บท
ตั้งค่า

บทที่ 2

อากาศในหุบเขาเย็นยะเยือกแม้ว่าจะยังไม่ใช่ฤดูหนาว เสื้อคลุมขนเตียวอันอ่อนนุ่มห่อหุ้มร่างเล็กไว้อย่างมิดชิด

ฟางอี้หรานบรรเลงเพลงพิณระหว่างรอเวลาที่พี่ชายจะมาพบ เสียงเพลงกังวานใสบ่งบอกให้รู้ว่าผู้เล่นไร้ซึ่งความกังวลใด

เพียงไม่นานบุรุษทั้งสองก็ปรากฏกายตรงหน้า ฟางอี้หรานเมื่อบรรเลงเพลงจบก็ลุกขึ้นมาทักทายผู้เป็นพี่และแขกของเขา

“ท่านพี่..” นางคำนับโดยไม่ได้เงยหน้ามอง

“หรานเอ๋อร์ นี่ท่านไป๋จินเฉิง สหายที่ข้าเล่าให้เจ้าฟัง”

“คารวะคุณชายไป๋” ฟางอี้หรานเงยหน้ามองก็พลันรู้สึกวูบวาบในใจ บุรุษตรงหน้าในอาภรณ์สีขาว ใบหน้าเรียวยาวกับดวงตากลมโตจมูกเป็นสัน บุรุษตรงหน้างดงามราวกับรูปวาด เขายิ้มมุมปากอย่างอ่อนโยน แม้ว่าอากาศจะหนาวเย็นเพียงใดแต่ฟางอี้หรานนั้นกลับหน้าแดงไปจนถึงใบหู นางตกหลุมรักเขาในทันทีเมื่อแรกพบ

“หรานเอ๋อร์ เจ้าไม่สบายหรือ เหตุใดหน้าจึงแดงเช่นนี้” ฟางอี้เซวียนผู้เป็นพี่ยกมือขึ้นทาบลงบนใบหน้าของน้องสาวและใช้มืออีกข้างแปะหน้าตัวเอง

“ข้าไม่เป็นอะไร” ฟางอี้หรานปฏิเสธพลางเหลือบมองสหายของพี่ชาย

“ถ้าแม่นางอี้หรานไม่ค่อยสบายเช่นนั้นพวกเราย้ายเข้าไปพูดคุยกันด้านในเถิด” ไป๋จินเฉิงเอ่ยและฟางอี้เซวียนก็เห็นด้วย

ฟางอี้หรานเดินตามพวกเขาเข้าไปด้านในเรือนรับรอง สายตาของนางยังคงจับจ้องอยู่ที่แผ่นหลังของบุรุษที่เพิ่งได้เจอ ร่างสูงเคลื่อนไหวอย่างไม่รีบร้อน น้ำเสียงอ่อนโยนที่พูดคุยกับพี่ชายของนางชวนให้เคลิบเคลิ้ม เขาหันมาสังเกตนางเป็นระยะและส่งยิ้มให้ราวกับรู้ว่านางจ้องเขาอยู่ เมื่อนางรู้ตัวว่าถูกเขาจับได้จึงก้มหน้าเพื่อหลบสายตา

ฟางอี้หรานพูดน้อยกว่าปกติ นางยังไม่คุ้นเคยและรู้สึกเขินอายตลอดเวลาที่เขาพูดคุยเอ่ยถามนาง หัวใจของนางตอนนี้แทบจะระเบิดออกมาด้านนอก เมื่อมองหน้าตรง ๆ ไม่ได้ฟางอี้หรานจึงเปลี่ยนมุมมองไปที่ส่วนอื่น บุรุษผู้นี้ผิวพรรณงดงามแม้แต่นิ้วมือก็เรียวยาวจนนางอดที่จะชื่นชมไม่ได้

“น้องอี้หราน..” เสียงเรียกที่อ่อนโยนดึงนางออกจากภวังค์

“เจ้าอยากทานขนมนี่หรือ” ไป๋จินเฉิงยื่นขนมเปี๊ยะในมือให้นางเพราะเห็นนางจ้องอยู่สักพักหนึ่งแล้ว

