บทที่ 5
แม้ว่าจะอยากหลบเลี่ยงเขาเพียงใดแต่ก็ทำได้แค่ความคิด ฟางอี้หรานยังคงต้องร่วมโต๊ะอาหารกับเขาในช่วงเย็นอีกครั้ง
ฟางอี้หรานสังเกตเห็นว่าอาหารมากมายล้วนทำมาเพื่อเอาใจแม่ทัพเว่ยโดยเฉพาะ บุรุษผู้นี้ใช้อำนาจเหนือผู้คนแม้แต่กับมื้ออาหารนั่นยิ่งทำให้ฟางอี้หรานไม่พอใจเขามากขึ้น
เว่ยเสวี่ยเองก็สังเกตเห็นว่าฟางอี้หรานแทบไม่แตะต้องอาหารสักเท่าใด
“แม่นางอี้หรานไม่ชอบอาหารพวกนี้หรือ”
“จะเป็นไปได้อย่างไร อาหารพวกนี้ล้วนแล้วแต่เป็นของชอบของนางทั้งสิ้น” ฟางเซี่ยเอ่ยก่อนคีบรากบัวใส่จานให้นาง
“ข้าแค่ไม่ถนัดกินร่วมกับคนนอก” ฟางอี้หรานเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาต่อหน้าเขา
“ฟางอี้หราน อย่าเสียมารยาท” ฟางฮูหยินปรามบุตรสาวจนนางต้องก้มหน้าสำนึกผิด
“...” ฟางอี้หรานยิ้มแห้งให้เว่ยเสวี่ยก่อนคีบมันใส่ปากของตน ไม่ใช่ว่านางไม่ชอบอาหารเหล่านี้ เพียงแต่รู้สึกเมื่อมองหน้าเขาแล้วพลันรู้สึกไม่อยากอาหารขึ้นมาเสียเฉย ๆ
“จริงสิท่านพ่อ พรุ่งนี้ข้าจะลงไปที่หมู่บ้านอีกครั้งหนึ่ง”
“มีสิ่งใดต้องทำหรือ เหตุใดระยะนี้เจ้าจึงลงไปบ่อยครั้ง”
“ข้า..ลืมบางสิ่งไว้ที่นั่น จะกลับไปเอามันกลับมา”
“อืม เช่นนั้นก็ให้คนไปเอาให้ก็ได้นี่ เหตุใดเจ้าต้องลงไปเอง สถานการณ์ตอนนี้ก็ใช่ว่าจะปลอดภัย”
“เช่นนั้นให้ข้าไปส่งแม่นางอี้หรานดีหรือไม่”
“เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ข้ามิอาจรบกวนแม่ทัพเว่ย ท่านเองก็มีเรื่องที่ต้องจัดการมากมาย” ฟางอี้หรานสีหน้าเรียบเฉย ใครจะอยากให้เขาไปด้วยกัน
“ท่านพ่อ ข้าสัญญาข้าจะรีบไปรีบกลับ จะไม่โอ้เอ้เช่นครั้งก่อน ๆ”
“แต่ว่า..” ฟางเซี่ยมองเว่ยเสวี่ยที่พยักหน้าส่งสัญญาณให้แก่เขา “ก็ได้แต่เจ้าต้องรักษาคำพูด”
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านพ่อ” ฟางอี้หรานรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้างที่บิดาอนุญาตโดยง่ายแต่ก็โล่งใจที่เว่ยเสวี่ยไม่ได้ติดตามไปด้วย
หลังจากอาหารเย็น ฟางอี้หรานพบว่าเว่ยเสวี่ยรอนางอยู่ระหว่างทางเช่นเดิม
นางแสร้งทำเป็นไม่สนใจและกำลังจะเดินผ่านไป
“แม่นางอี้หราน” เมื่อเขาส่งเสียงเรียกนางก็มิอาจเสียมารยาทที่จะต้องหยุดทักทาย
“เจ้าลงจากเขาเพื่อตามหาสิ่งใดหรือ” ใบหน้าดุจหยกจ้องมองนางด้วยสายตาแสนเยือกเย็น
“ข้าเพียงแต่ลืมของไว้ที่หมู่บ้าน มิได้สำคัญอันใด”
“อ้อ เช่นนั้นเองหรือ” เว่ยเสวี่ยหยิบพู่หยกชิ้นงามออกมาจากเสื้อ กำมันไว้ในมือก่อนปล่อยลงจากมือให้นางดู
“หยกของข้า!! เหตุใดจึงไปอยู่กับท่าน” ฟางอี้หรานพยายามยื่นมือเข้าไปแย่งมันมาจากเขา แต่เนื่องจากส่วนสูงของนางไม่อาจเทียบกับเขาได้ จึงทำได้เพียงเขย่งอยู่อย่างนั้น
เว่ยเสวี่ยยิ้มให้สตรีตรงหน้า “ในเมื่อเจ้าบอกเองว่าไม่ใช่ของสำคัญ เช่นนั้นข้าจะถือว่าเป็นของขวัญจากแม่นางน้อยสกุลฟางก็แล้วกัน” พูดจบเขารีบเก็บมันไว้ในอกที่เดิมก่อนเดินจากไป
ฟางอี้หรานโกรธจัดที่ของรักของนางตกไปอยู่ที่เขา แถมนางยังแย่งมันกลับมาไม่ได้
“แม่ทัพเว่ย คืนหยกมาให้ข้าเดี๋ยวนี้นะ นั่นมันของของข้า”
เว่ยเสวี่ยอมยิ้ม เขาโบกมือให้โดยไม่หันกลับไปมองนาง ปล่อยให้ฟางอี้หรานหงุดหงิดใจเช่นนั้น
“ชั่วช้ายิ่งนัก” ฟางอี้หรานทำอะไรไม่ได้ นางได้แต่เดินกลับไปที่เรือนของนาง
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ดวงอาทิตย์ยังมิทันขึ้นเหนือขอบฟ้า
ฟางอี้หรานตื่นแต่เช้าเพื่อมาพบเว่ยเสวี่ยที่เรือนปักษามาศทว่าคนของเขาแจ้งกับนางว่าเขาออกไปทำธุระข้างนอกกับบิดาของนางตั้งแต่รุ่งสาง นางจึงกลับออกมาและนั่งคิดทบทวนลำพังที่สวน
คนอย่างแม่ทัพเว่ยเสวี่ยคิดอ่านการใดย่อมไม่ธรรมดา หากนางยังดึงดันที่จะเรียกร้องมันคืนจากเขาคงเป็นเรื่องยาก การที่เขาเก็บหยกของนางไว้ย่อมต้องการข้อแลกเปลี่ยนบางอย่าง หากว่านางเจรจากับเขา ไม่แน่ว่าอาจจะได้มันคืนโดยง่าย
ฟางอี้หรานหนอฟางอี้หราน เจ้าไม่น่าสะเพร่าเช่นนี้เลย หากพี่จินเฉิงรู้เข้าคงตำหนินางที่รักษาของที่เขามอบไว้ให้ไม่ดี
นี่ก็ผ่านเวลามาเนิ่นนานหลายปี เหตุใดพวกเขาจึงไม่กลับมารับนางเสียที ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกเศร้าในใจ หรือคำสัญญานั้นเป็นเพียงแค่ลมปากของพี่ชายที่หลอกให้น้องสาวดีใจเพียงชั่วขณะหาได้จริงจังไม่ เผลอ ๆ เขาอาจจะลืมไปแล้วเสียด้วยซ้ำว่าเคยรับปากสิ่งใดกับนาง
แต่ถึงอย่างนั้นสำหรับนางมันคือสิ่งที่นางยึดถือไว้ในใจมาตลอดหลายปี
จันทราสาดแสงมายังหน้าต่างห้องของเว่ยเสวี่ย ผมดำยาวสยายออกรับกับใบหน้าคมสันเอนพิงกายอยู่เพ่งมองสิ่งของที่อยู่ในมือ หยกสีอ่อนเมื่อสะท้อนแสงจันทร์กลับสะท้อนแสงออกมาราวกับหิ่งห้อย ลวดลายสลักบนหยกช่างคุ้นตาราวกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
เว่ยเสวี่ยยกมันขึ้นมองลอดแสงจันทร์ หยกนี้มีความสำคัญอย่างไร เหตุใดนางจึงหวงแหนมันยิ่งนัก หรือมันอาจเกี่ยวข้องกับเนตรสวรรค์ของนาง
แม้ผู้คนจะร่ำลือกันว่าเนตรสวรรค์บัดนี้ได้รับการสืบทอดโดยฟางอี้หรานธิดาของสกุลฟาง แต่เขาก็ยังไม่ปักใจเชื่อว่านางจะมีพลังที่ว่านั่นจริง ๆ
ร่างกายที่ดูบอบบางจนแทบไร้เรี่ยวแรงแถมยังปราศจากทักษะการเอาตัวรอดของนาง นี่หรือคือร่างที่ครอบครองพลังวิเศษที่ว่า ช่างเป็นเรื่องตลกร้ายสิ้นดี
สกุลฟางคงหาแต่งเรื่องเพื่อพยุงบารมีให้คนนับหน้าถือตาที่เคยมีไว้เช่นนั้นกระมัง
บุรุษสกุลฟางไร้ความสามารถจนกระทั่งต้องใช้สตรีออกหน้าเพื่อสร้างสมบารมีอย่างนั้นหรือ ยิ่งคิดยิ่งน่าขันยิ่งนักที่ใครต่อใครต่างพากันปักใจเชื่อเรื่องราวงมงายเช่นนี้
ถึงอย่างไรเขาก็ต้องพิสูจน์ให้แน่ชัดก่อนที่จะตัดสินใครสักคน หากนางมีพลังที่ว่าจริง เรื่องราวก็คงผิดไปจากที่เขาคิดมากอยู่พอควร
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอยู่สองครั้ง
“นั่นใคร” เว่ยเสวี่ยหยิบกระบี่ข้างกายมาถือไว้ในทันที
“ท่านแม่ทัพ อาฉางมาแล้วขอรับ”
“ให้เข้ามาได้” เมื่อรู้ว่าเป็นอาฉาง หรือ จางจื่อฉาง ผู้ติดตามคนสนิทของเขาจึงวางกระบี่ลงที่เดิม
“ท่านแม่ทัพ ข้าน้อยได้รับคำสั่งก็รีบออกเดินทางในทันที” จางจื่อฉางคำนับพร้อมยื่นบางสิ่งให้แก่เว่ยเสวี่ย
“ลำบากเจ้าแล้วอาฉาง คืนนี้เจ้ากลับไปพักก่อนเถิด หลิวจวิน เตรียมที่พักไว้ให้แก่เจ้าแล้ว”
“ขอรับ”
เว่ยเสวี่ยกางม้วนไม้ไผ่ออกก่อนอ่านมันเงียบ ๆ ลำพัง
เทพธิดาลู่เหวินให้กำเนิดบุตรีรั่วหนิง มอบเนตรสวรรค์ถ่ายทอดให้สตรีผู้ครองสายเลือดบริสุทธิ์ทายาทลั่วเหวิน
มอบให้อย่างนั้นหรือ? เว่ยเสวี่ยสงสัยในถ้อยคำที่ปรากฏ มอบให้หาใช่ถ่ายทอดทางสายเลือดหรอกหรือ ไม่สิ ต้องเป็นทายาทลั่วเหวินเท่านั้นจึงจะได้รับมอบ
เขาวางม้วนไม้ไผ่ไว้บนโต๊ะก่อนจะล้มตัวลงนอนก่ายหน้าผาก เนตรสวรรค์สืบทอดมาตลอดจนกระทั่งหายหลังจากการสิ้นฟางอวี๋ผู้เป็นทวดของฟางอี้หราน เหตุที่สิ้นไปเพราะไร้สตรีในตระกูล หากเป็นอย่างที่เขาเข้าใจ เช่นนั้นฟางอี้หรานคือผู้สืบทอดสายตรงที่ยังไม่ได้ถูกมอบพลังวิเศษให้และตอนนี้นางเองก็ไม่ต่างจากคนธรรมดา
เว่ยเสวี่ยทดสอบพลังของนางด้วยการจัดฉากสังหารโจรที่บนภูเขา แต่ดูเหมือนนางจะไม่ได้รับรู้ถึงเหตุการณ์ล่วงหน้าแต่อย่างใด หรือแม้กระทั่งตอนที่เขาพบนางครั้งแรก ฟางอี้หรานกลับไร้ความสามารถที่จะป้องกันตัวหรือเตือนภัยตนเองให้รอดจากเงื้อมมือเขาได้
เช่นนี้ก็พอจะคาดเดาได้ว่านางเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาไม่ได้มีพลังอันใดอย่างที่ผู้คนกล่าวอ้าง สกุลฟางอาจจะใช้เรื่องเล่าเพื่อสร้างอำนาจบารมีเพียงเท่านั้น
การมาเพิ่มเติมขององครักษ์ประจำตัวเว่ยเสวี่ยไม่ทำให้ฟางอี้หรานรู้สึกดีสักเท่าไรนัก บุคคลเหล่านี้ล้วนเต็มไปด้วยรังสีอำมหิตรอบกาย ชุดดำและเกราะหนาที่ดาหน้าเข้ามาในคฤหาสน์อันแสนสงบสุข บรรยากาศช่างดูอึมครึมไปพริบตา แม้ดอกไม้ภูเขาที่ปลูกไว้ในจวนจะงดงามเพียงใดแต่ทว่าเงาทมิฬของคนเหล่านั้นกลับทำให้มันอับเฉาลงทันที
ฟางอี้หรานแทบไม่อยากออกมาพบหน้าเขา ติดที่ว่านางอยากได้หยกของนางคืนเท่านั้น
ฟางอี้หรานรู้ว่าการจะได้ของคืนจากเขาย่อมต้องมีข้อแลกเปลี่ยน ในวันนี้นางจึงตั้งใจที่จะมาเจรจากับเขา ไม่แน่ว่าหากนางพูดจาดี น้ำเสียงออดอ้อนสักหน่อย เขาอาจจะยอมคืนให้โดยง่าย
ขนมเปี๊ยะไส้กุหลาบที่นางตั้งใจทำให้เขาโดยเฉพาะถูกจัดวางในจานสวยงาม
“คุณหนูของข้าอยากขอพบท่านแม่ทัพ ไม่ทราบว่าท่านอยู่หรือไม่” ซูเจียวถือตะกร้าที่มีขนมอยู่ด้านในแสดงตัวแทนเจ้านาย
“โปรดรอสักครู่ ข้าน้อยจะไปเรียนท่านแม่ทัพให้”
หลิวจวินหายเข้าไปด้านในเพียงไม่นานแล้วจึงเชิญพวกนางเข้าไปด้านใน
เว่ยเสวี่ยนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานโดยมีบุรุษหนุ่มหน้าตางดงามอยู่ใกล้ ๆ แต่แม้ว่าจะมีหน้าตางดงามกลับมีสายตาเย็นชา ฟางอี้หรานสัมผัสได้ถึงความเยือกเย็นที่แผ่ซ่านออกมาจากกายเขา
นางทำความเคารพคนทั้งสองอย่างนอบน้อม ซูเจียวนำตะกร้าขนมส่งให้หลิวจวินก่อนที่จะถอยมาหลบอยู่ข้างกายนายของตน
“คุณหนูอี้หรานมาหาข้าถึงที่ ไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใด”
“ข้าตื่นแต่เช้าตั้งใจทำขนมมาให้ท่านลองชิม”
“คุณหนูมิต้องมากความ พวกเราเป็นทหารคุ้นเคยกับการพูดตรง ๆ เสียมากกว่า บอกมาเถิดว่าท่านต้องการอะไร”
“ข้าอยากให้ท่านคืนหยกให้แก่ข้า”
“โอ หยกของท่านอย่างนั้นหรือ” เว่ยเสวี่มองหน้านางคล้ายยิ้มเยาะ “หากข้าไม่คืนให้ จะเป็นอย่างไรหรือ”
“แม่ทัพเว่ย วันนี้ข้าตั้งใจมาพูดกับท่านดี ๆ หากท่านต้องการสิ่งใดแลกเปลี่ยนข้าก็ยินดี ขอเพียงคืนหยกให้ข้า”
เว่ยเสวี่ยวางหนังสือในมือลงก่อนจ้องมองนาง
“อย่างนั้นหรือ..”เขาหยิบยกออกมาจากด้านในเสื้อ “หยกนี่มีค่ามากเพียงนี้เชียวหรือ”
“...” ฟางอี้หรานเม้มปากแน่น ตอนนี้นางกำลังเสียเปรียบเขาอยู่หากเผลอพูดสิ่งใดออกไปอาจเพลี่ยงพล้ำมากกว่าเดิม
“เช่นนั้นข้าจะคืนให้ก็ได้ เพียงแต่เจ้าต้องมาเป็นสาวใช้ข้างกายของข้าจนกว่าข้าจะพอใจ ตกลงหรือไม่”
“ท่านแม่ทัพ ท่านกำลังหมิ่นเกียรติคุณหนูของข้าและสกุลฟางอยู่นะ” ซูเจียวรู้สึกทนไม่ได้จึงโพล่งออกมาและดึงแขนเจ้านายของตน
“คุณหนู ไปกันเถิดเจ้าค่ะ”
เว่ยเสวี่ยไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของซูเจียว เขาเอียงคอมองฟางอี้หรานด้วยสายตาเรียบเฉย
“ซูเจียว อย่าเสียมารยาท” ฟางอี้หรานปรามสาวใช้ของตน แม้จะรู้ว่านางเป็นห่วงแต่ฟางอี้หรานไม่อาจมีตัวเลือก
“หากท่านแม่ทัพรักษาคำพูด ข้ายินดีจะทำตาม เพียงแต่ข้ามีข้อแม้อยู่สามข้อ”
“ว่ามา”
“ข้อแรก เรื่องนี้จะต้องเป็นเพียงความลับของข้ากับท่าน มิอาจแพร่งพรายให้คนในสกุลฟางรู้เรื่องได้”
เวยเสวี่ยเหลือบมองนางแล้วจึงพยักหน้าตอบรับ
“ข้อสอง ข้าไม่อาจมีเวลาเล่นกับท่านได้ตลอด ดังนั้นท่านต้องคืนหยกให้ข้าภายในสองเดือน มิเช่นนั้นข้าจะถวายฎีกาถวายฮ่องเต้เรื่องที่ท่านแม่ทัพใช้อำนาจมิชอบข่มเหงรังแกข้า”
“หึ หึ” เว่ยเสวี่ยหัวเราะในลำคอ “ยังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่”
“ข้อสุดท้าย ระหว่างระยะเวลาสองเดือน ห้ามท่านล่วงเกินหรือแตะเนื้อต้องตัวข้าเด็ดขาด”
ฟังจบเว่ยเสวี่ยก็หัวเราะเสียงดังออกมา เขาจ้องมองนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า “ล่วงเกินเจ้า? คุณหนูอี้หรานช่างมั่นใจในความงามของตนยิ่งนัก”
เขาพยักหน้าส่งสัญญาณให้แก่จางจื่อฉาง ก่อนที่ชายหนุ่มจะเดินไปยืนข้างนาง
“ต่อไปจางจื่อฉางจะเป็นคนติดตามดูแลเจ้า”
“แล้วสัญญาของข้า..”
“เจ้าไม่ต้องกังวล พวกเราเป็นทหารยึดถือสัจจะเป็นนิจ ต่อไปอาฉางจะเป็นคนบอกให้เจ้ารู้หากข้าต้องการอะไร วันนี้ท่านกลับไปก่อนเถิด ข้ามีงานต้องสะสาง”
“เช่นนั้นหวังว่าท่านจะรักษาคำพูด ขอตัว” ฟางอี้หรานพูดจบก็คำนับเขาและออกไป
“อาเจียว เรื่องวันนี้อย่าให้ท่านพ่อท่านแม่รู้เชียวนะ”
“แต่ว่า..หากนายท่านรู้” ซูเจียวรู้สึกขัดใจแต่เมื่อมองหน้านายหญิงของตนก็ไม่อาจขัดคำสั่งเจ้านายได้ “ทราบแล้วเจ้าค่ะคุณหนู”