บทที่ 1 เจอกันครั้งที่3…เธอก็บอกว่าเธอเป็นเมียผม !! 5
“ผมไม่ขอโทษ ผมงงไปหมดแล้วนะ ผมไปมีเมียตอนไหน จำไม่ได้”
“ก็ตอนนั้นพี่ชาเมานี่คะ ปู้ยี้ปู้ยำเมยังไม่พอ ยังโยนเงินให้เมแค่ห้าร้อยบาท ดูถูกกันเกินไปแล้วนะ ตอนหวังได้ตัวเมก็บอกว่าเมสวยปานนางฟ้า น่ารักน่าใคร่น่ากอด แต่พอเสร็จสมอารมณ์หมายก็ทิ้งเงินไว้ให้แค่นั้น” ว่าพลาง หยาดน้ำตาก็หยดลงจากดวงตาคู่สวยของหญิงสาว เล่นเอาคุณวิศาลสุดแสนจะเห็นใจว่าที่ลูกสะใภ้คนงามยิ่งนัก จึงหันไปดุลูกชายอีกครั้ง
“นี่แกเลวถึงขนาดจำเมียตัวเองไม่ได้เชียวเรอะ!”
“แต่พ่อครับ…” เขาอ้าปากจะอธิบาย แต่ก็เปลี่ยนใจ… ดวงตาคู่คมตวัดฉับไปทางเมธาวีที่นั่งตีหน้าเศร้า เล่าเรื่องเท็จอยู่ข้างๆเตียง พร้อมชี้หน้าเธออย่างไม่พอใจ
“ผมมั่นใจว่าไม่เคยบอกว่าอยากกอดผู้หญิงอกไข่ดาวอย่างคุณ ถึงตอนนั้นผมจะเมา ผมก็ไม่น่าจะพูดจาในสิ่งที่มันตรงข้ามกับความจริงได้มากขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้ที่ผมจะบอกว่าคุณสวยอย่างกับนางฟ้า…แค่คิดก็ขนลุกแล้วล่ะ”
หญิงสาวแทบจะร้องกรี๊ดด้วยความแสบร้อนในน้ำคำหยามหมิ่นของเขา ก้มมองหน้าอกตัวเองเล็กน้อยก่อนจะยืดอกขึ้นให้เขาเห็นชัดๆว่า…อกเธอไม่ได้เหมือนไข่ดาวสักหน่อย
“เบ่งเท่าไหร่มันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมาหรอก ปลงๆแล้วยอมรับความจริงซะบ้าง ออกไปจากบ้านผมได้แล้ว” พูดด้วยเสียงเหนื่อยๆ พลางบัดมือพึ่บพั่บเป็นเชิงไล่กลายๆ ก่อนจะขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นเมื่อผู้เป็นพ่อชี้นิ้วใส่หน้าเขาอย่างโมโห
“หยุด แกเลิกไล่หนูเมได้แล้ว ยังไงพ่อก็จะให้หนูเมอยู่ที่นี่ด้วย และพอหนูเมคุ้นเคยกับที่นี่แล้ว พ่อจะจัดงานแต่งงานให้ หลานของพ่อจะได้ไม่ต้องอายคนอื่นเขา”
“ไม่ได้นะพ่อ แต่งงานอะไรกัน” เสียงทุ้มโวยวายลั่น พลาง ถอนหายใจเฮือกอย่างหงุดหงิด อยู่บริษัททำงานก็เครียดมากพอแล้ว กลับมาบ้านยังจะโดนจับแต่งงานกับผู้หญิงที่เพิ่งเจอหน้าวันนี้อีก
“เฮ้อ…” คุณวิศาลระบายลมหายใจออกทางปลายจมูกแผ่วๆ ดวงตาทั้งสองเหม่อมองไปทางเบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมาย พลางพูดด้วยเสียงซึมๆ “บ้านเรามันหม่นหมองมานานแล้วชา นับตั้งแต่คู่หมั้นแกหายตัวไป บ้านนี้ก็เหมือนเต็มไปด้วยเมฆหมอกแห่งการสูญเสีย แกเองก็มุมานะทำแต่งานเพื่อให้ลืมเรื่องราวร้ายๆ พ่อเองก็เจ็บป่วยไม่หายทุกอย่างในบ้านล้วนขาดชีวิตชีวาจนผู้คนหาว่าคฤหาสน์สิงห์ดำน่ากลัวจนไม่กล้าเข้าใกล้กันหมดแล้ว”
“ก็ดีแล้วนี่ครับพ่อ มีแต่คนกลัวบ้านเราก็ดีแล้ว จะได้ไม่มีใครกล้ามายุ่มย่ามในชีวิตส่วนตัวของเรา สบายใจดีออก” ชายหนุ่มพูดขัด ทว่าชายชรากลับส่ายหน้าอย่างช้าๆ
“แกคงไม่รู้ตัวว่ารอยยิ้มได้ตายจากใบหน้าแกนานมากแล้วนะชา สีหน้าที่ไร้อารมณ์นั่นมันทำให้พ่อรู้ว่าลึกๆแล้วแกยังเสียใจเรื่องคู่หมั้นไม่หาย พ่อไม่อยากเห็นแกมีสภาพเหมือนหุ่นยนต์ที่ไม่มีความรู้สึก แต่เมื่อครู่นี้ที่เห็นแกเถียงกับหนูเม ทำให้พ่อรู้ว่าแกเองก็ยังมีความรู้สึกโกรธ ไม่พอใจอยู่บ้าง ไม่ใช่ความรู้สึกตายด้านอย่างที่ใครๆคิด”
“โธ่ พ่อครับ ความรู้สึกตายด้านอะไร ผมแค่ทำแต่งานมากไปหน่อย หน้าเลยเครียดๆ พ่อก็อย่าคิดมากสิครับ”
“ถ้าไม่อยากให้พ่อคิดมาก แกก็แต่งงานกับหนูเมสิ เผื่อบ้านนี้จะสดใสขึ้นบ้าง” คุณวิศาลวกกลับมาที่เรื่องเดิมอีกครั้ง เล่นเอาอารมณ์ที่เริ่มเย็นลงของบุตรชายกลับมาตึงเครียดเหมือนเก่า
“ยัยนี่เป็นสิบแปดมงกุฎ จะให้ผมแต่งด้วยได้ไง”
“พ่อชักจะทนคำพูดของแกไม่ไหวแล้วนะ หนูเมกำลังมีหลานให้พ่อ เมื่อคลอดเด็กออกมา หนูเมยินดีจะพิสูจน์ดีเอ็นเอว่าใช่ลูกของแกแน่หรือเปล่า เป็นลูกผู้ชาย ถ้ากล้าทำก็ต้องกล้ารับสิวะ แมนๆหน่อย”
“แต่ว่า…กว่ายัยนี่จะคลอดลูก ผมคงต้องแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้ไปก่อน นี่พ่อคิดอะไรอยู่กันแน่ ทำไมถึงได้เชื่อคนอื่นมากกว่าลูกของตัวเอง” ชายหนุ่มตัดพ้อกึ่งๆไม่พอใจ
“อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้เลยค่ะคุณชา” จิราเดินมาแตะที่แขนเขาเบาๆเพื่อให้ชายหนุ่มใจเย็นลง
“คุณจิราก็ดูพ่อผมสิครับ” เสียงห้าวๆส่อได้ชัดถึงความหงุดหงิด ก่อนที่ตาคมจะตวัดมาทางร่างระหงที่นั่งหน้าเศร้าอีกครั้ง
ผู้หญิงคนนี้…คือสิบแปดมงกุฎชัดๆ เธอต้องการอะไรจากเขากันแน่ !
หัวสมองเขาเริ่มมึนตึ้บ ความเครียดที่สะสมมาจากงานในบริษัทรวมทั้งเหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ขมับทั้งสองข้างพากันเต้นตุบๆราวจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ
“ทำไมทำหน้าดุอย่างนั้นล่ะตัวเอง” เมธาวีหันมาทำตาแป๋วใส่ชายหนุ่ม และนั่นก็ทำให้ความอดทนของเขาสิ้นสุดลง เท้าใหญ่ก้าวตรงไปหาร่างบางก่อนจะกระชากข้อมือเล็กอย่างแรง
“นั่นแกจะพาหนูเมไปไหน อย่ารุนแรงนักสิ เขาท้องอยู่นะ” คุณวิศาลร้องท้วงอย่างนึกเป็นห่วงหญิงสาว ในขณะที่ชยากรหลุบเปลือกตาลงมองหน้าท้องแบนราบของเธอชั่วแว่บหนึ่งก่อนจะพูดเสียงลอดไรฟันว่า
“ยัยนี่โกหก!” พูดจบ เขาก็ลากเธอออกไปจากห้องทันทีท่ามกลางสายตาที่แสดงออกได้ชัดถึงความกังวลของคุณวิศาลและแม่บ้านสาว !!