บทที่ 7
ฟางอี้หรานเหม่อมองพระจันทร์ที่ส่องสว่างกลางนภา คืนนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่งจนเห็นหมู่ดาว
ภาพของเว่ยเสวี่ยยังคงติดอยู่ในใจของนางแม้พยายามสลัดออกมากเท่าใด แววตาอ่อนโยนคู่นั้นทำไมนางไม่เคยเห็นมาก่อน ที่ผ่านมาเมื่อมองเขานั้นมีเพียงแต่ความเย็นชา คิ้วเรียวยาวรับกับดวงตา จมูกโด่งรับกับรูปหน้า ไม่สิ ในใจของนางมีเพียงไป๋จินเฉิงเพียงเท่านั้น บุรุษอื่นใดย่อมมิอาจทะลายความรู้สึกที่นางมีให้แก่เขาได้ สำหรับเว่ยเสวี่ยย่อมต้องเป็นความเกลียดแค้นชิงชังจึงทำให้จดจำใบหน้าเขาได้ชัดเจน
ฟางอี้หรานใช้มือทั้งสองตบหน้าตนเองเบา ๆ เจ้าต้องเกลียด เขามากจนฝังใจแน่ ๆ ฟางอี้หราน ในใจเจ้ามีเพียงพี่จินเฉิงเท่านั้น
เสียงนกขับขานหยอกล้อกันในยามเช้า วันนี้ฟางอี้หรานตื่นเร็วกว่าปกติ แต่งเนื้อแต่งตัวเสร็จนางก็รีบออกไปที่เรือนปักษามาศของเว่ยเสวี่ยโดยมีซูเจียวและจางจื่อฉางติดตามมาด้วย สะพานไม้ทอดยาวระหว่างเรือนของนางไปยังเรือนของเว่ยเสวี่ย ปรากฏเงาร่างของสตรีที่นางคุ้นตา ฟางอี้หรานหยุดฝีเท้าลงเมื่อเห็นว่าฟางฮูหยินนั่งอยู่ที่ม้าหินในลานกว้างนางจึงหมุนตัวกลับแล้วเดินหลบไปอีกทางหนึ่งแต่ไม่อาจพ้นสายตาเหยี่ยวของมารดา
“ฟางอี้หราน!” น้ำเสียงของมารดาทำให้ฟางอี้หรานสะดุ้งด้วยความกลัวจนต้องรีบเดินกลับมา
“สารภาพมา เจ้าไปก่อเรื่องอันใดไว้”
“ข้าเปล่า..ท่านแม่” ฟางอี้หรานรู้ดีว่านางไม่เคยซ่อนความลับไว้ได้เมื่ออยู่ต่อหน้ามารดา
“เจ้าตามข้ามา” ฟางฮูหยินสบตากับจางจื่อฉาง “ท่านก็เชิญมาด้วยกันเถิด
สิ้นเสียงมารดาฟางอี้หรานก็รู้ได้ทันทีว่าจะต้องไปที่ใด นางเดินคอตกติดตามมารดาไป
หอสูงที่ตั้งอยู่ด้านในสุดของคฤหาสน์ ด้านหลังหอมีลำธารน้ำตกเล็ก ๆ เสียงน้ำกระทบหินดังซ่าตลอดเวลา ที่แห่งนี้แทบไม่มีผู้ใดย่างกรายเข้ามา คนภายในต่างรู้ดีว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ หากไม่ได้มีพิธีกรรมหรือถูกลงโทษจะไม่มีใครเข้ามาใกล้เด็ดขาด
จางจื่อฉางที่ติดตามมาด้วยสอดส่ายสายตาสำรวจสถานที่อย่างสนใจ
“ที่นี่คือหอหมื่นดารา สถานที่แห่งนี้มีเพียงแค่คนในสกุลจางและคนที่ได้รับอนุญาตจึงจะเข้ามาได้เท่านั้นเพราะที่นี่คือที่บำเพ็ญของเทพธิดา ข้าเห็นว่าท่านคอยดูแลนางจึงอนุญาตให้เข้ามาได้”
“ขอบคุณฮูหยิน” คำพูดสั้น ๆ แต่เต็มไปด้วยความรู้สึกจากใจ
ฟางฮูหยินเลือกที่จะให้เขาเข้ามาเพราะนางรู้ว่าแม่ทัพเว่ย ต้องการสืบเรื่องราวสกุลฟาง ยิ่งปกปิดมากเท่าใด ความสงสัยใคร่รู้ยิ่งมากขึ้นทวีคูณ
บันไดวนพานำไปสู่ห้องโถงชั้นบนสุดของหอ ภาพวาดสตรีงดงามหลายรูปถูกแขวนไว้ ใกล้ ๆ กันมีป้ายบูชาสลักชื่อของสตรี จางจื่อฉางพอจะเดาได้ว่านี่คือบรรพบุรุษสกุลฟางที่สืบเชื้อสายมาจากเทพธิดาลู่เหวิน
ฟางอี้หรานรู้ตัวว่าต้องทำอะไร นางคุกเข่าลงต่อหน้าแท่นบูชาก่อนสวดมนต์เบา ๆ ด้วยถ้อยคำที่ไม่คุ้นหู จางจื่อฉางพยายามเงี่ยหูฟังแต่ไม่เข้าใจแม้สักนิด
กำยานที่ถูกจุดในห้องส่งกลิ่นหอมประหลาด จางจื่อฉางรู้สึกมึนงงกับภาพตรงหน้า
“แม่ทัพจาง!” ซูเจียวพยายามเขย่าตัวของจางจื่อฉางที่นอนอยู่ที่พื้น จนเขาสะดุ้งตื่นขึ้นมา
“ข้า..เกิดอะไรขึ้น” มือของจางจื่อฉางกุมกระบี่ที่พกติดกายไว้แน่น
“ท่านคงเหนื่อยมากจึงหลับไปน่ะ” ฟางฮูหยินนั่งมองเขาอยู่ที่เก้าอี้ไม่ไกลออกไปโดยมีฟางอี้หรานนั่งอยู่ข้าง ๆ
จางจื่อฉางรีบลุกขึ้น “ข้าเสียมารยาทแล้ว”
“พวกเราอยู่ที่นี่นานเกินไปแล้ว ถึงเวลาต้องกลับกันสักที” ฟางฮูหยินลุกจากเก้าอี้ก่อนเดินนำออกมาจากด้านนอก จางจื่อฉางรั้งอยู่ท้ายสุด เขาหันไปมองภายในห้องอีกครั้งแล้วจึงเดินออกมา
วันนี้ฟางอี้หรานจึงไม่ได้ไปหาเว่ยเสวี่ยตามที่บอกไว้ มีเพียงแต่จางจื่อฉางที่กลับไปเพียงลำพัง
“เจ้าหลงกลพวกนางเสียแล้ว” เว่ยเสวี่ยยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยหลังจากได้ฟังคนสนิทของเขาบอกเล่าเรื่องราว
“ในกำยานนั่นคงมีส่วนผสมบางอย่าง”
“ผิดแล้ว ไม่ใช่กำยาน เจ้าลองนึกดี ๆ ว่ามีเหตุการณ์อย่างอื่นอีกหรือไม่”
จางจื่อฉางพยายามนึกว่าเขาเจออะไรบ้างที่หอหมื่นดารา เขาจำได้ว่าเขาแทบไม่ได้ห่างจากฟางอี้หรานสักนิด
“อะไรอยู่บนเสื้อเจ้า” เว่ยเสวี่ยปาดผงแวววาวที่ติดบนเสื้อของจางจื่อฉางออกมา
“ผงนี่...” จางจื่อฉางพลันนึกออกว่าเขาสังเกตเห็นฝุ่นที่ตกลงในตอนที่ฟางฮูหยินขอให้เขาปิดประตูเมื่อเข้าไปด้านใน
“หากเดาไม่ผิด เจ้าคงเป็นคนเดียวที่ถูกผงนี่และมันคงออกฤทธิ์เมื่อจุดกำยาน พวกนางคงไม่อยากให้เจ้าเห็นพิธีกรรมบางอย่างจึงต้องใช้วิธีนี้”
“ท่านแม่ทัพ ข้าน้อยทำงานพลาด โปรดลงโทษข้า”
“ช่างเถิด ฟางฮูหยินนางแค่จะเตือนข้าผ่านเจ้าก็เท่านั้น วันนี้เจ้าไปพักก่อนเถิด”
เว่ยเสวี่ยโบกมือให้สัญญาณเพื่อให้จางจื่อฉางกลับไปพัก
ทางด้านฟางอี้หรานเมื่อกลับมาที่เรือนก็เอาแต่เหม่อลอยเพราะคำพูดของมารดา นางเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นและรู้ดีว่ามารดาทำไปเพียงเพราะต้องการปกป้องนางและสกุลฟาง
“หรานเอ๋อร์ เจ้าก็รู้ว่าชีวิตนี้ของเจ้าไม่อาจทำตามใจได้เฉกเช่นผู้อื่น การที่เจ้าเอาตัวเข้าไปพัวพันกับแม่ทัพเว่ยเพียงเพราะหยกชิ้นเดียวแม่ว่าเป็นเรื่องไม่สมควรยิ่งนัก”
“แต่ว่าหยกนั่น..” ฟางอี้หรานไม่อาจเอ่ยเรื่องหยกได้เต็มปากสักเท่าใดนัก
“ฟางอี้หราน ชะตาเจ้าถูกกำหนดมาแล้ว และตอนนี้พลังนั่นก็เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ใช่หรือไม่”
ฟางอี้หรานพยักหน้า นางรู้ดีว่าไม่อาจปกปิดมารดาได้
“ข้าจะไม่ห้ามความรู้สึกของเจ้า แต่เจ้าต้องรู้ว่าสักวันสิ่งที่เจ้าหวังอาจมิได้สมใจ”
ฟางฮูหยินแม้ภายนอกจะตั้งท่าดุนางสักเท่าใด ข้างในลึก ๆ กลับเป็นห่วงและสงสารลูกสาวคนเล็กที่สุด การที่ฟางอี้หรานต้องเสียสละความสุขส่วนตัวนับเป็นเรื่องเจ็บปวดของผู้เป็นมารดายิ่งนัก
เช้าวันต่อมา
ฟางอี้หรานแต่งตัวเตรียมที่จะไปหาเว่ยเสวี่ย แต่ทว่าเขากลับมารอนางอยู่ที่ด้านนอกก่อนแล้ว
“ท่านแม่ทัพ..”
“ได้ยินว่าเจ้าโดนฟางฮูหยินลงโทษ ข้าจึงตั้งใจมาเยี่ยมเจ้า”
ฟางอี้หรานยิ้มแห้ง เขาตั้งใจมาเยี่ยมหรือมาเยาะเย้ยข้ากันแน่ จางจื่อฉางคงเล่าทุกเรื่องให้เจ้านายฟังจนเกิดความสงสัยถึงได้มาด้วยตนเอง
“เช่นนั้น ท่านก็ได้พบแล้ว”
“อืม วันนี้เจ้าก็วาดเสียที่นี่แล้วกัน ข้าให้คนเตรียมของมาให้”
เว่ยเสวี่ยสงสัญญาณเรียกหลิวจวินก็รีบนำผืนผ้าที่นางวาดค้างไว้ออกมาให้ทันที
“วาดที่นี่หรือ..” ฟางอี้หรานรู้สึกอึกอักเพราะไม่อยากเชื้อเชิญให้เขาเข้าไปด้านในห้องของนาง
“เจ้าคิดมากไปแล้วล่ะ เราจะไปวาดที่นั่น” เว่ยเสวี่ยชี้ไปยังศาลาที่อยู่ไม่ไกลออกไป เป็นที่ที่นางมักจะไปนั่งพักผ่อนอยู่เป็นประจำ
“เช่นนั้นก็รีบไปกันเถิด” ฟางอี้หรานรู้สึกกระดากอายที่คิดไปไกล คำพูดของเขาทำให้นางรู้สึกละอายใจเป็นอย่างมาก ตั้งแต่ที่เว่ยเสวี่ยตกลงกับนางเรื่องหยก เขาก็ไม่เคยมีท่าทีหยาบคายหรือไม่ให้เกียรตินาง เพียงแต่นางอดคิดอคติกับเขาไม่ได้เสียเอง
อาจเพราะบรรยากาศแจ่มใส ฟางอี้หรานจึงวาดภาพอย่างสบายใจ เว่ยเสวี่ยเองก็อยู่อิริยาบถสบาย ๆ
คงมีเพียงจางจื่อฉางที่ไม่แสดงสีหน้าอาการใดบนใบหน้า
ฟางอี้หรานวาดส่วนที่เหลือเพียงไม่นาน เริ่มชวนเว่ยเสวี่ยพูดคุย
“ท่านแม่ทัพ หลังจากท่านได้แผนที่นี้แล้ว ท่านคิดจะทำสิ่งใดต่อหรือ”
เขามองหน้านาง นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “ตอบไม่ได้”
“เช่นนั้นข้าจะเปลี่ยนคำถาม ท่านจะทำอะไรต่อหลังจากเสร็จเรื่องที่นี่”
“ยังไม่รู้”
คำตอบของเว่ยเสวี่ยสร้างความหงุดหงิดให้ฟางอี้หรานเป็นอย่างมากแต่ก็ต้องแสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจกับคำตอบของเขา ก่อนก้มหน้าก้มตาวาดรูปต่อไป
ล่วงเลยจนถึงเวลาเที่ยงสาวใช้จึงนำอาหารมาส่งให้แก่พวกเขา เพราะฟางฮูหยินเห็นว่าเว่ยเสวี่ยและฟางอี้หรานออกมาอยู่ที่สวนจึงสั่งให้คนเตรียมไว้ให้
เว่ยเสวี่ยสั่งให้ฟางอี้หรานหยุดวาดเพื่อมานั่งทานด้วยกัน ดูเหมือนเขาจะไม่หวาดกลัวต่อสิ่งใด มีเพียงจางจื่อฉางที่ดูวิตกกังวลและพยายามจะสำรวจพิษในอาหาร
“อาฉาง เจ้าอย่าเสียมารยาท” เว่ยเสวี่ยปรามคนของเขาไว้
“ขออภัย ข้าเพียงแต่เป็นห่วงความปลอดภัยของท่านแม่ทัพ”
“ฟางฮูหยินหวังดีให้คนทำอาหารมากมายให้เราขนาดนี้ ย่อมแสดงถึงความมีน้ำใจของนาง เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก หากนางอยากคิดจะสังหารพวกเรา คงไม่ปล่อยให้อยู่ในจวนมาเนิ่นนานหลายวันเช่นนี้”
“ขออภัยขอรับ”
พูดจบเว่ยเสวี่ยก็คีบอาหารใส่ชามของฟางอี้หราน
“ข้าเดาว่าทั้งหมดนี่คงเป็นของโปรดของเจ้า ดังนั้นเจ้าทานให้เยอะ ๆ หน่อย”
ฟางอี้หรานคีบอาหารในจานเข้าปากโดยไม่ได้โต้ตอบอะไร จริงอย่างที่เขาคิด อาหารทุกอย่างล้วนเป็นของโปรดของนาง มารดาคงรู้สึกอยากปลอบใจนางหลังจากที่ว่ากล่าวนางไปเมื่อวาน เหตุการณ์เช่นนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สักเท่าใดนักสำหรับนาง
เมื่อเห็นว่าฟางอี้หรานคีบอาหารเข้าปากอย่างสบายใจ เว่ยเสวี่ยจึงคีบอาหารเข้าปากเช่นกัน
ฟางฮูหยินไม่ได้เตรียมอาหารไว้ให้แค่ทั้งสองเท่านั้น ส่วนของจางจื้อฉางและซูเจียวก็ถูกเตรียมไว้ให้เช่นกันและเป็นอาหารแบบเดียวกันอีกด้วย
แม้จางจื่อฉางจะระแวงแต่เขาก็ฟังแม่ทัพคำสั่งมากกว่าอื่นใด เขาเชื่อว่าแม่ทัพย่อมอ่านหมากกระดานนี้ขาดมากกว่าเขาอย่างแน่นอน