
บทย่อ
เกิดเป็นสตรีสกุลฟางมิอาจเลือกชะตาได้ดังใจ ฟางอี้หรานสตรีผู้สืบทอดสายเลือดแห่งเทพธิดา กำเนิดพร้อมพลังเนตรสวรรค์เปลี่ยนแปลงชะตาผู้คน แท้จริงแล้วสิ่งนี้คือพรจากฟ้าหรือสาปสวรรค์ ใครจริงใครลวงหลอกล้วนแล้วแต่มิอาจคาดเดา ถึงกระนั้นนางก็ยินยอมที่จะเผชิญหน้ากับมัน
บทที่ 1
บุปผาร่วงหล่นคราใดพลันให้หวนนึกถึงดวงหน้าที่จากไปไกลแสนไกล
บทกวีถูกเอ่ยขานด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายเพราะไม่เข้าใจลึกซึ้งในความรักความสัมพันธ์
ใบเฟิง เปลี่ยนเป็นสีแดงก่อนร่วงลงตัดกับพื้นดินเขียวชอุ่มเบื้องล่างต้อนรับสารทฤดูที่มาพร้อมกับอากาศหนาวเย็น
ฟางอี้หรานสวมอาภรณ์หนากว่าปกติเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย ฤดูใบไม้ร่วงปีนี้มาเร็วกว่าที่คาดคิดแม้จะอยู่ด้านในห้องแต่ความเย็นก็ลอดผ่านแผ่นไม้เข้ามาได้นิดหน่อย อาคารไม้เก่าแก่อายุหลายร้อยปีหลังนี้ตั้งอยู่กลางหุบเขาลึกแม้จะกันลมหนาวที่พัดมาได้อยู่บ้างแต่ร่างกายบอบบางของนางก็ไม่อาจจะทนทานได้ไหว ดวงตากลมโตสีอ่อนส่องประกายราวกับสายน้ำไหลจับจ้องอยู่ที่คัมภีร์ไม้ไผ่โบราณตรงหน้า ถอนหายใจก่อนแนบหน้าเล็กลงบนโต๊ะอักษร
“บทประพันธ์อะไรก็ไม่รู้ ไม่เห็นเข้าใจสักนิด” นางถูกบังคับให้อ่านและทำความเข้าใจบทกวีและโคลงกลอนมาตั้งแต่สามขวบ ด้วยถ้อยคำที่ใช้ล้วนแต่เป็นเรื่องความรักของหญิงชายถึงแม้จะแปลความหมายได้แต่ก็ยากที่จะเข้าใจทั้งหมด อีกอย่างนางก็เป็นเพียงเด็กสาวอายุแค่สิบสามปีที่ไม่เคยได้ออกไปพบเจอกับโลกภายนอกหุบเขาต่อให้ฉลาดเพียงใดแต่ก็ไร้ซึ่งประสบการณ์
ถือกำเนิดในสกุลฟางย่อมไม่มีสิทธิ์ที่จะใช้ชีวิตเฉกเช่นสตรีทั่วไป ชะตานางถูกกำหนดตั้งแต่ลืมตาดูโลก การสืบทอดพลังเนตรสวรรค์มีเพียงแต่สตรีสกุลฟางเท่านั้นที่จะรับสืบทอดได้ เนตรสวรรค์ที่ผู้ได้ครอบครองย่อมมีอำนาจเหนือใต้หล้า พลังวิเศษของบรรพกาลแท้จริงเป็นพรจากฟ้าหรือคำสาปของตระกูล
และที่น่าประหลาดคือคนในสกุลฟางก่อนหน้านี้ล้วนแล้วแต่ให้กำเนิดบุตรชายทั้งสิ้น เนตรสวรรค์ไร้ผู้สืบทอดมายาวนานหลายรุ่นนับตั้งแต่ท่านทวดของนางซึ่งเป็นผู้สืบทอดคนสุดท้าย เมื่อไม่มีพลังวิเศษสกุลฟางก็ไม่ต่างอะไรจากชาวบ้านธรรมดา ผู้คนที่เคยนับถือพึ่งพาได้ก็หายหน้าไปจนเกือบหมดสิ้น ชาวบ้านพากันร่ำลือว่าเป็นพลังวิเศษเป็นเพียงเรื่องลวงโลกที่สกุลฟางสร้างขึ้นมาเพื่อชื่อเสียงและความมั่งคั่ง
จนกระทั่งวันที่มารดาได้ให้กำเนิดนาง
ชีวิตของฟางอี้หรานตั้งแต่เยาว์วัยได้รับการดูแลอภิบาลเป็นอย่างดีจากผู้คนในตระกูลดุจดังนกน้อยในกรงทอง นางได้รับการศึกษาเฉกเช่นบุรุษ คนในสกุลฟางต่างคาดหวังว่านางจะเป็นผู้ลบคำสบประมาทของผู้คนที่มีต่อตระกูล นางต้องแบกความรู้สึกกดดันจากคนในตระกูลมาโดยตลอดแต่จวบจนบัดนี้นางก็ยังไม่เคยได้สัมผัสได้พลังงานที่ว่าแม้เพียงสักนิด
สายลมเย็นพัดพาเอาเศษใบไม้สีแดงมาตกที่ชานระเบียงไม้เนื้อจื่อถาน อายุมากกว่าร้อยปีแม้จะดูรกอยู่บ้างแต่กลับชวนมองอย่างน่าประหลาด ดรุณีแรกแย้มที่เอนหลังอยู่บนเก้าอี้หวายค่อย ๆ เหยียดตัวขึ้นมาอย่างเกียจคร้าน
“ตื่นแล้วหรือหรานเอ๋อร์” เสียงหนุ่มน้อยที่สุภาพนุ่มลึกดังมาจากด้านหลัง
“พี่อี้เซวียน ท่านมาตั้งแต่เมื่อไหร่” หญิงสาวหันหลังกลับมามองก่อนจะโผกอดด้วยความดีใจ นานนับปีแล้วที่นางไม่ได้เจอกับพี่ชาย ฟางอี้เซวียนผู้เป็นพี่ที่ผ่านพิธีสวมกวานและติดตามท่านลุงไปอยู่ที่ลั่วอี้เป็นเวลาหลายปี
“เจ้านี่นะ ยังเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนเลย” ฟางอี้เซวียนลูบศีรษะน้องสาวอย่างอ่อนโยน
“เห็นเจ้านอนอยู่ข้าเลยไม่อยากปลุก” เขาพูดพลางยื่นกล่องที่เต็มไปด้วยขนมให้แก่นาง ฟางอี้หรานตาโตเป็นประกายเมื่อเปิดกล่องออกดู ด้านในเต็มไปด้วยขนมรูปร่างสวยงามและสีสันประหลาดตา บางชิ้นนางไม่เคยเห็นมาก่อน
“ชอบหรือไม่ ข้าอุตส่าห์ต้้งใจเลือกมาให้เจ้าโดยเฉพาะเชียวนะ”ฟางอี้เซวียนยิ้มอย่างภาคภูมิใจในความเป็นพี่ชายที่แสนดี
“ชอบมาก ท่านพี่รู้ใจข้าที่สุดเลย” นางสวมกอดพี่ชายอีกครั้งสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่ถูกเขาดีดหน้าผากเบา ๆ หนึ่งครั้ง
“นิสัยขี้อ้อนนี่เมื่อไหร่จะหาย อีกไม่กี่วันเจ้าก็ต้องเข้าพิธีปักปิ่นแล้วนะ”
“ใครสนกัน เรื่องแบบนั้น ข้าไม่อยากเติบโตสักเท่าไหร่หรอก ถึงอย่างไรก็ไม่ได้แต่งงานอยู่ดี” รอยยิ้มบนใบหน้าถูกแทนที่ด้วยสายตาหม่นเศร้า แม้ฟางอี้หรานจะยังไม่เคยมีความรักแต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางไม่อยากใช้ชีวิตแบบหนุ่มสาวทั่วไป
เรื่องนี้ฟางอี้เซวียนเข้าใจน้องสาวเป็นอย่างดี ภาระที่นางแบกอยู่บนบ่าเล็ก ๆ นั้นหนักอึ้ง หากเลือกได้เขาอยากจะเป็นคนที่รับหน้าที่นี้แทนนาง ทว่าสวรรค์กำหนดไว้ผู้สืบทอดเนตรสวรรค์ได้มีเพียงแค่สตรีในตระกูลเท่านั้น แต่ที่เขายังไม่เข้าใจคือเหตุใดฮ่องเต้จึงต้องทรงมีราชโองการให้นางถือครองพรหมจรรย์ด้วยทั้งที่เนตรสวรรค์จำเป็นต้องสืบทอดทางสายโลหิต
“เจ้าอย่าได้เศร้าไปเลย มีพี่อยู่ข้าจะไม่มีวันทิ้งเจ้าไว้เพียงลำพัง”
ฟางอี้หรานยิ้มกว้างก่อนจะหยิบขนมเข้าปาก “อื้ม อร่อยมากอย่างไรเสียท่านพี่ก็ต้องส่งขนมให้ข้ากินไปตลอดชีวิตนั่นแหละ”
“ได้ พี่สัญญา ข้าจะหาขนมที่ดีที่สุดให้เจ้ากินไปตลอด”
ฟางอี้หรานแสร้งยิ้มให้พี่ชายเพื่อทำให้เขาสบายใจ นางรู้ดีว่าตนเองกำลังจะต้องเข้าสู่พิธีรับเนตรสวรรค์อย่างเต็มตัวหลังเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่น และเมื่อถึงเวลานั้นนางจำเป็นต้องวางตัวอีกแบบ ไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองดั่งเช่นที่เป็นอยู่ในเวลานี้ได้
คฤหาสน์สกุลฟางเร้นกายอยู่ในหุบเขามายาวนาน แต่เมื่อมีข่าวเรื่องผู้สืบทอดเนตรสวรรค์สกุลฟางของนางก็ไม่เคยได้สงบสุขอีกเลย บรรดาหัวเมืองต่างพาส่งขุนนางมากมายแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนที่เรือนของนางอย่างไม่ขาดสาย แม้แต่ผู้ที่เคยตัดไมตรีในอดีตก็แปรเปลี่ยนมาขอเป็นมิตรเพราะเพียงหวังประโยชน์ในพลังวิเศษนี้
ตอนแรกฟางอี้หรานยังออกมาพบแขกบ้างทุกคนที่มาล้วนแล้วต้องการประจบเอาใจนางเพื่อให้นางรู้สึกพอใจ แต่เมื่อพบว่าฟางอี้หรานไม่ได้มีพลังวิเศษอะไรและที่ทำได้เพียงพยากรณ์เฉกเช่นหมอดูรับจ้างทั่วจึงพากันแสดงอาการดูถูก ฟางอี้หรานรู้สึกเบื่อหน่ายกับเรื่องจอมปลอมพวกนี้ ระยะหลังนางจึงเลี่ยงที่จะไม่พบผู้ใดหากไม่มีความจำเป็น
“จริงสิ พี่ลืมบอกเจ้าไปเรื่องหนึ่ง พี่พาสหายกลับมาด้วยคนหนึ่งเจ้าอยากพบเขาหรือไม่”
“หากเป็นสหายของท่านพี่ ข้าย่อมต้องอยากพบ”
“ถ้าเช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะพาเขามาพบกับเจ้า สหายข้าคนนี้สุภาพอ่อนโยนแถมอีกทั้งยังมีฉลาดยิ่งนัก หากเจ้าได้พบจะต้องชื่นชมเขาเป็นแน่”
“ดูเหมือนท่านพี่จะชื่นชอบเขามากนะเจ้าคะ” พี่ชายของนางแต่ไหนแต่ไรเป็นบัณฑิตสุภาพอ่อนโยนและไม่ค่อยวุ่นวายกับใครจึงไม่ค่อยมีสหายสนิทมากนัก ดังนั้นการได้เห็นเขาชื่นชมใครสักคนอย่างออกหน้าออกตาย่อมเพิ่มความอยากพบเจอให้แก่นาง
“เป็นเช่นนั้น เขาคือสหายรู้ใจคนหนึ่ง” ฟางอี้เซวียนหุบพัดในมือลง “เช่นนั้นข้าต้องรีบไปบอกข่าวดีกับเขาก่อนว่าเจ้ายินดีพบเขา”