บทที่ 6
เว่ยเสวี่ยจ้องมองหยกในมือด้วยความสงสัย เหตุใดนางจึงจำเป็นต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ได้หยกชิ้นนี้คืน
“ท่านแม่ทัพ หยกนี่สำคัญอย่างไรหรือขอรับ” จางจื่อฉางมองตามด้วยความสงสัย
“ข้าก็ไม่รู้ อาฉาง เจ้าลองดูลวดลายนี่ คุ้นตาที่ใดบ้างหรือไม่”
“ลวดลายนี่..ข้าว่าข้าเคยเห็น” จางจื่อฉางหยิบมันขึ้นมาตรวจสอบดูอย่างละเอียด
“ลายดอกฝูหรง มีความเกี่ยวข้องกับคุณหนูแซ่ฟางอย่างไร” จางจื่อฉางส่งหยกคืนให้แก่เว่ยเสวี่ย
“ดอกฝูหรงอย่างนั้นหรือ..” เว่ยเสวี่ยทอดสายตาออกไปภายนอกระเบียง หมู่เมฆฝนที่ตั้งเค้าบดบังบรรพตที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าจนมืดมิดเฉกเช่นคำถามที่ไร้คำตอบของเขาในตอนนี้
เว่ยเสวี่ยให้จางจื่อฉางมารอนางที่ด้านนอกเรือนตั้งแต่เช้าสร้างความไม่พอใจให้กับฟางอี้หรานสักเท่าใดนัก นางตกลงที่จะยอมเป็นสาวใช้ของเขามิใช่นักโทษ การที่ส่งให้คนมาคอยประกบนางนั้นออกจะมากเกินไปสักหน่อย
จางจื่อฉางทำความเคารพนางที่ออกมาด้านนอกเรือน ชายหนุ่มหน้าตาสะอาดสะอ้านดวงตากลมโตสดใสผิดกับเมื่อวานที่ได้เห็น เมื่อเทียบกับเครื่องแต่งกายชุดเกราะที่เขาสวมอยู่ช่างดูขัดกันอย่างน่าประหลาด
“ท่านแม่ทัพให้มาเรียนคุณหนูว่าท่านรออยู่กับท่านฟางขอรับ”
“ทราบแล้ว ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” ถึงแม้จะไม่เข้าใจว่าเขาคิดการสิ่งใดแต่นางก็ทำข้อตกลงกับเขาไปแล้วดังนั้นจึงไม่ควรอิดออดกับเรื่องเล็กน้อยพวกนี้
ฟางอี้หรานพบว่าบิดาของตนก็อยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นเดียวกับนาง เว่ยเสวี่ยที่นั่งจิบชาผ่อนคลายอย่างสบายในขณะที่บิดาของนางกลับมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวล บุรุษชั่วช้าผู้นี้คงใช้วิธีบางอย่างบีบบังคับบิดาของนางอย่างแน่นอน
“ท่านพ่อ ท่านแม่ทัพ” นางยังคงนอบน้อมเช่นดังเดิม
“อี้หราน พ่อได้ยินจากท่านแม่ทัพว่าเจ้าขอไปช่วยงานท่านแม่ทัพหรือ” น้ำเสียงปนความห่วงใย มีหรือผู้เป็นบิดาจะไม่รู้ว่าบุตรีของตนไม่ชอบเขาสักเท่าใดนัก
“เอ่อ เรื่องนั้น..” ฟางอี้หรานมองหน้าเว่ยเสวี่ยที่ปรายตามองนางเพียงเล็กน้อย “จริงเจ้าค่ะท่านพ่อ ลูกเห็นว่าท่านแม่ทัพมีความรอบรู้อีกทั้งมีน้ำใจกว้างขวางจึงขอให้ท่านช่วยสอนให้”
“อ้อ แต่ถึงอย่างไรท่านแม่ทัพก็งานล้นมือ พ่อว่าเจ้าอย่าไปกวนท่านแม่ทัพเลยดีกว่า”
“ท่านฟางไม่ต้องเกรงใจ ข้ายินดีที่จะสอนนาง”
“แต่..” ฟางเซี่ยพยายามจะหาข้ออ้างเพื่อช่วยลูกสาวของตนออกจากเรื่องนี้ทว่าถูกเขาขัดจังหวะเสียก่อน
“ระยะนี้มีเรื่องราวมากมาย ข้าเลยถือวิสาสะให้จางจื่อฉางคอยคุ้มกันนางก่อน หวังว่าท่านฟางจะไม่ว่าอะไร”
“ไม่เลย นับว่าดียิ่งนัก ระยะนี้โจรชุกชุม อีกอย่างนางก็ซุกซนหากมีคนช่วยดูแลข้าย่อมยินดี”