ฟางอี้หรานอายจนแทบจะเอาหน้าซุกแผ่นดินหนี นางเผลอจ้องมือของเขาโดยไม่ได้สังเกตว่ามีขนมอยู่ จึงรีบคว้าขนมมาจากมือเขาและกล่าวขอบคุณ ไป๋จินเฉิงหลุดขำออกมาเล็กน้อย

“หรานเอ๋อร์ คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะตะกละถึงเพียงนี้” ฟางอี้เซวียนเองก็รู้สึกขำในตัวน้องสาว “น้องข้ายังเด็กหวังว่าสหายไป๋คงไม่ถือสา”

“นางยังเด็ก ท่านก็อย่าได้ดุนางนักเลย” รอยยิ้มอ่อนโยนจิบชาพลาง

“ไม่ทันไรท่านก็เข้าข้างนางเสียแล้ว” ฟางอี้เซวียนหันมามองแกมดุใส่เด็กสาวที่ก้มหน้าก้มตากินขนมเงียบ ๆ “คราวนี้เจ้ารอดตัวไปนะ”

ฟางอี้หรานกลอกตาแลบลิ้นใส่พี่ชายโดยไม่สนใจไป๋จินเฉิงที่มองนางอยู่

หลังจากได้พบหน้ากันอยู่หลายวันความสนิทสนมระหว่างคนทั้งสามก็เพิ่มมากขึ้น การสนทนาของขายหนุ่มทั้งสองดูเป็นเรื่องที่ฟางอี้หรานไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าใดนัก เรื่องการเมืองและปรัชญาเป็นอะไรที่น่าเบื่อสำหรับนางล้วนแล้วแต่แก่งแย่งชิงดีเพื่อผลประโยชน์ของตน พอได้ฟังมาก ๆ นางก็รู้สึกอยากปลีกตัวออกจากบทสนทนาของเขาทั้งสอง พวกเขาเมื่อเห็นว่านางเริ่มกระสับกระส่ายจึงเปลี่ยนความสนใจมาพูดคุยเกี่ยวกับตัวนาง

“น้องอี้หราน นอกจากชอบขนมแล้วเจ้ามีสิ่งที่ชอบอีกหรือไม่ หากมีโอกาสครั้งหน้าข้าจะนำมาฝากเจ้า”

ฟางอี้หรานมองไป๋จินเฉิงด้วยความประหลาดใจ เขาไม่เพียงไม่สนใจในพลังพิเศษของนางแต่กลับอยากรู้ว่านางอยากได้สิ่งใด

“ข้า..แท้จริงข้าอยากเดินทางท่องเที่ยว อยากรู้ว่าโลกภายนอกหุบเขาเป็นอย่างไร”

“เหตุใดเจ้าจึงไม่ออกไปสำรวจด้วยตนเอง?” ไป๋จินเฉิงสงสัยเพราะเขาไม่รู้ว่าฟางอี้หรานถูกสั่งห้ามออกนอกบริเวณหุบเขาโดยเด็ดขาด

“ท่านพ่อท่านแม่ไม่อนุญาตให้นางออกไป เกรงว่าอาจเกิดอันตรายและเหตุที่คาดไม่ถึง ต้องรอจนกว่านางจะผ่านพิธีปักปิ่นไปก่อน” ฟางอี้เซวียนอธิบายแทนให้ไป๋จินเฉิงเข้าใจ

“เป็นเช่นนั้นหรือ..” ไป๋จินเฉิงสีหน้าเคร่งขรึม “หากถึงเวลานั้น ข้าจะมารับและพาเจ้าไปด้วยตนเอง ดีหรือไม่?”

“ท่านพูดจริงหรือ?”

“จริงสิ ข้าสัญญา” ไป๋จินเฉิงมองหน้าไป๋อี้หรานก่อนที่จะมองไปยังไป๋อี้เซวียน “วันข้างหน้าข้ากับพี่เจ้าจะพาเจ้าออกไปดูโลกกว้างนอกหุบเขาเอง”

ฟางอี้หรานดวงตาเปล่งประกายไปด้วยความหวัง นางเฝ้ารอคอยให้ถึงวันนั้นโดยเร็ว

คงเป็นเพียงไม่กี่วันที่ฟางอี้หรานรู้สึกคลายเหงา ตลอดเวลาที่พวกเขาอยู่ด้วยไป๋จินเฉิงบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสถานที่ต่าง ๆ และการใช้ชีวิตของผู้คนในเมืองหลวงให้นางฟัง นางตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้ยินหรือเรียนรู้เรื่องใหม่จนรู้สึกอยากออกไปเห็นด้วยตาตนเอง แต่ในวันนี้ฟางอี้เซวียนและไป๋จินเฉิงจำต้องกลับไปยังลั่วอี้ ฟางอี้หรานออกมาส่งพวกเขาที่รถม้าด้านนอกจวนด้วยความรู้สึกที่หม่นเศร้าอยู่ไม่น้อย

“หรานเอ๋อร์ ฝากเจ้าดูแลท่านพ่อท่านแม่แทนข้าด้วย”

“ท่านพี่วางใจ ข้าจะปรนนิบัติพวกท่านอย่างดี” ฟางอี้หรานรับบางสิ่งมาจาก ‘ซูเจียว’ สาวใช้คนสนิทของนางก่อนจะยื่นมันให้แก่ไป๋จินเฉิง

“ถุงหอมนี่ข้าปักมันเอง หากท่านไม่รังเกียจ..”

ไป๋จินเฉิงมองหน้านางด้วยสายตาที่อ่อนโยน “ขอบคุณหรานเอ๋อร์ ข้าจะเก็บมันไว้อย่างดี” เขารับมันมาก่อนที่จะชื่นชมกับลวดลายดอกท้อบนถุง

ไป๋จินเฉิงคลำหาบางสิ่งในตัวก่อนดึงหยกพกที่เอวของเขาออกและส่งให้นาง

“ข้าไม่มีอะไรให้เจ้านอกจากหยกนี่ เจ้าเก็บไว้เป็นที่ระลึกเถิดถือเป็นของแลกเปลี่ยนที่เจ้าให้ถุงหอมแก่ข้า และเป็นคำสัญญาว่าวันหนึ่งข้าจะมารับเจ้าไปท่องโลกกว้างด้วยกัน”

ฟางอี้หรานรับหยกมาอย่างทะนุถนอม นางดีใจยิ่งกว่าครั้งไหน การได้รับของขวัญจากไป๋จินเฉิงช่างเป็นอะไรที่ล้ำค่าอย่างที่ไม่คิดไม่ฝันมาก่อน

“แล้วของข้าล่ะ?” ฟางอี้เซวียนขัดจังหวะคนทั้งสอง พึมพำด้วยน้ำเสียงค่อนขอดพร้อมยื่นมืออกมาบ้าง

“แน่นอนว่าย่อมต้องมีของท่านพี่” ฟางอี้หรานวางถุงหอมอีกชิ้นที่นางทำไว้ให้แก่พี่ชาย

“ขอบคุณหรานเอ๋อร์” ฟางอี้เซวียนรับมาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มพลิกดูลวดลายก่อนเลิกคิ้วตั้งคำถาม

“นี่มัน..ลายไก่อย่างนั้นหรือ”

ฟางอี้หรานพยักหน้าและส่งยิ้มแห้งให้แก่พี่ชาย “ข้าอยากให้ท่านพี่ก่อร่างสร้างตัวได้ไว ๆ จึงปักลายไก่ให้”

“เจ้าช่างรอบคอบยิ่งนัก” เมื่อได้ฟังคำอธิบายของน้องสาว เขาก็ไม่ได้ติดใจอะไร “ได้เวลาที่พวกข้าต้องไปแล้ว หรานเอ๋อร์ เจ้าดูแลตัวเองให้ดี” ฟางอี้เซวียนลูบศีรษะน้องสาวอย่างอ่อนโยน

“ท่านพี่ทั้งสองรักษาสุขภาพด้วย” ฟางอี้หรานค้อมตัวให้คนทั้งคู่เพื่ออำลา

รถม้าเคลื่อนตัวห่างออกไปจากสกุลฟางทีละน้อย ฟางอี้หรานมองตามไปจนกระทั่งสุดสายตา ไม่เพียงแต่พาพวกเขาจากไปหากแต่หัวใจดวงน้อยของนางก็ติดตามเขาไปเช่นกัน

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel