บทที่ 3
ฟางอี้หรานล้มป่วยเป็นแรมเดือนหลังจากที่พวกเขาจากไปแล้ว หมอหลายคนถูกเชิญมารักษาอาการของนางต่างก็พากันลงความเห็นว่านางเป็นหวัดธรรมดา แม้อาการไข้จะหายไปในสัปดาห์แรกแต่อาการปวดหัวของนางกลับไม่ได้ดีขึ้นแต่อย่างใด
อาการคงอยู่จนกระทั่งก้าวเข้าสู่ฤดูหนาว ฟางอี้หรานตื่นขึ้นมาพบว่าอาการปวดหัวได้หายไปหมดสิ้นแล้วแต่ที่น่าประหลาด นางกลับเห็นเรื่องราวบางอย่างที่จะเกิดขึ้นกับคนใกล้ตัว ไม่ว่าจะเป็นสาวใช้หรือคนในตระกูล
แต่สิ่งที่เห็นกลับเป็นภาพเลือนรางและระยะกระชั้นชิดก่อนจะเกิดขึ้นจริง ฟางอี้หรานคาดว่านี่คือพลังของเนตรสวรรค์ที่ทุกคนพูดถึง นางเลือกที่จะไม่เอ่ยเรื่องนี้กับใครนอกจากบิดามารดาและซูเจียวสาวใช้คนสนิท บุคคลคนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่นางไว้ใจและปกป้องนาง
แต่แม้ว่าพวกเขาพยายามจะรักษาความลับเพียงใด แต่สุดท้ายก็ไม่อาจปิดบังไว้ได้นาน
การที่ฟางอี้หรานเห็นเหตุการณ์ก่อนจึงทำให้นางป้องกันเหตุการณ์บางเรื่องที่จะเกิดได้ทัน ในหลาย ๆ ครั้ง บ่าวไพร่ต่างพากันสงสัยและร่ำลือกันว่านางได้รับพลังเนตรสวรรค์แล้ว
ฤดูกาลเปลี่ยนผันไปตามเวลา บัดนี้ฟางอี้หรานก้าวเข้าสู่วัยสาวอย่างเต็มตัว หลังจากพิธีปักปิ่น ฟางอี้หรานได้รับอนุญาตให้ออกไปมาได้อย่างอิสระเฉกเช่นสตรีทั่วไป นางเคยเอ่ยถามฟางเซี่ยและนิ่งหรูเยว่ผู้เป็นบิดามารดาว่าเหตุใดก่อนหน้านี้นางจึงไม่ได้รับอนุญาต คำตอบที่ได้มีเพียงเพราะนางยังเด็กเกินไปและกลัวถูกล่อลวง
คำตอบที่ได้ไม่ทำให้นางพอใจสักเท่าใดนัก แท้จริงแค่ผ่านพิธีก็ทำให้นางเข้าสู่วัยผู้ใหญ่อย่างนั้นหรือ สำหรับนางก็ไม่ได้มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปมากกว่าการที่ต้องเปลี่ยนแปลงการแต่งตัวและสำรวมพฤติกรรมมากขึ้น หากจะมีสิ่งหนึ่งที่เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมนั่นก็คือพลังเนตรสวรรค์ของนาง
จากเดิมที่เคยมองเห็นแค่เลือนราง ในตอนนี้ภาพเริ่มปรากฏชัดเจนขึ้นจนกระทั่งสามารถบอกสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ในระยะสั้น ๆ
ตั้งแต่ที่ได้รับอิสระเดินทางไปไหนมาได้เอง ฟางอี้หรานก็มักจะนำความช่วยเหลือมาให้ชาวบ้านที่อยู่ด้านล่างหุบเขา นางนำอาหารและข้าวของมาแจกจ่ายให้แก่ผู้ยากไร้เสมอ บางครั้งก็สอนหนังสือให้เด็ก ๆ ในหมู่บ้านใต้เมฆา ประกอบกับชื่อเสียงเรื่องที่นางมีพลังวิเศษ ผู้คนทั้งหลายจึงพากันเรียกนางว่าเทพธิดาอี้หราน
พิรุณพร่ำพรมตั้งแต่เมื่อคืนจนกระทั่งสาย แสงแดดเริ่มสาดส่องจนน้ำที่ขังอยู่ตามพื้นระเหยไปเกือบหมด
ฟางอี้หรานมาถึงหมู่บ้านใต้เมฆาพร้อมด้วยเสื้อผ้าใหม่สำหรับเด็ก นางรู้ดีว่าเมื่อเริ่มฤดูกาลฝนตกหนักในภูเขาอากาศมักหนาวเย็นและเสื้อผ้าที่เด็กเหล่านี้สวมใส่อยู่อาจไม่พอให้ที่จะทำให้ร่างกายอบอุ่น แม้จะมีของเดิมอยู่แต่สำหรับพวกเด็ก ๆ ก็ใส่จนขาด บ้างก็ตัวโตขึ้น นางจึงสั่งให้คนเตรียมมาเพื่อมอบให้ใหม่และพวกเด็กเหล่านี้ตั้งตารอคอยการมาถึงของนางอย่างใจจดใจจ่อ
นางใช้เวลากว่าครึ่งวันเช้าในการสอนหนังสือเด็กแล้วจึงเริ่มแจกจ่ายข้าวของในช่วงบ่ายคล้อย
เสียงฝีเท้าม้าควบดังมาจากที่ไกล บุรุษในชุดดำเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วมาที่นางก่อนจะใช้ดาบฟันลงมา
“คุณหนู ท่านเป็นอะไรเจ้าคะ” เสียงเรียกของซูเจียวทำให้นางตื่นจากภวังค์
“ไม่มีอะไรซูเจียว เรารีบแจกของให้เสร็จแล้วรีบไปกันเถอะ”
ภาพที่เห็นเมื่อสักครู่คงเป็นอิทธิพลจากพลังเนตรสวรรค์ ฟางอี้หรานรู้สึกว่าควรออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
ยังไม่ทันที่จะเสร็จธุระตรงหน้า จางอี้หรานหันมาก็พบว่ามีกลุ่มคนบนหลังม้าเคลื่อนเข้ามาใกล้ ชายฉกรรจ์หลายคนพุ่งตรงเข้ามาที่นาง ยังไม่ทันจะตั้งตัวแสงแวบจากอาวุธสะท้อนเข้ามาที่ดวงตาของนาง สายเกินไปกระบี่เล่มยาวก็มาจ่ออยู่ที่คอระหงของนางแล้ว
เด็ก ๆ ที่อยู่บริเวณใกล้ ๆ ต่างพากันหวาดกลัวและวิ่งหนีออกไปในทันที คงเหลือแต่ซูเจียวและเสี่ยวจูเด็กชายน้อยที่สนิทสนมกับฟางอี้หราน
“เจ้าจะทำอะไรน่ะ อย่าทำอะไรคุณหนูของพวกเรานะ” ซูเจียวส่งเสียงดังเข้าข่ม ส่วนเสี่ยวจูนั้นวิ่งไปตีแขนบุรุษร่างสูงใหญ่ตรงหน้าและถูกผลักกระเด็นออกมา
“เสี่ยวจู!” ฟางอี้หรานส่งเสียงเรียกด้วยกังวลต่อเด็กน้อยที่ล้มลงไปตรงหน้าและถูกจับตัวไว้ “พวกท่านเป็นโจรหรือ อยากได้สิ่งใดพวกท่านก็นำกลับไปเถิด ขอเพียงอย่าทำร้ายพวกเขา”
“หึ ลำพังเจ้ายังจะเอาตัวไม่รอดจะร้องขอชีวิตให้ผู้อื่นอีกหรือ” ร่างสูงพยักหน้าส่งสัญญาณให้ชายอีกสองคนที่อยู่ใกล้ ๆ
พวกเขาเริ่มสำรวจข้าวของที่นางนำมาแจก ก่อนใช้ดาบแทงเข้าไปในกล่องผ้าที่กองอยู่ตรงหน้า
เมื่อเห็นว่าไม่มีสิ่งใดซุกซ่อนไว้ในกล่องจึงปลดดาบลงจากคอ
พลั่ก เสียงดังที่ข้างหูก่อนที่สติของฟางอี้หรานจะดับวูบลง
“คุณหนู คุณหนู” เสียงเรียกของซูเจียวดังขึ้นทันทีที่นางเริ่มรู้สึกตัว ตอนนี้นางกลับมาอยู่ที่ห้องของตัวเองในจวนสกุลฟางอีกครั้ง
นิ้วเรียวยาวยกขึ้นมาลูบบริเวณท้ายทอย ความรู้สึกปวดยังคงอยู่บริเวณต้นคอ
“เกิดอะไรขึ้นกับข้า เสี่ยวจูล่ะ ปลอดภัยหรือไม่ แล้วพวกโจรเหล่านั้น..” ฟางอี้หรานนึกแล้วยังตกใจไม่หายโจรเหล่านั้นแทบจะสังหารนางได้อย่างง่ายด่าย
“เสี่ยวจูปลอดภัยดีเจ้าค่ะ..ส่วนพวกโจร”
“อี้หราน เจ้าฟื้นแล้วหรือ” ฟางฮูหยินพุ่งตัวเข้ามาหาบุตรสาวอย่างรวดเร็ว กอดนางไว้ด้วยความเป็นห่วง
“ท่านแม่..ข้าเจอเข้ากับพวกโจร” ฟางอี้หรานปลดปล่อยความรู้สึกหวาดกลัวออกมาทั้งหมดเมื่อได้คุยกับมารดา
“ไม่ต้องกังวลไป เจ้าปลอดภัยแล้ว ส่วนพวกโจร..”
“พวกมันถูกจัดการแล้วหรือ ตายหมดเลยอย่างนั้นหรือ”
ยังไม่ทันจะได้คำตอบจากมารดา บิดาของนางก็เข้ามาพร้อมกับบุรุษผู้หนึ่ง
ฟางอี้หรานตกใจจนผงะถอยออกจากมารดาเมื่อได้เห็นโจรร้ายที่ใช้กระบี่จ่อคอนาง
“อี้หราน นี่คือแม่ทัพเว่ยเสวี่ย” บิดาแนะนำโจรให้นางได้รู้จัก
“ขออภัยแม่นางอี้หราน แท้จริงข้าไม่ใช่โจร เพียงแต่มาสืบราชการลับ ระหว่างทางพบว่าคนร้ายหลบหนีจึงจำเป็นต้องค้นหา”
ฟางอี้หรานยกมือลูบต้นคออีกครั้ง ขนาดนางไม่ใช่โจรเขายังทำรุนแรงกับนางขนาดนี้ หากเป็นโจรจริง ๆ มิถึงฆาตหรือ
“ขออภัยที่ข้าต้องรุนแรงกับท่าน” เว่ยเสวี่ยคำนับขอโทษนางอย่างจริงจัง
“ช่างเถิด เป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน ท่านแม่ทัพอย่าได้คิดมาก” ฟางเซี่ยรีบตัดบทเพื่อไม่ให้เหตุการณ์ดูตึงเครียดมากขึ้น
ฟางอี้หรานพินิจดวงหน้าของเขาอีกครั้ง ชายร่างสูงโปร่งนัยน์ตากลมปราดเปรียวประดุจเหยี่ยว คิ้วดั่งคันธนู ชายตรงหน้าแม้จะมีรูปงามแต่ก็สร้างความไม่ประทับใจให้แก่นางตั้งแต่แรกพบ
“ท่านแม่ ข้าอยากพักผ่อน”
“ได้สิ งั้นเดี๋ยวแม่ให้คนไปต้มยากับเตรียมอาหารมาให้ เจ้าค่อยกินแล้วก็พักผ่อนไปก่อนเถิด”
เว่ยเสวี่ยจ้องมองนางด้วยสายตาที่ชวนให้ขนลุกอีกครั้งก่อนออกจากห้องไป
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครแล้วนางจึงสอบถามความจริงจากซูเจียว
“ที่แท้เขาก็แค่คิดว่าข้าช่วยให้ที่ซ่อนโจรอย่างนั้นหรือ”
“เจ้าค่ะ พอท่านแม่ทัพรู้ว่าคุณหนูเป็นใคร เขาก็เปลี่ยนท่าทีอย่างเห็นได้ชัดและรีบพาคุณหนูกลับมาที่จวนเจ้าค่ะ”
“เขาคงกลัวความผิดที่ล่วงเกินข้ากระมัง”
“เจ้าค่ะ”
ฟางอี้หรานถอนหายใจก่อนล้มตัวลงนอนอีกครั้ง
“หน้าตาก็ดีแต่นิสัยกลับโหดร้ายยิ่งนัก” ภาพความน่าหวาดกลัวของเว่ยเสวี่ยและคนของเขายังคงติดตานางอยู่จนถึงตอนนี้
