บทที่ 4
หลังจากได้พักผ่อนเต็มที่จนหายดีแล้ว ฟางอี้หรานกลับต้องประหลาดใจที่ยังเห็นเขาอยู่ที่จวนแม้จะผ่านไปหลายวัน
“เหตุใดเขาจึงยังอยู่ที่นี่อีก” นางพึมพำกับซูเจียวที่คอยประกบอยู่ไม่ห่างกาย
ฟางอี้หรานแสร้งทำเป็นไม่เห็นเว่ยเสวี่ยเมื่อต้องเดินผ่านทางที่ทอดยาวไปยังเรือนของบิดา
ดอกไม้ริมทางเดินได้รับน้ำฝนชอุ่มมาทั้งคืนต่างพากันเบ่งบานรับแสงตะวันนางจึงแสร้งทำเป็นหันเหความสนใจ
ร่างสูงใหญ่มองตามสตรีร่างเล็กจนหายลับไป ไม่มีผู้ใดคาดเดาได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
“เจ้ายังไม่หายดี จะออกไปอีกแล้วหรือ ไม่ได้พ่อไม่อนุญาต”
“แต่ว่าท่านพ่อ ข้าจำเป็นต้องไปจริง ๆ”
“เจ้าจะนำสิ่งใดไปให้ชาวบ้าน ข้าจะให้คนนำไปแทนเจ้า อีกอย่างเจ้าไม่ได้ยินที่แม่ทัพเว่ยเล่าให้ฟังอีกหรือ ป่านนี้ยังมีโจรอยู่ในภูเขา พ่อจะปล่อยให้เจ้าไปได้อย่างไร”
“แต่ว่าข้า..”
ฟางอี้หรานมีสีหน้าผิดหวังและคิดจะหาตัวช่วย แต่มารดาเองก็ดูเหมือนจะไม่เข้าข้างนางสักเท่าไหร่
“หากคุณหนูอยากไป ข้าจะไปเป็นเพื่อนท่านเอง”
ฟางอี้หรานหันมาตามเสียงทุ้มต่ำ เว่ยเสวี่ยเดินเข้ามาพอดี เขาได้ยินบทสนทนาของกับบิดาอย่างนั้นหรือ
“แม่ทัพเว่ย ท่านมาพอดี นางดึงดันที่จะไปให้ได้”
“เช่นนั้นก็ให้นางไปกับข้าเถิด ข้าจะดูแลความปลอดภัยให้นางเอง” น้ำเสียงหนักแน่นหากไม่มองหน้าของนางแม้แต่น้อย
“เช่นนั้นข้าก็ค่อยวางใจ ข้าฝากท่านดูแลนางด้วย”
ฟางอี้หรานแม้จะไม่ชอบหน้าเขาสักเท่าใด แต่ก็จำใจด้วยอยากจะไปตามหาพู่หยกของนาง
“รบกวนท่านแม่ทัพแล้ว” นางมีท่าทีอ่อนน้อมลงเพราะได้ประโยชน์จากเขา
เว่ยเสวี่ยยังคงทำหน้าน้ำแข็งใส่นาง เขานิ่งเงียบไม่ปริปากพูดสิ่งใดออกมาแม้สักคำ
รถม้ามุ่งหน้าออกจากจวนสกุลฟางไปยังหมู่บ้านใต้เมฆา ฟางอี้หรานเหลือบมองบุรุษที่นั่งอยู่ด้านข้างด้วยความสงสัย แต่คนตรงหน้าราวกับไม่สะทกสะท้านต่อสิ่งใด
“ท่านแม่ทัพ ขออภัยหากข้าจะถาม พวกโจรพวกนั้นทำผิดด้วยเรื่องอันใด จึงเป็นเหตุให้ท่านต้องมาตามหาด้วยตนเอง”
เขาปรายตามองนางก่อนจะตอบเพียงสั้น ๆ
“ขโมยของ” น้ำเสียงราบเรียบมิอาจบอกได้ว่ารู้สึกเช่นไร
“ขโมยสิ่งใดจึงจำเป็นต้องใช้แม่ทัพในการจับกุม ข้าว่าคงต้องเป็นของล้ำค่ามากอย่างแน่นอน
