บทที่ 6
ขบวนรถม้าสกุลเยียนแล่นเข้ามาจอดเทียบยังบันไดหน้าประตูหลักของเรือนสกุลสือ เยียนอู๋ ขุนนางวัยกลางคนผู้ซึ่งรับตำแหน่งประมุขของสกุลเยียนคนปัจจุบันก้าวลงมาจากรถม้าลำแรก บ่าวคนสนิทรีบก้าวเข้าไปกางร่มให้ทันที
ตามมาด้วยเยียนหลิวหยางทายาทลำดับที่หนึ่งของสกุลเยียนก้าวลงมาจากรถม้าลำที่สอง ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคมเข้มเกินอายุซึ่งเหลืออีกเพียงสองปีก็จะเข้าพิธีสวมหมวกในมือยังถือร่มสีแดงก่ำเอาไว้
คุณชายใหญ่สกุลเยียนกางร่มสีแดงก่ำเดินตามหลังผู้เป็นน้าดูโดดเด่นขึ้นมาท่ามกลางความมืดสลัวของยามเย็นวันฝนพรำ
แขกผู้มาเยือนเรือนสกุลสือต่างเดินก้าวข้ามธรณีประตูใหญ่ของบ้านกันเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทุกคน ต่างอยู่ในความสงบเพื่อเป็นการให้เกียรติร่างไร้วิญญาณของใต้เท้าสือ
หลายคนต่างชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นคุณหนูรองตระกูลสือนั่งคุกเข่าอยู่กลางสายฝน แต่ก็มิมีใครกล้าจะเอ่ยปากอะไรขึ้นมา เช่นเดียวกับเยียนหลิวหยางที่ชะงักหยุดเดินไปจนบ่าวผู้ติดตามรีบเข้ามาสะกิดเรียก
“คุณชายใหญ่เข้าไปเคารพใต้เท้าสือเถิดขอรับ”
เยียนหลิวหยางยืนนิ่งมองไปยังร่างเล็กของสือเหิงเยว่นั่งคุกเข่านิ่งมองตรงไปยังเรือนหลัก ด้วยความสงสารระคนสนใจอย่างบอกไม่ถูก ชายหนุ่มได้แต่พยักหน้าและรีบก้าวเดินตามประมุขสกุลเยียนเข้าไปทำความเคารพของร่างใต้เท้าสือที่ภายในเรือนหลัก
สือหวังเยี่ยนที่ยืนรับแขกอยู่ด้านหน้าประตูเรือนหลักกับผู้เป็นมารดารีบก้มหน้างุดทันที เมื่อได้เห็นเสี้ยวหน้าคมของผู้อยู่ใต้ร่มสีแดงก่ำด้วยความเขินอายแต่ถึงจะออกอาการถึงเพียงนั้นคุณหนูใหญ่สกุลสือก็ไม่ได้อยู่ในสายตาของเยียนหลิวหยางแต่อย่างใด
ร่างสูงผึ่งผายของคุณชายใหญ่ตระกูลเยียนทำความเคารพใต้เท้าสือเสร็จสิ้น ก็ได้ขอตัวจากผู้เป็นน้าออกมาจากโถงพิธีการทันที
ร่มสีแดงก่ำถูกกางออกโดยมือแกร่งของผู้เป็นเจ้าของอีกครั้ง เยียนหลิวหยางเดินหลังตรงย่ำเท้าใหญ่ไปตามพื้นหินผ่านแอ่งน้ำเล็ก ๆ ฝ่าสายฝนที่เริ่มโหมกระหน่ำลงมาหนาตายิ่งขึ้น ตรงเข้าไปหาร่างบางของคนที่ยังนั่งคุกเข่าอยู่ที่เดิม ไม่คิดสนใจเสียงทัดทานของบ่าวที่รีบวิ่งเข้ามาห้ามเพราะกลัวว่าจะเกิดข้อครหาตามมาภายหลัง
“คุณชายใหญ่กลับเข้าไปร่วมพิธีเถิดขอรับ ทำแบบนี้จะไม่ดีนะขอรับ”
“เจ้ากลับไปอยู่กับท่านน้าซะเดี๋ยวข้าจะยืนรออยู่ตรงนี้”
คนตัวสูงตอบบ่าวไปด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ปรายตามองเสี้ยวหน้าของคุณหนูรองผู้ที่แม้ร่างจะเปียกโชกไปทั้งตัวก็ยังคงนั่งปักหลักอยู่บนพื้นที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำฝนได้ ก่อนจะหยุดยืนปักหลักอยู่เคียงข้างกายบางนั้น พร้อมกับยื่นร่มไปกางให้กับอีกฝ่ายด้วย ท่ามกลางสายตาตกใจของบ่าวสกุลสือที่อยู่บริเวณนั้นเป็นอย่างมาก
“คะ คุณชายใหญ่”
บ่าวตระกูลเยียนถึงกับพูดไม่ออก ครางชื่ออีกฝ่ายออกมาเสียงแผ่วทำอะไรไม่ถูก ได้แต่หันรีหันขวางอยู่ตรงนั้น เมื่อคุณชายใหญ่ของเขาดันทำสิ่งที่ไม่ควรทำลงไปเสียแล้ว แต่ก็ทำได้เพียงก้มหน้างุดแล้วรีบถอยฉากจากตรงนั้นทันทีเมื่อสบเข้ากับดวงตาคมที่เริ่มจะฉายแววไม่พอใจขึ้นมา
ร่างสูงกำยำของเยียนหลิวหยางยืนกางร่มแดงให้กับคุณหนูรองสือ สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนที่ได้เห็น ร้อนไปจนถึงอันผิงเปาฮูหยินใหญ่สกุลสือและบุตรสาวที่ไม่สบอารมณ์เป็นที่สุด
“ทะ ท่านแม่ ทำอย่างไรดีเจ้าคะ”
สือหวังเยี่ยนกระซิบถามผู้เป็นมารดาเสียงเครียด ใบหน้างามงอง้ำเพราะภาพเยียนหลิวหยางกางร่มให้น้องสาวชั้นต่ำของตัวเองนั้นช่างบาดตาบาดใจนางยิ่งนัก
“เจ้าอยู่เฉย ๆ ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น เดี๋ยวใต้เท้าเยียนก็จัดการเอง”
ฮูหยินใหญ่สกุลสือพยายามเก็บความคับข้องใจไว้มิดแสร้งตีหน้าเศร้าต่อไปอย่างสุดความสามารถ ถึงแม้ว่าเวลานี้ภายในใจจะเดือดดาลราวกับน้ำร้อนก็มิปาน