บท
ตั้งค่า

บทที่ 3 คนผู้นี้มีความชอบวิตถาร

คนผู้นี้มีความชอบวิตถาร

“อื้อ!” กุ้ยฟางร้องครางด้วยความตระหนกเมื่อไม่อาจขยับร่างได้ ครั้นก้มลงเห็นแขนขาถูกมัดด้วยแถบผ้า เตียงกว้างไม่คุ้นตาและห้องที่ไม่คุ้นเคย

ความคิดแรกที่แวบเข้ามาคือนางถูกจับตัว ริมฝีปากเล็กเกือบขยับร้องขอความช่วยเหลือ สติที่เพิ่งกลับมาค่อยร้องเตือนว่านางอยู่ในห้องหอ ตำหนักกลางแห่งจวนฉินอ๋อง

แล้วผู้ใดมัดนางไว้กัน!

“ตื่นแล้วรึ” น้ำเสียงราบเรียบ ใบหน้างดงามราวปั้นสลักของเขาเฉยชาปราศจากความตื่นตระหนกที่เห็นภรรยาถูกมัดเป็นหมูอยู่กลางเตียง

หญิงสาวลอบประเมินสถานการณ์ตรงหน้า หรือคนผู้นี้มีความชอบวิตถาร เขาจะมัดนางแล้วค่อยๆ...ลงมือข่มขืน! คิดได้ดังนี้นางก็เริ่มแกะปมเชือกอย่างลนลาน ทว่ายิ่งแกะกลับยิ่งพัน ยิ่งเขาก้าวเข้าหา นางก็ยิ่งถอยหนี

“อยู่นิ่งๆ เราจะแกะให้” น้ำเสียงของเขามิได้เจือแววสงสาร คล้ายกำลังพูดเรื่องทิวทัศน์และอากาศในวันนี้ “เมื่อคืนเจ้านอนดิ้นมาก ทั้งถีบทั้งเตะเรา” เขาแกะปมแถบผ้าที่ใช้รัดผ้าม่านหน้าเตียงซึ่งมิได้มัดแน่นอย่างที่นางจินตนาการ “เราไม่รู้จะทำเช่นไร จึงได้แต่มัดเจ้าเอาไว้”

กุ้ยฟางกลอกตา แอบจดแต้มแค้นไว้ในใจ ใช่ว่านางมิอาจจับกระแสความรื่นรมย์ในน้ำเสียง อ๋องหน้าหนา เจ้ากล้ามัดข้า!

เมื่อช่วยนางคลายปมที่มัดข้อเท้าเสร็จ เขาก็ขยับลงไปยืนรออยู่หน้าเตียง “ต้องเข้าเฝ้าถวายพระพรแต่เช้า เจ้าเร่งอาบน้ำแต่งตัวเถอะ เราจะไปรอที่ห้องหนังสือ”

“เพคะ” นางกระแทกเสียงใส่แล้วจึงเรียกนางกำนัลด้านนอกเข้ามาปรนนิบัติ

จี้หนิงซึ่งเป็นสาวใช้ข้างกายจากบ้านเดิมของฉินหวางเฟยเร่งก้าวเข้าในห้องพร้อมกับนางกำนัลอีกสองสามคน ในเมื่อยังไม่รู้ว่าหวางเฟยจะเป็นที่โปรดปรานหรือไม่ พวกนางกำนัลและขันทีในจวนจึงต่างรั้งรอดูท่าที ปรนนิบัติรับใช้เจ้านายคนใหม่ด้วยความประณีตระมัดระวัง แม้จะเคยได้ยินได้ฟังข่าวลือในแง่ร้ายของอดีตมู่กุ้ยฟางผู้นี้ก็ตามที

พวกเขาใช้เวลาไม่นานก็ช่วยหวางเฟยแต่งตัวจนเสร็จเรียบร้อย ชุดวันนี้ฉินอ๋องทรงเตรียมไว้ให้หวางเฟย เป็นกระโปรงหรูฉวิน14 ช่วงเอวลงมาจับจีบแล้วค่อยปล่อยชายสีขาวลากยาวปักลวดลายเหมยฮวาสีแดงฉานดอกเล็กๆ ลวดลายประณีตงดงามราวกับดอกไม้จริงๆ กำลังโปรยลงมา พลิ้วไหวไปตามจังหวะก้าวเดิน รองเท้าผ้าสีแดงสดปักลายเมฆมงคลสีขาวห้อยมุกช่างงดงามเข้ากับชุด นับว่าฉินอ๋องใส่พระทัยต่อหวางเฟยยิ่งนัก

