บท
ตั้งค่า

กล้วยไม้ล้อมตะวัน 3

ณิชาจอดพาหนะคู่ใจตรงด้านข้างของห้างสรรพสินค้าที่กันไว้สำหรับจักรยานและมอเตอร์ไซค์โดยเฉพาะ ก่อนจะเดินตรงไปยังร้านเสื้อผ้าแบรนด์หรูที่หมายตา แต่พอถึงประตูร้าน สิ่งที่พบเจอเมื่อสิบนาทีก่อนก็ทำให้ลังเล

หญิงสาวหมุนตัวกลับเพื่อจะตั้งหลักและชั่งใจถามตัวเอง

หากหลายนาทีผ่านไป หัวใจที่ว้าวุ่น ตัดสินใจไม่ขาดทำให้เธอไม่อาจบอกตัวเองได้ว่าจะถอยกลับหรือเดินหน้าต่อดี

มือเรียวล้วงกระเป๋าสะพาย หยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดโทร.หาเพื่อนสนิท โดยไม่ต้องรอนาน อีกฝ่ายก็รับสาย แต่ณิชากลับลังเลที่จะพูดธุระเสียอย่างนั้น จึงได้แต่อ้ำอึ้งถาม

“บัว ทำอะไรอยู่”

“ทำงานสิยะ มีอะไรว่ามา อย่าชักช้า ตอนนี้ลูกค้าเต็มร้าน” ถ้อยคำรัวเร็วบอกชัดว่าคนปลายสายกำลังยุ่งสักแค่ไหน ณิชาตัดสินใจในวินาทีนั้นว่าจะข้ามผ่านสิ่งที่อยู่ข้างหน้าด้วยตัวเอง

“โทร.มาคุย ไม่มีอะไร ทำงานไปเถอะ ไว้จะโทร.หาใหม่”

“ได้ๆ แล้วฉันจะโทร.หาเธอเอง ตอนนี้ขอดูแลลูกค้าก่อน นานๆ กลุ่มทัวร์ถึงจะเข้า ไม่ปล่อยให้ฉันนั่งตบยุงเฝ้าร้านคนเดียว”

“จ้ะ”

วางสายจากกันแล้ว ณิชาสูดลมหายใจลึก เดินไปยังร้านเสื้อผ้าแบรนด์หรู ทุกย่างก้าวที่เดินดุ่มก็นึกประดิษฐ์ถ้อยคำไปพร้อมกัน...แต่แค่เปิดประตูร้าน เสียงทักทายหวานใสก็ดังขึ้น

“น้องณิชานี่เอง ยังสนใจสมัครงานอยู่ใช่ไหมคะ วันนี้คุณแหววอยู่ร้าน จะได้คุยกันเลย พี่รับรองว่าคุณแหววต้องรับน้องเข้าทำงานแน่นอนค่ะ”

ณิชาแทบตั้งตัวไม่ทันเมื่อพนักงานขายของร้านที่พบหน้ากันครั้งเดียวในวันที่เธอมาพร้อมกับบัวบูชาเข้ามาทักถาม มิหนำซ้ำยังบอกอย่างมั่นใจว่าหากจะสมัครงานตามที่เคยถามข้อมูลกันไว้ ‘คุณแหวว’ ที่คงเป็นเจ้าของร้านจะต้องรับเธออีกด้วย

“มาค่ะ พี่จะพาไปพบคุณแหววข้างใน” คนพูดปรี่มาจับมือณิชา แต่ก็ชะงัก ยิ้มเก้อ เมื่อต้องถาม “ว่าแต่วันนี้น้องณิชามาเรื่องงานที่ถามกันวันก่อนใช่ไหมคะ ไม่ได้มาดูเสื้อผ้าในร้านเรา”

“ไม่ค่ะ นิดมาสมัครงาน”

ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุผลนี้ ณิชาคงไม่เฉียดเข้ามาชมเสื้อผ้าสวยงาม แถมด้วยคุณภาพโดนใจแต่ราคาสูงลิบให้เกิดกิเลสแบบเอื้อมไม่ถึงให้ทรมานใจเล่นหรอก

ณิชาเดินตามแรงจูงเข้าไปในห้องด้านในซึ่งกั้นผนังเป็นสัดส่วนด้วยกระจกใสและมีผ้าม่านสีเบจปิดทับพรางตา จนพบกับหญิงสาวหน้าตาสวยจัด ท่าทางประเปรียวที่นั่งอยู่หลังโต๊ะกลางห้อง หล่อนเงยหน้าขึ้น รอยยิ้มนั้นทำให้ณิชาหายใจทั่วท้อง...และนั่นก็ทำให้รู้สึกตัวว่าได้กลั้นหายใจลุ้นรับสถานการณ์อยู่นานเหมือนกัน

เกือบครึ่งชั่วโมง ณิชาถึงเดินออกจากร้านเสื้อผ้าแห่งนั้นพร้อมกับรอยยิ้มประดับบนใบหน้า มือบางกำกระเป๋าสะพายสีดำไว้แน่น หล่อนกำลังข่มกลั้นอารมณ์ดีใจไม่ให้หลุดเสียงกรี๊ดออกมาให้ผู้คนที่เดินสวนกันตกใจเล่น

เธอล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดูอีกรอบ เมื่อสักครู่ปิดเสียงมันไว้ จึงไม่ได้ยินสายเรียกเข้าของบัวบูชา

ณิชามองเครื่องมือสื่อสารแล้วยิ้มซุกซน ก่อนเก็บมันไว้ในกระเป๋าดังเดิม แล้วจ้ำออกจากห้าง ตรงไปยังสกูตเตอร์เพื่อบังคับพามันไปยังเป้าหมายอีกแห่งในวันนี้

ไม่ถึงสิบนาที รถมอเตอร์ไซค์สีส้มสดก็มาจอดด้านข้างตึกแถวสองชั้นติดกันสามคูหา หญิงสาวพาตัวเองไปยังคูหากลางอย่างคุ้นเคย เดินผ่านสินค้าหัตถกรรมที่แขวนห้อยย้อยอย่างจะใช้พื้นที่ทุกตารางนิ้วให้คุ้มค่า จนถึงด้านในสุด จึงพบกับคนที่ต้องการมาหาสนทนากับลูกค้าด้วยภาษาจีนกลางให้วุ่นอยู่

ณิชารอเพื่อนรักอย่างใจเย็น จนเห็นว่าลูกค้าได้สินค้าที่ต้องการ แล้วเดินออกจากร้าน เจ้าของสถานที่ถึงได้หันมาเห็นเธอ

“โอ๊ย เหนื่อย กว่าจะคุยกันรู้เรื่อง ฉันเมื่อยมือไปหมดเลย” บัวบูชาทำท่าหมดแรง อิงสะโพกกับขอบโต๊ะแคชเชียร์ จนณิชาต้องหัวเราะแล้วบอก

“เธอพูดภาษาจีนกลางได้คล่องดีนี่ พัฒนาขึ้นเยอะ สงสัยมีลูกค้ามาให้ฝึกบ่อยสิท่า”

“เหรอ ฉันพูดได้คล่องเหรอ แล้วทำไมยายสองหมวยเมื่อกี้ถึงไม่ยอมเข้าใจว่าพรมถักรูปช้างสีเงินเป็นงานทำด้วยมือ งานประณีต จะให้ตั้งราคาถูกเท่าสินค้าโรงงานที่ผลิตทีเป็นร้อยเป็นพันชิ้นไม่ได้”

“เขาไม่อยากเข้าใจมากกว่า แม่ค้ามืออาชีพอย่างเธอน่าจะรู้ทัน”

“ก็ว่าสิ ฉันก็หลงอธิบายอยู่ตั้งนาน” แม่ค้าหน้าใสหัวเราะแห้ง ก่อนพยักพเยิดถาม “วันนี้มีอะไรหรือเปล่าถึงออกจากหอคอยมาลุยดงสลัมของฉันได้”

“เธอก็พูดเกินไป” ณิชาหัวเราะ คุ้นเสียแล้วกับถ้อยคำกระแนะกระแหนของเพื่อนคนนี้

“เธอยิ้ม แต่หน้าตาไม่สดใสเลย เสียดายความสวยจริงๆ อย่างนี้สิเล่า ฉันถึงไม่เข็นให้ลงเวทีประกวดนางงามแห่งเชียงราช ล่ารางวัลมาตั้งตัวกัน เพราะขืนส่งไปก็เข้าเนื้อ นางงามคงไปยืนทำหน้างอ ตีหน้าเศร้ากลางเวที กรรมการจะหงอยเสียเปล่า”

“เพ้อเจ้อ ฉันไม่เอาด้วยหรอก” ณิชาค้อนให้เมื่อได้ยินบัวบูชาเล่าความคิดมาเป็นฉากๆ

“ไม่ต้องออกตัวแรงขนาดนั้น เพราะฉันเลิกคิดจะเป็นพี่เลี้ยงนางงามให้เธอตั้งนานแล้ว หลังจากดีดลูกคิดแล้วพบว่าขาดทุนแหงๆ นอกจากจะได้นางงามคนใหม่ให้ดันแทนเธอ”

บัวบูชาเคาะนิ้วกับปลายคางอย่างครุ่นคิดจริงจัง จนณิชาต้องหรี่ตามอง ไม่มั่นใจแล้วสิว่าเมื่อกี้เจ้าตัวพูดเล่นหรือพูดจริง

“อย่าบอกนะว่าเธอยังไม่เลิกคิดจะเป็นเจ๊ดันส่งคนประกวดนางงาม”

“ฉันเอาจริง ใครว่าฉันคิดเล่นๆ ฉันจริงจังตั้งแต่สมัยเราเรียนปีสี่ ถ้าไม่เป็นเพราะ...เอ่อ”

บัวบูชาหยุดตัวเองเมื่อเผลอพูดถึงชีวิตช่วงเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้าย เธอเกือบจะเข็นณิชาเข้าประกวดนางงามแห่งเชียงราชสำเร็จ ถ้าไม่เพราะมีอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่คร่าชีวิตของพ่อและแม่เลี้ยงของณิชาเกิดขึ้นเสียก่อน นับจากนั้นแผนนี้ก็ถูกพับเก็บ ไม่เคยพูดถึงอีกเลย เพิ่งจะได้เท้าความถึงก็เมื่อกี้แหละ

“จะว่าไป อย่างเธอเหมาะเป็นนักเขียน นักแปลนิยายนั่นละ เพราะช่างคิด ช่างเขียนและชอบอยู่ในโลกส่วนตัว” บัวบูชารีบดึงการสนทนาออกจากหัวข้อเดิม หวังไม่ให้กระทบจิตใจและความทรงจำอันเลวร้ายของเพื่อน และดูว่าสำเร็จเมื่ออีกฝ่ายยิ้มอ่อน

“เธอว่าอย่างนั้นหรือ ฉันเหมาะกับงานหนังสือจริงหรือ แต่เราก็ไม่ได้เรียนมาทางด้านนี้เลยนะ”

“อ้าว เธอทำมันได้ไม่ใช่หรือ เพราะฉะนั้นฉันจึงไม่เห็นความจำเป็นว่าต้องเรียนให้ตรงสายถึงจะทำงานนั้นได้ดี ดูอย่างฉันสิ เป็นแม่ค้าขายของที่ระลึกให้นักท่องเที่ยว ทั้งที่เราสองคนก็เรียนบริหารการโรงแรมมาด้วยกันแท้ๆ”

“ความจริงฉันก็กำลังจะได้ใช้ชีวิตอย่างเธออยู่นะ” ณิชาเกริ่น แล้วปิดปากเงียบ อมยิ้มแก้มตุ่ย ทำหน้าตามีเลศนัย จนคนรอฟังต้องเร่งถาม เจ้าหล่อนถึงยอมเปิดปากเฉลย “วันนี้ฉันไปสมัครงานเป็นพนักงานขายเสื้อผ้าในห้างมา เจอเจ้าของร้านพอดี เขาเลยให้เข้าไปคุย”

“ฮ้า! นี่ตกลงว่าเธอเอาจริง ร้านในห้างวันนั้นที่เราเข้าไปถามกันอ่ะนะ”

“จริงสิ แล้วทำไมต้องทำเสียงประหลาดใจขนาดนั้นด้วยล่ะ คิดว่าฉันทำไม่ได้หรือไง”

“ก็...ไม่รู้สินะ” เจ้าของคำพูดเกาศีรษะแกรก เหล่มองคนหน้านวลใส...ท่าทางต้วมเตี้ยมเตาะแตะเป็นคุณหนูอย่างนี้นี่หรือจะเป็นพนักงานขายของในห้าง!

และเหมือนว่าคนโดนปรามาสจะอ่านความในใจเธอออก สีหน้าหล่อนจึงงอง้ำทันตา

“ดูถูกฉัน เดี๋ยวจะทำให้ดูว่างานแค่นี้ฉันทำได้ ไม่ได้ติดนิสัยคุณหนูเหยาะแหยะอย่างที่เธอชอบค่อนแคะสักหน่อย”

“เปล่า ไม่ใช่นะ ฉันแค่คิดว่าเธอจะไปทางสายงานหนังสือเต็มตัว เพราะเริ่มต้นได้ดีแล้ว งานแปลก็มีพิมพ์ออกมาเป็นเล่มแล้วด้วย กลายเป็นนักแปลมีผลงานการันตี เลยเข้าใจว่าจะเดินในเส้นทางนี้แล้วซะอีก...คิดไม่ถึงว่าจะทำงานขายของ”

“งานหนังสือฉันก็ไม่ทิ้งหรอก ทำกลางคืนได้ ส่วนงานขายของก็ทำกลางวัน มันสะดวกดีด้วย เพราะห้างอยู่ไม่ไกลจากบ้าน ขี่รถไม่กี่นาทีก็ถึง”

“บ้านเหรอ ตกลงว่าเธอจะอยู่บ้านหลังนั้นต่อไปใช่ไหม”

“บ้านหลังนั้นก็เคยเป็นบ้านของฉัน ทำไม...ฉันจะอยู่ไม่ได้”

“อือ...” บัวบูชาเออออตาม หากเห็นสีหน้าและแววตาที่อ่านไม่ออกของเพื่อน แม้จะคาใจในความคิด แต่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่อยากพูดถึงนัก จึงรีบกลับมาคุยเรื่องเดิม “เป็นพนักงานในร้านขายเสื้อผ้านั่นก็ดี เพราะนักท่องเที่ยวเยอะมาก เธอพูดภาษาอังกฤษและภาษาจีนกลางได้คล่องยังกับเจ้าของภาษา เจ้าของร้านคงชอบ เธอก็จะได้ฝึกฝนด้วย”

“คงอย่างนั้น เมื่อกี้คุณแหววก็บอกว่าพอใจที่ฉันพูดสองภาษานี้ได้ ที่ร้านกำลังต้องการอยู่พอดี คงเพราะเหตุนี้ฉันถึงได้งานทำ”

“คุณแหววงั้นหรือ”

“ใช่ คุณแหววเป็นเจ้าของร้าน เธอสวยมากเลยนะ ฉันชอบเธอจัง” ดวงตาของณิชาเป็นประกาย เมื่อนึกถึงหญิงสาวสวย ท่าทางมั่นใจและประเปรียวคนนั้น

“อ๋อ ได้ข่าวว่าเจ้าของร้านเป็นคนจากกรุงเทพฯ แต่ไปเรียนเมืองนอกหลายปี คงเก๋ไก๋ ทันสมัยน่าดูนะ แถมเป็นภรรยาของคุณรัชภาคย์ เจ้าของเหมืองทองคำด้วย คงรวยมากทีเดียว”

“ใครนะ เธอว่าคุณแหววเป็นภรรยาของใคร”

“อ้าว ก็คุณรัชภาคย์หรือคุณเล็ก แฝดคนน้องของคุณใหญ่ คนดังแห่งเมืองเชียงราชไง อย่าบอกนะว่าไม่รู้จัก”

“จริงเหรอ” ณิชาครางถาม หล่อนทรุดนั่งบนเก้าอี้คล้ายหมดแรง ดวงตาทอความสับสน ก่อนจะถูกความหม่นหมองฉาบทับ...อย่างที่คนคอยสังเกตอยู่บอกได้ทันทีว่าไม่อยากเห็นเพื่อนในอารมณ์นี้เลยจริงๆ

“มีอะไรหรือนิด เธอมีอะไรกับพวกเขาหรือ”

“เปล่า ไม่มี อย่างฉันจะไปเกี่ยวข้องอะไรกับคนระดับนั้น”

“แต่...เอ๊ะ! ฉันจำได้ว่าเธอรู้จักกับคุณลดา ภรรยาของคุณใหญ่ใช่ไหม เธอเคยเล่าให้ฉันฟังว่าพวกเขาเป็นเพื่อนนักธุรกิจกับคุณพ่อเธอ ตอนคุณพ่อรักษาตัว พวกเขาก็ไปเยี่ยมบ่อยๆ แถมยังช่วยเหลือเรื่องค่ารักษาพยาบาลด้วย”

“อืม...คุณใหญ่เป็นเจ้าของโรงพยาบาล เขาให้การช่วยเหลือดี แต่ฉันก็ไม่ถึงขั้นสนิทสนมกับพวกเขา ยิ่งเป็นตอนนี้ฉันยิ่งไม่กล้าคุ้นเคยใหญ่เลย เขากับเราคนละระดับกันแล้ว”

“แล้ว...ไม่มีผลกับงานร้านคุณแหววใช่ไหม”

“ไม่มี” ณิชาบอกทันควัน จนคนฟังรู้สึกได้ว่าช่างรีบตอบเหมือนกำลังกลัวบางอย่าง แต่ไม่ได้ทักถาม “คุณแหววให้เริ่มทำงานตั้งแต่พรุ่งนี้ เพราะร้านขาดคน ฉันก็ตกลงไปตามนั้น”

ณิชาสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ไม่ว่าจะอย่างไร เธอควรเดินหน้าต่อไป โลกใบนี้ไม่มีพื้นที่สำหรับคนอ่อนแอหรอกนะ ถ้าเธอมัวแต่คิดหนี หวั่นกลัวต่อสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น หรือคิดน้อยใจในโชคชะตาและผู้คนที่เพียงผ่านเข้ามาในชีวิต แล้วเมื่อไหร่จะยืนได้สักที

“ฉันต้องกลับแล้ว สัญญากับป้าสดใสไว้ว่าจะกลับไปกินมื้อเที่ยง แกเตรียมขนมจีนแกงไตปลาไว้ให้ แล้วบ่ายๆ จะให้พ้อหวานจัดปิ่นโตมาให้บัวชุดหนึ่งนะ เก็บไว้กิน ฉันจำได้ว่าเธอก็ชอบขนมจีนแกงไตปลาเหมือนกัน”

ณิชาเปิดรอยยิ้มกว้าง แม้ดวงตาจะยังไม่อาจยิ้มตามก็เถอะ

“ได้ ขอบใจ ฉันจะรอ”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel