บทที่ 3
“เหอะ ทำตัวน่าสงสารเรียกร้องความสนใจสิไม่ว่า”
สือหวังเยี่ยน คุณหนูใหญ่ตระกูลสือกัดฟันพูดขึ้นมาด้วยความไม่พอใจเมื่อยังมองไปเห็นแผ่นหลังบางของน้องสาวต่างมารดานั่งที่เดิม ขณะเดินกระแทกเท้าออกจากหอตำราเมื่อชั้นเรียนเสร็จสิ้นไป
โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าเยียนหลิวหยางที่เดินตามมาไม่ห่างมากนักได้ยินคำพูดแสนน่าชังนั้นเต็มสองหูจนอดคิดขึ้นมาในใจไม่ได้
“นางจะน่าสงสารก็เพราะมีพี่สาวแบบนี้แหละ”
หยาดฝนกระทบเข้ากับหลังคาเรือนเสียงดังสนั่น สลับหนักเบาหลังจากฤดูฝนได้มาเยือนอย่างจริงจัง น้ำท่วมขังตามพื้นที่ปูด้วยอิฐดินเผาก้อนไม่ใหญ่ไม่เล็กในบ้านสกุลสือหลายแห่ง
สือเหิงเยว่วัยสิบขวบปีใบหน้าซีดเผือดกว่าที่เคย รีบร้อนเดินจ้ำออกมาจากทางด้านหลังเรือนใหญ่ ดวงตาคู่สวยฉายแววตระหนกอย่างชัดเจน
ตอนนี้ใบหูทั้งสองข้างของเด็กสาวอื้ออึงไปหมด สองมือเล็กกำชายแขนเสื้อของตัวเองไว้แน่นราวกับจะหาที่ยึดจนขึ้นข้อขาว ท่าทางประหลาดนั้นทำเอาคนเห็นอย่างแม่นมจูแปลกใจมากเพราะไม่เคยเห็นมาก่อน
“คุณหนูรอง คุณหนูเจ้าคะ”
เฮือก!
คนตัวเปียกโชกสะดุ้งสุดตัวได้สติขึ้นมาบ้าง หลังจากมีใครบางคนเดินกางร่มมาคว้าแขนของนางเอาไว้
“นะ นมจู ฮึก”
เสียงหวานของเด็กสาวสั่นเครือไม่ต่างจากกายบางที่ตอนนี้กำลังสั่นเทาราวกับลูกนกตกน้ำ
“คุณหนูเป็นอะไรเจ้าคะ มาเจ้าค่ะ เข้ามาในเรือนก่อน”
แม่นมจูที่ผ่านโลกมามากมองปราดเดียวก็รู้ว่าอีกฝ่ายขวัญเสียหนักจึงรีบกางร่มพาเดินเข้าไปภายในเรือนหลันฮวาทันที โดยที่ไม่ลืมมองซ้ายมองขวาก่อนปิดประตูเรือน
“ฮะ ฮึก อึก ทะ ท่านพ่อ”
พูดได้เพียงเท่านั้นสือเหิงเยว่ก็ทรุดตัวลงนั่งบนพื้นปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้มตัวเองอยู่อย่างนั้น แม้ว่านางจะเสียใจมากแค่ไหนกับสิ่งที่เห็น แต่สือเหิงเยว่ก็ไม่ได้ฟูมฟายออกมาทำเพียงแต่นั่งร้องไห้เงียบ ๆ เท่านั้น ซึ่งแม้แต่เสียงสะอื้นก็ยังไม่เล็ดรอดออกมาจากริมฝีปากบางให้แม่นมจูได้ยิน