“อืม”
ฟางอี้หรานเบือนหน้าหนีพร้อมกับพึมพำทันทีที่ได้ฟังคำตอบ
แสนเย็นชาของเขา
“เรื่องในวัง ข้าพูดมากไม่ได้” เขาพอจะเดาได้ว่านางไม่ค่อยพอใจกับคำตอบของเขาเท่าใดนัก
ฟางอี้หรานไม่ได้ถามต่อ นางเหนื่อยที่จะสืบหาความจริงจากปากของเขาเต็มที
เมื่อเข้ามาในเขตหมู่บ้าน เด็ก ๆ พากันวิ่งเข้ามาล้อมรถม้าด้วยความดีใจ แต่ทว่าต่างก็ถอยกรูดไปหลบกันด้านหลังเมื่อเห็นเว่ยเสวี่ยเดินออกมาจากรถม้า
ฟางอี้หรานจึงรีบแก้สถานการณ์ด้วยการแนะนำเว่ยเสวี่ยให้ทุกคนได้รู้จัก
“ไม่เป็นไร พี่ชายท่านนี้มากับข้า เรื่องวันก่อนแค่เข้าใจผิดกัน”
เมื่อได้ฟังดังนั้นเด็ก ๆ จึงพากันเดินเข้าหานางอีกครั้ง
“พี่สาว คราวที่แล้วพวกเราเป็นห่วงท่านมาก นึกว่าพี่ชายจะทำร้ายท่าน พวกเราเป็นกังวลมาก”
“ข้าไม่เป็นอะไร วันนั้นพี่ชายแค่เข้าใจผิด ต่อไปพวกเจ้าก็ดีกับพี่ชายมาก ๆ หน่อยนะ”
“ขอรับ” เสี่ยวจูเด็กน้อยร่างเล็กที่อยู่กับนางเมื่อครั้งก่อนจูงมือฟางอี้หรานเดินออกมาก่อนที่จะถาม “พี่สาว ข้าเป็นห่วงท่านแทบแย่ วันนี้ท่านมาสอนหนังสือพวกข้าอีกใช่หรือไม่”
ฟางอี้หรานส่ายหน้า “วันนี้ข้ามาหาของ วันก่อนข้าทำตกไว้ เสี่ยวจูเจ้าเห็นบ้างหรือไม่ พู่หยกของข้า”
เด็กน้อยส่ายหน้า “ไม่เห็นเลยพี่สาว ข้าจะลองถามเพื่อน ๆ หากเจอจะรีบนำมาให้ท่าน”
“เด็กดี ขอบใจเจ้ามาก ของนั่นสำคัญกับพี่มาก หากหาเจอข้าจะมีรางวัลให้แก่พวกเจ้า”
เสี่ยวจูพยักหน้ารับก่อนวิ่งไปหาเพื่อน ๆ และบอกข้อความแก่พวกเขา
เว่ยเสวี่ยมองฟางอี้หรานที่ก้ม ๆ เงย ๆ อยู่กับสาวใช้ สักครู่ก่อนเดินหายออกไปจากบริเวณนั้นพร้อมกับคนสนิท
สักครู่ใหญ่เขาจึงกลับมาพร้อมกับบางสิ่ง ถุงผ้าดำในมือพร้อมกับโลหิตที่หยดลงมาจากถุงส่งกลิ่นคาวคละคลุ้งไปทั่ว
ฟางอี้หรานรู้สึกสะอิดสะเอียนกับกลิ่นจนเกือบจะอ้วก นางรู้สึกได้ถึงไอสังหารที่รุนแรงออกมาจากตัวเขา ร่างกายฉับพลันเย็นวาบในทันที
เว่ยเสวี่ยโยนถุงนั้นให้คนสนิทที่รออยู่บนหลังม้า เมื่อรับมันแล้วจึงรีบควบออกไป
เขาจ้องมองนางด้วยสายตาเย็นชา “ธุระข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว” คำพูดเพียงสั้น ๆ ทำให้นางรู้สึกคล้ายจะวูบ
ที่แท้เขาอาสามาส่งนางเพราะจะมาจับโจรอย่างนั้นหรือ