“อ้อ ถ้าเช่นนั้นก็เป็นไปตามนี้ ข้าขอตัวก่อน” เว่ยเสวี่ยพูดจบก็ลุกขึ้นคำนับบิดาของนาง
“ไปพบข้าที่เรือนช่วงบ่าย” เขากระซิบขณะเดินผ่านนางไป
เมื่อเห็นว่าเขาไปแล้ว ฟางเซี่ยผู้เป็นบิดาจึงรีบเข้ามากอดบุตรสาว
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น เขาบังคับอะไรเจ้าหรือไม่” น้ำเสียงห่วงใยระคนความสงสัยของบิดาทำให้ฟางอี้หรานเองก็ไม่กล้าตอบความจริง
“ไม่เจ้าค่ะ ข้าเป็นคนขอให้เขาสอนเรื่องต่าง ๆ ให้ข้าเอง”
“อี้หราน เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าสถานะของเจ้าแตกต่างจากผู้อื่น”
“ข้าทราบดี ท่านพ่อได้โปรดวางใจ ระหว่างข้ากับเขาไม่มีเรื่องอื่นใดอย่างแน่นอน”
“เช่นนั้นก็ระวังตัวด้วย เรื่องนี้ข้าจะคุยกับแม่ของเจ้าเอง”
“ขอบคุณท่านพ่อ” ฟางอี้หรานกอดบิดาไว้แน่น นางรู้ว่าครอบครัวเป็นห่วงนางมากกว่าสิ่งใด
สิ่งที่เว่ยเสวี่ยทำก็ไม่ได้หวังผลร้ายแก่นาง เขาเลือกที่จะทำให้ครอบครัวนางสบายใจโดยสร้างฐานะอาจารย์กับลูกศิษย์ปลอม ๆ ขึ้นมาแทน เรื่องนี้ที่จริงนางต้องขอบคุณเขา
บ่ายคล้อยหลังจากกินอาหารมื้อกลางวันเสร็จ ฟางอี้หรานมุ่งตรงไปหาเว่ยเสวี่ยที่เรือน เขานั่งรอนางอยู่ที่ด้านใน กาต้มน้ำชาส่งกลิ่นหอมมาพร้อมกับควันที่พวยพุ่ง
“นั่งก่อนสิ” เว่ยเสวี่ยเชื้อเชิญนางให้นั่งร่วมโต๊ะกับเขา
“ท่านแม่ทัพให้ข้ามาหามีเรื่องอันใดหรือ”
“ข้าอยากรู้แผนที่รอบภูเขา เจ้าวาดออกมาให้ข้าได้หรือไม่”
“เท่านี้เองหรือ ได้สิ หากเป็นภายในเขาข้าย่อมรู้ดีกว่าผู้อื่น อีกสองวันข้าจะนำมามอบให้ท่าน”
“วาดเสียที่นี่ หากข้าสงสัยจะได้ถามเจ้าทันที”
ฟางอี้หรานพยักหน้า นางรับถ้วยชามาดื่ม นั่งนิ่งสักครู่ก่อนเดินไปที่โต๊ะ ผ้าใบว่างเปล่าผืนใหญ่ถูกเตรียมไว้ให้นาง
“ข้าจะวาดให้และบอกสิ่งที่ท่านต้องการรู้ แต่ท่านต้องรับปากว่าจะไม่ทำร้ายผู้คนในหุบเขา”
“หากพวกเขาไม่ได้ทำความผิด” เว่ยเสวี่ยตอบนางเพียงเท่านี้ เขาเอนกายในอิริยาบถผ่อนคลาย ก่อนจ้องมองนางที่เริ่มวาดลงบนผืนผ้าอย่างตั้งใจ
สตรีตรงหน้าแม้ภายนอกจะดูอ่อนโยนแต่นางกลับเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวที่แสดงออกมาทางแววตา แม้หน้าที่ของเขาจะมีเพียงสืบหาความลับของสกุลฟางแต่เขากลับอยากค้นลึกเข้าไปในจิตใจของนาง
ผ่านไปราวชั่วยามเศษเขาจึงลุกจากที่นั่งไปหานางที่ยังคงพิถีพิถันกันการวาดรูปอยู่
เว่ยเสวี่ยชะงักกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า ฟางอี้หรานเพิ่งจะวาดได้เพียงแค่รูปหมู่บ้านใต้เมฆา นางใช้เวลาในการวาดหมู่บ้านเล็ก ๆ เนิ่นนานถึงเพียงนี้ แม้จะเป็นความละเอียดถึงขั้นมีผู้คนและรายละเอียดของแต่ละบ้านอย่างชัดเจน แต่นี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ
เขาเองก็ไม่คิดว่านางจะทำงานที่ละเอียดมากขนาดนี้ แต่นั่นก็เป็นข้อดีที่ทำให้นางรั้งอยู่ที่นี่ยาวนานขึ้น
“เจ้าจำรายละเอียดได้ดีขนาดนี้เชียวหรือ”
“หากเป็นสิ่งที่ข้าสนใจหรือคุ้นเคย ข้าย่อมจำมันได้อย่างดี”
“อืม เช่นนั้นเจ้าจำอะไรเกี่ยวกับตัวข้าได้บ้างหรือ”
ฟางอี้หรานแค่นหัวเราะในลำคอ “แน่นอนว่าข้าย่อมจำได้ดีทีเดียว”
เว่ยเสวี่ยรู้ว่านางกำลังประชดแต่กลับยิ้มอย่างพอใจและปล่อยให้นางวาดต่อไปโดยไม่รบกวน รอให้นางวาดเสร็จเขาจะให้คนคัดมันออกมาเป็นแผนที่ผืนเล็กอีกครั้งหนึ่ง
เสียงพิณกังวานใสดังขึ้น ฟางอี้หรานหันมาดูก็พบว่าเว่ยเสวี่ยกำลังบรรเลงพิณอยู่ไม่ไกลจากนาง นางหยุดวาดภาพแล้วจึงหันมาจ้องเขาที่บรรเลงเพลงแทน หากพิศดูดี ๆ แม่ทัพเว่ยก็นับเป็นบุรุษรูปงามผู้หนึ่ง ทว่านิสัยเย็นชาโหดเหี้ยมนั้นขัดกับตัวตนภายนอกยิ่งนัก
แม้เขาจะรู้ว่านางจ้องอยู่ก็ไม่หลบสายตาแต่อย่างใด เขาจ้องมองนางโดยปราศจากคำพูด
ฟางอี้หรานจ้องเขากลับ แต่ครั้งนี้แววตาของเขาแปลกไป ดูอ่อนโยนและน่าค้นหาอย่างประหลาด เพลงเร่งจังหวะขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับจังหวะหัวใจของนางที่เต้นแรงขึ้น
ฟางอี้หรานใบหน้าเริ่มแดงขึ้นไปถึงหู นี่เขากำลังเล่นกลอะไรกับนาง เหตุใดนางจึงรู้สึกแปลกประหลาดเช่นนี้
ดูเหมือนเขาจะสังเกตเห็นอาการของนางจึงหยุดเล่นเพลงเช่นกัน ฟางอี้หรานรีบเบือนหน้าหนีก่อนที่จะขอตัวกลับ
“ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบายขอตัวไปพักก่อน พรุ่งนี้ข้าจะมาวาดต่อให้ท่านจนเสร็จ”เจ้าของเสียงพูดพลางถอยหลังไปทีละนิดจนเกือบพ้นประตู
“อืม”
เว่ยเสวี่ยมองตามรางบอบบางที่รีบเดินออกไป
“ท่านแม่ทัพ ท่านแกล้งอะไรนางหรือขอรับ ถึงได้หน้าแดงเดินหนีไปเช่นนี้” หลิวจวินที่เดินสวนเข้ามาด้านในเห็นอาการของฟางอี้หรานก็พอจะเดาได้ว่านางรีบหนีแม่ทัพของตนไป
“เจ้าก็สังเกตเห็นรึ” เว่ยเสวี่ยเผยยิ้มออกมาราวกับแสงตะวันที่สาดส่องทะลุผ่านหมู่เมฆ
หลิวจวินตกตะลึงกับสิ่งที่เขาได้เห็น ราวกับเจอพญามัจจุราช
“เจ้าเป็นอะไรอาจวิน” เว่ยเสวี่ยหุบยิ้มลงในทันที
“ข้าน้อยเคยเห็นรอยยิ้มของท่านแม่ทัพเช่นนี้เพียงแค่ตอนปลิดชีวิตศัตรู หรือว่าท่าน..”
“เจ้าดูท่าจะว่างเกินไป ข้าเคยทำกับสตรีไม่มีทางสู้เช่นนั้นหรือ”
“ข้าน้อยผิดไปแล้วท่านแม่ทัพ” หลิวจวินโอดครวญเพราะสำนึกว่าตนไม่ควรพูดออกไป
“ไปรับโทษโบยยี่สิบที”
“น้อมรับบัญชาขอรับ” หลิวจวินหน้าสลดเดินคอตกออกไปทันที เขาไม่น่าปากพล่อยพูดอะไรเช่นนี้ออกไปเลย
รอยยิ้มรึ ข้ามีรอยยิ้มให้แก่นางอย่างนั้นรึ เว่ยเสวี่ยรู้สึกว่ากำแพงน้ำแข็งภายในจิตใจเขาค่อย ๆ ถูกนางละลายลงมาเสียแล้ว ความรู้สึกเช่นนี้หากปล่อยไว้เขาอาจเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำเสียท่าให้กับนางและสกุลฟางอย่างแน่นอน