอาบแก้มนวลอย่างเงียบๆ
ใจหายเหลือเกิน...แต่ต้องยอมรับการจากลา เมื่อสิ้นพ่อสิ้นแม่ บ้านก็ตกอยู่ในมือของคนอื่น ป้าสดใสยังต้องแยกห่างไปอีกคน หัวใจของณิชาแทบสลาย แต่จำต้องเก็บกลืนความรู้สึกนี้ไว้ลึกสุด เพราะไม่อยากให้หญิงชราต้องห่วงหน้าพะวงหลัง
ณิชาได้แต่คร่ำครวญในอก...ทำไมสวรรค์ถึงส่งบททดสอบมาให้เธออย่างไม่เว้นวางกันด้วย