“เช่นนั้นวันนี้พวกเรากลับก่อนเถิด” ฟางอี้หรานรู้สึกไม่อยากอยู่ในบรรยากาศเช่นนี้นานสักเท่าไหร่ ตอนนี้นางอยากรีบกลับเพื่อจะได้ไม่ต้องอยู่ใกล้เขาอีก
กว่าจะถึงที่จวนก็ท้องฟ้าก็มืดลงเสียแล้ว ตลอดทางที่กลับมาฟางอี้หรานไม่ได้พูดคุยกับเว่ยเสวี่ยสักคำจนถึงจวน
“ขอบคุณท่านแม่ทัพ” พูดจบพร้อมคำนับและหันหลังเดินหนีจากเขาไปอย่างรวดเร็ว
เว่ยเสวี่ยยกมุมปากขึ้นก่อนหยิบบางสิ่งออกจากด้านในเสื้อ
หยกใสสลักลวดลายที่นางตามหา ที่แท้อยู่กับเขามาตลอด เขามองมันก่อนเก็บเข้าไปในเสื้ออีกครั้ง
“ท่านแม่ทัพ” หลิวจวินคนสนิทยื่นซองจดหมายให้แก่เขา เว่ยเสวี่ยเปิดมันอ่านก่อนแล้วจึงส่งให้หลิวจวิน
“เราคงต้องอยู่ที่นี่ต่ออีกระยะ ให้คนส่งข่าวไปบอกอาฉางให้รู้ด้วย”
“ขอรับ”
เว่ยเสวี่ยยิ้มมุมปาก จวนสกุลฟางมีเรื่องราวบางอย่างที่น่าสนใจสำหรับเขา ภารกิจอันน่าเบื่อหน่ายของเขาเสร็จสิ้นแล้วแต่การรั้งอยู่ที่นี่ต่อดูช่างเป็นเรื่องน่าสนุกและผ่อนคลายยิ่งนัก
ฟางอี้หรานไม่อาจข่มตาให้หลับได้ในคืนนี้ ภาพห่อผ้าที่มีเลือดหยดยังคงติดตานางอยู่ นางไม่กล้าแม้แต่จะไถ่ถามว่าศีรษะในห่อนั้นคือของผู้ใด โจรผู้นั้นขโมยสิ่งใด เหตุใดแม่ทัพเว่ยจึงต้องลงมือจัดการด้วยตนเอง เขาเป็นคนที่แฝงอยู่ในหมู่บ้านหรือไม่ แล้วแฝงตัวมานานเท่าใด
แดดทอแสงสาดส่องเข้ามาที่ระเบียงของฟางอี้หรานในยามเช้า ฟางอี้หรานใช้เวลาแต่งตัวอยู่ในห้องเป็นเวลานานเพราะไม่อยากออกมาเจอเว่ยเสวี่ย นางคิดว่าเขาเสร็จสิ้นภารกิจแล้วและคงจะกลับไปรายงานผลงานในวันนี้อย่างแน่นอน
กว่าที่นางจะออกจากห้องก็เป็นเวลาบ่ายคล้อย ฟางอี้หรานรู้สึกว่าบรรยากาศในจวนปลอดโปร่งจนกระทั่งเหลือบไปเห็นเงาของร่างสูงใหญ่ยืนนิ่งคล้ายกับรอนางอยู่ระหว่างทาง
รอยยิ้มที่มีหายไปโดยฉับพลัน หากจะเดินถอยกลับก็ดูจงใจหลีกหนีเขาจนเกินไป แต่การไม่พบหน้าเขาจะทำให้นางรู้สึกดีเสียยิ่งกว่า
“ท่านแม่ทัพ” นางคารวะเขาอย่างนอบน้อมและพยายามจะเดินต่อไปแต่ทว่าถูกเขาใช้ร่างหนาขวางทางไว้ ฟางอี้หรานตกใจจนถอยหลังออกมา
“แม่นางอี้หรานเหตุใดจึงมีสีหน้าซีดเซียว หรือว่าเจ้าจะไม่สบายอีก” เขาพูดจบจึงยกมือขึ้นและยื่นไปแตะหน้าผากของนาง แต่ฟางอี้หรานหลบได้ทันเสียก่อน
“ข้าสบายดี หากไม่มีสิ่งใดแล้วข้าขอตัวก่อน”
เว่ยเสวี่ยยิ้มยะเยือก “เจ้ากลัวข้าหรือ แม่นางอี้หราน”
“ข้าเปล่า เพียงแต่ชายหญิงไม่ควรใกล้กันลำพัง”
“ลำพังอย่างนั้นหรือ? สาวใช้ของเจ้าก็อยู่ด้วย” เว่ยเสวี่ยสาวเท้าขยับเข้ามาใกล้นาง ทำให้ฟางอี้หรานถอยจนตัวไปประชิดกับต้นเสา
เว่ยเสวี่ยยื่นหน้าของเขาเข้ามาใกล้ก่อนจะกระซิบข้างหูนาง
“เช่นนี้ต่างหากที่เรียกว่าใกล้กัน”
เว่ยเสวี่ยเห็นนางที่หน้าแดงก่ำเพราะกำลังโกรธยิ่งทำให้เขารู้สึกพอใจมากจนหัวเราะออกมาเสียงดัง ก่อนเดินจากไป
“หยาบคายยิ่งนัก” จากเดิมที่รู้สึกไม่ถูกชะตากลับเปลี่ยนเป็นรังเกียจเขาในทันที ฟางอี้หรานถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะมุ่งตรงไปหาบิดาของตน
นายท่านฟางบิดาของนางกำลังเพลิดเพลินกับการคัดอักษรในห้องหนังสือ เมื่อเห็นบุตรีเดินมาด้วยสีหน้าบึ้งตึงก็อดสงสัยไม่ได้
“ใครทำให้เจ้าบูดบึ้งได้เช่นนี้หรือหรานเอ๋อร์” แต่ไหนแต่ไรมาสีหน้าไม่พอใจของนางจะปรากฏเมื่อนางไม่ได้ของกินที่ถูกใจและการไม่ได้ออกไปข้างนอก
“ท่านพ่อ..เหตุใดเขาจึงรั้งอยู่ที่นี่อีกเจ้าคะ แถมยังให้อยู่เรือนปักษามาศอีกต่างหาก”
เรือนปักษามาศเป็นเรือนใหญ่ที่คั่นอยู่ระหว่างกลางเรือนของฟางเซี่ยและเรือนของฟางอี้หราน ปกติจะใช้เป็นเรือนรับรองสำหรับญาติสนิทหรือแขกคนสำคัญที่ต้องรับรองเป็นพิเศษเพียงเท่านั้น
“เจ้าหมายถึงแม่ทัพเว่ยอย่างนั้นหรือ เขาจะพำนักอยู่กับเราที่อีกสักระยะ เห็นว่าได้รับมอบหมายเพิ่มเติมจึงขอพักอาศัยอยู่ที่นี่ก่อน แต่พ่อว่าก็ดี เรือนของเรากว้างขวางแค่แม่ทัพกับผู้ติดตามไม่กี่คนก็พอรับรองได้อยู่ ต่อไปจะได้ไม่มีผู้ใดเข้ามาวุ่นวายที่สกุลฟางอีกด้วย”
“อีกสักระยะ อีกแค่วันเดียวข้าก็จะทนไม่ได้แล้วท่านพ่อ”
“เพราะเหตุใดกัน! เขารังแกเจ้าอย่างนั้นหรือ?”
“เปล่า ข้าแค่ไม่ชอบเขา”
“ลูกเอ๋ย ท่านแม่ทัพอาจจะดูแข็งกระด้างแต่เขาก็มีความจริงใจอยู่มากนัก เจ้าอย่าตั้งแง่กับเขาเลย อีกอย่างเขาก็เป็นแขกจากราชสำนัก เจ้าควรสำรวมกิริยาของเจ้าที่มีต่อเขา
“แต่..”
“ไม่มีแต่ เจ้ามีหน้าที่ต้อนรับแขกให้ดี อย่าให้เสียชื่อสกุลฟางของพวกเรา เข้าใจหรือไม่”
“เจ้าค่ะ..” แม้จะไม่พอใจสักเท่าใดแต่ฟางอี้หรานก็ไม่อาจขัดใจบิดาของตนได้ เช่นนั้นนางจำต้องอดทนให้ถึงที่สุด