กุ้ยฟางมิได้ใส่ใจความคิดของเหล่านางกำนัล นางเพียงรับรู้ว่าบุรุษผู้นี้คงกลัวนางแต่งชุดไม่เข้าท่าไปเข้าเฝ้าแล้วคงทำให้เขาเสียหน้าไปด้วย กวาดตามองดูชุดและเครื่องประดับ คำนวณราคาในใจแล้วเห็นว่าตนได้กำไรจึงไม่เอ่ยปากทักท้วง ยอมให้นางกำนัลเกล้าผมทรงเมฆคล้อยแม้ว่าตนจะไม่ชมชอบเท่าใดด้วยความยุ่งยากทั้งตอนเกล้าและตอนแกะมวย

“ไม่ต้อง” นางดันมือนางกำนัลที่กำลังจะแขวนตุ้มสังวาลมุกกลางหน้าผาก

“ขอประทานอภัยเพคะ” นางกำนัลผู้นั้นลนลานก้มคำนับ

“อยู่กับเรามิต้องเกร็งถึงเพียงนั้น หากทำผิดเพียงครั้งแล้วลงโทษ ผู้ใดจะเต็มใจมารับใช้เรา” กุ้ยฟางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบช้าเจือแววเกียจคร้าน “ความจริงสังวาลอันนี้ก็งามอยู่ เพียงแต่เรามองว่า วาดดอกเหมยกลางหน้าผากจะเข้ากันกับชุดมากกว่า เร่งลงมือเถอะ อย่าให้ท่านอ๋องทรงคอยนาน”

นางกำนัลรับใช้ค่อยกล้าผ่อนลมหายใจ เมื่อแต้มชาดวาดเหมยฮวากลางหน้าผาก ดวงหน้างามแฉล้มของหวางเฟยก็ทำให้แต่ละคนลอบอุทานในใจ

ฉินอ๋องแม้ท่าทางภายนอกจะนิ่งสงบ แต่ภายในใจกลับลอบเป็นกังวลอยู่บ้าง เกรงว่าหวางเฟยของตนจะทำสิ่งใดผิดแผกไปจากที่เขาให้บ่าวเตรียมไว้ จนเมื่อร่างระหงถูกนางกำนัลประคองออกมาจากห้อง แสงแดดอ่อนๆ ส่องกระทบให้เห็นร่างบางในชุดที่เขาเลือกให้ ผมดำขลับปักปิ่นมุกห้อยพู่ระย้าขยับแกว่งไกวเล็กน้อยยามนางก้าวเดินนั้นทำให้คนมองรู้สึกคันหัวใจพิกล เมื่อไล่สายตาไปยังดวงหน้างาม หัวคิ้วคมจึงกดลงเล็กน้อยเมื่อไม่เห็นนางห้อยสังวาลมุกที่เขาเตรียมไว้กลางหน้าผาก แต่ดอกเหมยแดงตรงหว่างคิ้วดอกนี้กลับส่งให้ใบหน้าของนางงามเฉิดฉัน เข้ากับชุดที่นางสวมใส่ยิ่งนัก

อย่างน้อยนางก็ยังรู้จักแต่งตัว เขาลอบผ่อนลมหายใจ

“ทำให้ท่านอ๋องต้องรอนาน หม่อมฉันต้องขอพระราชทานอภัยโทษแล้วเพคะ” เมื่ออยู่ท่ามกลางคนมากมาย แม้นางจะจดแต้มแค้นไว้ในใจ แต่อย่างไรก็ไม่อาจหักหน้าทั้งเขาและตระกูลเก่าของตนได้

“หากรอแล้วจะได้พบยอดหญิงสะคราญโฉมเช่นเจ้า ให้เรารอนานกว่านี้ก็ไม่เป็นไร”

คำพูดนี้กล่าวได้ดีนัก นางลอบชมเขาในใจ แม้จะเอ่ยถึงเรื่องการแต่งตัว แต่ฉินอ๋องยังแฝงถ้อยคำสื่อถึงเรื่องที่พระองค์ไม่ทรงแต่งผู้ใดเข้าเรือนก็เพราะรอที่จะพบนาง

นับว่าคนในราชวงศ์ไม่มีผู้ใดธรรมดาจริงๆ

นางเดินเคียงเขาไปขึ้นเกี้ยวที่เตรียมรอไว้ สองร่างสูงสง่าและอ่อนหวาน ช่างทำให้ผู้คนที่มองตามรู้สึกตกตะลึงนัก

จวนฉินอ๋องตั้งอยู่ไม่ไกลพระราชวัง เมื่อเทียบกับวังบูรพา15 ของไท่จื่อยังนับว่าใกล้กว่า เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้มีพระทัยเอนเอียงให้องค์ชายเจ็ดอยู่เดิม ดังนั้นการที่จู่ๆ องค์ชายสี่กลับเป็นผู้คว้าตำแหน่งรัชทายาทจึงเป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย แม้องค์ไท่จื่อจะเป็นชายชาตินักรบ ออกศึกครั้งใดมิเคยพ่าย แต่องค์ชายเจ็ดก็มิด้อยกว่าใครในเรื่องการบริหารบ้านเมือง หลายสิ่งที่พระองค์เสนอมักใช้ได้จริงและทำให้บ้านเมืองเกิดการพัฒนา เช่นการเก็บภาษีการค้าเกลือแบบใหม่ ที่ทำให้ราชสำนักสามารถเก็บกำไรได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยมากขึ้น หรือการขุดคลองเชื่อมระหว่างเมืองหลวงกับหัวเมืองต่างๆ ไปจนถึงปากแม่น้ำ นโยบายที่ถูกคัดค้านจากเหล่าขุนนางในช่วงแรก แต่เมื่อพระองค์ลงแรงร่วมมือกับกรมโยธา และฮ่องเต้ทรงสนับสนุน ใช้เวลาเพียงสามปีครึ่ง คูคลองที่ขุดเชื่อมกับแม่น้ำบางสายก็กลายเป็นคลองที่ยาวจากเมืองหลวงจดทะเล ช่วยให้การขนส่งต่างๆ สะดวกและรวดเร็วขึ้น แน่นอนว่าเรื่องนี้ย่อมทำให้คนบางกลุ่มเสียประโยชน์ โดยเฉพาะพวกที่มีกิจการคอกม้าเช่นองค์ชายสามหรือจ้าวอ๋อง

ทั้งๆ ที่มีข่าวว่าฉินอ๋องทรงหยิ่งยโส ไม่เห็นผู้ใดในสายตา แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าปฏิเสธว่าพระองค์เป็นบุรุษที่มากความสามารถ น่าเสียดายที่เพราะผิดหวังในรัก ช่วงสองปีมานี้จึงทรงลดบทบาทเกี่ยวกับงานราชการลง ปล่อยให้องค์ไท่จื่อที่กลับมาจากกองทัพได้แสดงฝีพระหัตถ์

ความคิดของกุ้ยฟางหยุดลงเมื่อรถม้ามาหยุดอยู่ที่ประตูวังชั้นใน เรื่องเหล่านี้เป็นบิดาและพี่ชายของนางเล่าให้ฟัง รวมถึงขั้วอำนาจทางการเมืองต่างๆ ก่อนจะแต่งเข้าจวนอ๋อง ด้วยรู้ว่านางมิเคยสนใจเรื่องใดนอกจากสิ่งที่ตนชอบ จึงต้องเร่งฝังความรู้ในสมองเป็นการด่วน ทั้งยังกำชับให้จี้หนิงหมั่นคอยสอดส่อง หาข่าวทั้งในจวนอ๋องและด้านนอกอย่าได้ขาด หย่งจงโหวมั่นใจว่าบุตรสาวจะสามารถนำข่าวต่างๆ มาปะติดปะต่อและวางแผนเอาตัวรอดได้

“ทูลฉินอ๋อง ฉินหวางเฟย โปรดรอสักครู่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทกำลังเสด็จมา” ขันทีสูงวัยผู้หนึ่งเดินออกมารับทั้งคู่ กุ้ยฟางที่แม้ไม่นึกสนใจผู้ใดแต่อย่างน้อยนางก็ยังสนใจชีวิตน้อยๆ ของตน เกิดวันหนึ่งบุรุษข้างกายนึกอยากแย่งชิงบัลลังก์ขึ้นมา หากชนะนางก็รอด แต่ที่จะลำบากคือเขาปราชัย เช่นนั้นนางก็ควรต้องดูทิศทางลมไว้บ้าง

เหวินหลางพยักหน้าเบาๆ ทั่วร่างคล้ายแผ่กลิ่นอายสูงศักดิ์และความหยิ่งยโสจางๆ ทำให้ร่างบางที่เดินตามข้างๆ อดมุ่นคิ้วไม่ได้ เดิมทีนางก็คิดว่าบุรุษผู้นี้ไม่แยแสเหลือบแลผู้ใดนอกจากหน้าตาของตนแล้ว มาบัดนี้เขายิ่งแสดงออกอย่างชัดเจนราวกับกลัวว่าผู้อื่นจะไม่เกลียดชัง ช่างเป็นนิสัยที่น่าท้อใจนัก

เพิ่งจะนั่งลงได้จิบชาสองอึก เสียงประกาศก็ดังขึ้นตามมาด้วยขบวนเสด็จ สองสามีภรรยารีบวางถ้วยชาก้มลงคุกเข่าเอ่ยถวายพระพร นางเห็นเพียงฉลองพระบาทสีดำก้าวผ่านและปลายฉลองพระองค์สีเหลืองนวลตา จนเมื่อได้ยินเสียงทุ้มต่ำไม่ดังไม่เบาสั่งให้ลุกขึ้น จึงค่อยส่งมือเล็กให้ผู้เป็นสามีพยุง

“ลูกพาหวางเฟยมาถวายพระพรเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ”

“ลูกสะใภ้คนเล็กของเรา หน้าตางดงามเหมาะสมกับเจ้านัก นับว่าไม่เสียแรงที่เราเฟ้นหาสาวงามที่คู่ควรกับเจ้า เลือกได้ไม่ผิดจริงๆ”

พระดำรัสเช่นนี้ทำให้คนที่เงียบฟังอยู่แทบจะสำลักน้ำลาย พระราชโองการคล้ายคำประชดประชันฉบับนั้นก็ครั้งหนึ่ง ยังมาถึงคำว่า ‘เฟ้นหา’ นี่ข่าวลือว่าฮ่องเต้โปรดองค์ชายเจ็ดเป็นจริงหรือเท็จนางก็เริ่มไม่มั่นใจ ก็ได้แต่เข็นเรือตามน้ำ ย่อกายเอ่ยด้วยน้ำเสียงแว่วหวานเนิบช้า

“เสด็จพ่อตรัสเกินจริงไปแล้ว หากหม่อมฉันยอมรับเกรงว่าจะยิ่งทำให้ผู้อื่นริษยา ทว่าได้แต่งให้ท่านอ๋อง นับเป็นบุญของหม่อมฉันยิ่งนักเพคะ”

คิ้วคมเลิกขึ้นเล็กน้อยยามหันไปมองใบหน้างามที่ก้มต่ำ ยามนี้ฉินอ๋องเริ่มเกิดความสงสัยขึ้นในใจแล้วว่า สตรีข้างๆ คือคนที่เข้าหอกับเขาเมื่อคืนหรือไม่

ผู้อยู่บนบัลลังก์มังกรโบกพระหัตถ์ ทรงพระสรวลอย่างชอบใจก่อนตรัสเย้า “เราว่าออกจะเป็นบุญของลูกชายเราที่ได้ลูกสะใภ้ดี จริงรึไม่ฮึ เจ้าเจ็ด”

เหวินหลางกลอกตาเพียงครั้งก่อนจะก้มหน้ารับคำ “เป็นดังที่เสด็จพ่อตรัสพ่ะย่ะค่ะ”

“ฉินหวางเฟย” พระสุรเสียงเจือแววเอ็นดูหลายส่วน “เราขอฝากลูกคนนี้ไว้ด้วย เจ้าเจ็ดบางครั้งอาจจะกระทำตามใจไปบางเรื่อง เจ้าก็อย่าได้ถือสา เป็นเพราะเราตามใจมาตั้งแต่เล็ก เด็กคนนี้จึงนิสัยเสียไปบ้าง เจ้าก็หลับตาข้างลืมตาข้างช่วยประคองกันไป มีสิ่งใดก็ให้ตักเตือนกัน” กุ้ยฟางนิ่งฟังคำสั่งสอนที่บิดามีต่อบุตร ในใจให้คิดถึงบิดาของตน น้ำเสียงเจือด้วยความรักใคร่ไม่ปิดบัง ทำให้นางมั่นใจฐานะของสามีในใจผู้เป็นใหญ่ โดยเฉพาะช่วงนี้มีข่าวว่าหยวนตี้ฮ่องเต้ทรงพระประชวร ปรับการออกว่าราชการเป็นสามวันครั้ง แต่ก็ยังให้ฉินอ๋องพาหวางเฟยเข้าเฝ้าทันทีหลังพิธีแต่งงาน ก็เป็นการประกาศความสำคัญของจวนฉินอ๋องกลายๆ

“ลูกน้อมรับคำสั่งสอนของเสด็จพ่อเพคะ”

“เจ้าเจ็ด ตอนนี้เจ้าก็มีครอบครัวเป็นของตัวเอง มีภรรยาที่ต้องดูแล จะทำสิ่งใดก็ให้รอบคอบระมัดระวัง อย่าเอาแต่ใจตัวเองเป็นที่ตั้ง”

“ลูกจะจดจำให้ขึ้นใจพ่ะย่ะค่ะ”

“ว่านกงกง นำของที่เราเตรียมไว้ส่งไปที่จวนฉินอ๋อง” จากนั้นจึงหันมาตรัสกับสองหนุ่มสาวที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าด้วยแววตาห่วงใย “เงยหน้าขึ้น”

กุ้ยฟางมิกล้าขัดขืนรับสั่งจึงค่อยๆ เงยหน้า ฮ่องเต้ผู้อยู่เหนือบัลลังก์นั้นเต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม ทว่าแววตาที่มองมานั้นกลับไม่ต่างกับยามที่บิดามองนางและพี่ชาย คนในราชวงศ์ขึ้นชื่อเรื่องการใส่หน้ากากเข้าหา แต่นางเองก็มั่นใจในสายตาตัวเองว่าพระองค์ทรงเป็นบิดาที่รักใคร่ห่วงใยบุตรชายอย่างแท้จริง

“ความสัมพันธ์ก็เหมือนต้นไม้ เริ่มแรกหากพวกเจ้าช่วยกันบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ ต้นไม้ก็จะแตกหน่อหยั่งราก ใช้น้ำใจเป็นดั่งน้ำ ใช้ความห่วงใยใส่ใจเป็นดั่งปุ๋ย หมั่นดูแลต้นไม้ของเจ้าก็จะค่อยๆ เติบใหญ่ แต่หากคนหนึ่งคนใดละเลย ต้นไม้ที่ได้แต่น้ำก็อาจจะยังโตได้ แต่ไม่งดงาม ในเมื่อมีเพียงคนหนึ่งใส่ใจขณะที่อีกคนละเลย ไม่ว่าอย่างไรต้นไม้ของพวกเจ้าก็ไม่มีทางหยั่งรากลงดินได้อย่างมั่นคง อุปสรรคนั้นเปรียบเสมือนคลื่นลม เมื่อสองมือของพวกเจ้าคอยประคอง เกาะเกี่ยวกันไว้แน่น เรามั่นใจว่าต้นไม้แห่งความสัมพันธ์นี้จะไม่มีทางล้มลง หากพวกเจ้าคนหนึ่งคนใดไม่ถอดใจปล่อยมือเสียก่อน”

“ลูกกระจ่างแจ้งในคำสอนของเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ”

ดวงพระเนตรทอประกายอ่อนแสง “ลูกสะใภ้เจ็ด ขอต้อนรับสู่ครอบครัวของเรา”

“หม่อมฉันจะตั้งใจรับใช้ฉินอ๋อง จะไม่ทำให้เสด็จพ่อต้องเป็นห่วงเพคะ”

หากเป็นผู้อื่นคงตอบว่า จะไม่ทำให้เสด็จพ่อผิดหวัง แต่สะใภ้คนนี้กลับบอกว่าจะไม่ทำให้พระองค์ต้องเป็นกังวล นับว่าเป็นหญิงสาวที่เข้าใจผู้อื่นนัก เจ้าเจ็ดได้สตรีเช่นนี้ไปอยู่ข้างกายคนเป็นพ่อก็ให้รู้สึกเบาใจ

“เอาเถอะ เวลาไม่เช้าแล้ว ตอนนี้ฮองเฮาคงชะเง้อคอคอยพวกเจ้าแล้ว หากเรายังกักตัวลูกสะใภ้ไว้ เกรงว่าวันนี้เราคงจะถูกงอน” จากนั้นจึงหันไปตรัสกับขันทีข้างกาย “ว่านกงกงพาลูกสะใภ้ไปตำหนักอวิ้นเซียนก่อน เรามีข้อราชการจะหารือกับฉินอ๋องต่ออีกสักหน่อย”

กุ้ยฟางถวายพระพรลาแล้วจึงจากมาพร้อมกับว่านกงกง ออกจากตำหนักทรงงานพวกนางต้องเดินอ้อมเพื่อเข้าเขตวังหลัง หลายครั้งที่พบเจอนางกำนัลและขันที แต่ละคนแม้จะได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี แต่ก็ยังแอบชำเลืองมองร่างระหง หญิงสาวก้มหน้าน้อยๆ อย่างรักษากิริยา เดินตามขันทีเฒ่าไม่เอ่ยปากซักถามสิ่งใด จวบจนกระทั่งเห็นตำหนักใหญ่อยู่ลิบๆ ขันทีด้านหน้าหันมารายงานว่าใกล้ถึงแล้ว ตรงหน้าจึงแลเห็นขบวนขันทีนางกำนัลอีกกลุ่มหนึ่ง

“คารวะเจาเหลียงตี้” ว่านกงกงมีสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel