บทที่ 5
ฮูหยินใหญ่สกุลสือ อันผิงเปา แต่งกายในชุดผ้าดิบสีขาวขุ่นเพื่อไว้ทุกข์ให้กับผู้เป็นสามีที่ได้จากไปด้วยโรคไข้ป่าอย่างที่ทุกคนเข้าใจกัน ใบหน้าอ่อนเยาว์กว่าวัยซีดเผือดไร้สีเลือดต่างไปจากวันปกติ ดวงตาแดงก่ำยืนรับแขกอยู่ด้านหน้าเรือนหลักอันเป็นสถานที่จัดงานศพคู่กับสือหวังเยี่ยนผู้เป็นบุตรสาว
คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายแล้วที่จะมีพิธีไว้ทุกข์ให้กับใต้เท้าสือผู้เป็นสามี ในใจของอันผิงเปาที่นึกหวั่นใจก็ได้แต่ภาวนาขอไม่ให้มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นเสียก่อน
แม้ว่าอันผิงเปาจะมั่นใจมากว่าไม่มีใครเห็นสิ่งที่นางได้ทำลงไปอย่างแน่นอนแต่ก็นึกหวั่นใจไม่ได้จริง ๆ
“ฮูหยินใหญ่เจ้าคะ คุณหนูรองออกมาจากเรือนหลันฮวาแล้วเจ้าค่ะ”
บ่าวรับใช้คนหนึ่งในชุดไว้ทุกข์เช่นกัน เดินหน้าเครียดเข้ามากระซิบรายงานความเคลื่อนไหวของคุณหนูรองหลังจากตนได้รับคำสั่งให้จับตามองเจ้าของเรือนหลันฮวาเอาไว้
คนฟังถึงกับคิ้วกระตุก ดวงตาเรียวรีฉายแวววับด้วยความไม่พอใจ แต่ก็ปรับสีหน้าให้กลับมาทุกข์ตรมทันทีที่รู้ตัวไม่ทันให้แขกผู้มาร่วมงานได้สังเกตเห็น
“จับตาดูนางไว้อย่าให้มาวุ่นวายในงานล่ะ”
“เจ้าค่ะฮูหยินใหญ่”
เสียงแหลมกระซิบสั่งการอีกฝ่ายด้วยความเย็นชา ดวงตาเรียวรีฉายแววคาดโทษทำเอาบ่าวถึงกับเข่าอ่อนรีบรับคำแล้วลนลานแยกออกไปทันที
“คุณหนูรองเจ้าคะ เข้าไปรออยู่ที่ด้านในเรือนหลันฮวาเถิดเจ้าค่ะ”
เมื่อเดินเลี้ยวโค้งมาแล้วเห็นว่าบัดนี้อีกฝ่ายปักหลักนั่งคุกเข่าอยู่ที่สวนกลางบ้านหันหน้าไปทางเรือนหลักบ่าวหญิงคนดังกล่าวที่ได้รับการกำชับจากฮูหยินใหญ่ก็รีบวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหาคุณหนูรองทันที
คนฟังได้ยินแบบนั้นก็ไม่คิดสนใจแต่อย่างใดยังคงนั่งคุกเข่าอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบงัน ไม่พูดอะไรออกมาไม่ว่าบ่าวคนไหนเดินเข้ามาเกลี้ยกล่อมก็ตาม
สือเหิงเยว่ปักหลักนั่งคุกเข่าอยู่ตรงนั้น แม้ว่าสายฝนจะเริ่มโปรยปรายลงมานางก็ไม่คิดจะยอมแพ้
ใบหน้าขาวดูน่ารักสมวัยแทบไม่ผิดเพี้ยนจากฮูหยินรองตระกูลสือผู้เป็นมารดา ไม่แสดงอารมณ์อะไรออกมามีเพียงสายตาที่แน่วแน่มองตรงไปทางเรือนหลักเท่านั้น
“คุณหนูฝนตกแล้วเจ้าค่ะ ระ เรากลับเข้าเรือนกันเถิดนะเจ้าคะ”
ร่างท้วมของแม่นมจูวิ่งตากฝนเข้ามาเกลี้ยกล่อมเจ้านายของตัวเองอีกครั้งด้วยความสงสารเป็นที่สุด เสียงนั้นสั่นเครือนัยน์ตาก็แดงก่ำเพราะตอนนี้กลั้นน้ำตาไว้แทบไม่ไหว
คุณหนูของแม่นมจูไม่ตอบแต่ ยังคงเลือกที่จะนั่งนิ่งต่อไปด้วยใจมุ่งมั่น จนฝ่ายขอร้องต้องยอมยกธงขาวถอยกลับไปยืนที่ใต้ชายคาเสียเอง เมื่อสั่งเกตเห็นว่าคนของฮูหยินใหญ่กำลังเดินตรงมาทางนี้
“คุณหนูรองลุกขึ้นเถิดเจ้าค่ะ”
แม้น้ำเสียงของบ่าวคนนั้นจะเย็นชา แต่สือเหิงเยว่ก็หาได้สนใจไม่เด็กสาวยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติง ทำหูทวนลม ถึงแม้ว่าตอนนี้ร่างกายของตัวเองจะเปียกโชกไปทั้งร่างแล้วก็ตาม
บ่าวคนนั้นรู้ดีว่ากับคุณหนูรองแล้วการพูดเซ้าซี้ไปก็ไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด จึงหมุนกายเดินหนีกลับไปรายงานเจ้านายตัวเอง
ยิ่งใกล้ถึงกำหนดไว้ทุกข์ บรรดาแขกเหรื่อที่รู้จักใต้เท้าสือไม่ว่าจะเป็นบรรดาขุนนางในวังนอกวัง พ่อค้า หรือแม้แต่ชาวบ้านผู้มีอันจะกินก็ต่างมาร่วมงานส่งวิญญาณกันอย่างเนืองแน่น
โดยที่สายฝนจะเทลงมาอย่างไม่ขาดสายก็ตาม ภาพคุณหนูรองสือวัยสิบขวบปี นั่งคุกเข่าตากฝนอยู่กลางลานของสวนกลางบ้านตระกูลสือ ล้วนอยู่ในสายตาของแขกผู้มาร่วมงานทั้งสิ้น แต่ก็ทำได้เพียงแต่มองผ่านไป ด้วยความสงสารเท่านั้นเนื่องจากไม่มีใครกล้ายุ่งกับเรื่องในบ้านของผู้อื่น