บทที่ 4
แม่นมจูเองแม้จะไม่รู้แน่ชัดว่าอีกฝ่ายไปเจอเข้ากับอะไรมาแต่เชื่อว่าคงไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน หญิงวัยกลางคนผู้นี้ติดตามฮูหยินรองเข้ามาอยู่เรือนสกุลสือเมื่อสิบปีก่อน เดินปรี่เข้ามานั่งกอดปลอบเด็กหญิงตัวน้อยที่ยังนั่งร้องไห้ด้วยความสงสารจับใจ
นางเลี้ยงคุณหนูรองมาตั้งแต่ยังแบเบาะผ่านเรื่องราวต่าง ๆ มาด้วยกันก็มาก ไม่เคยจะได้เห็นคุณหนูร้องไห้แบบนี้สักครั้ง นอกเสียจากตอนที่ฮูหยินรองจากไป เห็นทีว่าครั้งนี้คงจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในจวนสกุลสืออีกเป็นแน่
เสียงร้องไห้ดังระงมแว่วออกมาจากเรือนหลักพร้อมกับเสียงโวยวายของฮูหยินใหญ่แข่งกับเสียงสายฝน ทำเอาร่างเล็กในอ้อมกอดของแม่นมจูตัวแข็งทื่อ
“ใต้เท้าสือสิ้นแล้ว ฮือ ใต้เท้าสิ้นแล้ว”
ตามมาด้วยเสียงบ่าวตะโกนกันลั่นจวน คลอไปกับเสียงร้องไห้ที่ดังระงมแทบแยกไม่ออกว่าเสียงใครเป็นเสียงใคร
หลังจากสิ้นบุญใต้เท้าสือระหว่างนั้นในจวนก็มีการเตรียมงานศพของใต้เท้าสือ โดยคุณหนูรองสือถูกสั่งให้อยู่แต่ในเรือนเท่านั้นในตามคาด บรรยากาศในจวนเป็นไปด้วยความเศร้าสร้อยไม่ต่างไปจากด้านในเรือนหลันฮวาเอง
บัดนี้บนใบหน้าของสือเหิงเยว่ไม่มีคราบน้ำตาหลงเหลืออยู่อีกแล้ว เหลือเพียงแต่นัยน์ตากลมโตที่แดงก่ำพอกันกับปลายจมูกเชิ่ดรั้น เด็กหญิงนั่งนิ่งอยู่ที่โต๊ะหนังสือแทบไม่ขยับเขยื้อนไปไหน
“คุณหนูรอง คุณหนูเจ้าคะ”
แม่นมจูยกถาดไม้ใส่ถ้วยน้ำขิงมาวางให้อีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วงเพราะรู้ดีว่าข้าวสักเม็ดคงยังไม่ถึงท้องเจ้านายของนางเลยด้วยซ้ำเมื่อเหลือบมองถาดสำรับที่วางยู่บนโต๊ะอีกด้าน
“มีอะไรหรือนมจู ข้าน่ะอยากไปเคารพท่านพ่อเป็นครั้งสุดท้ายที่สุด”
เสียงหวานครางแผ่วอย่างสิ้นหวัง รู้สถานะตัวเองดีว่าไม่อาจย่างเท้าเข้าไปเหยียบในงานศพของผู้เป็นบิดาได้เป็นแน่
ทั้งสองคนเงียบกันไปด้วยความเศร้าใจ เหลือเพียงเสียงหยดฝนกระทบหลังคาเรือนดังลอดเข้ามาแทน