บทที่ 4 ช่างบังเอิญยิ่งนัก
ช่างบังเอิญยิ่งนัก
“คารวะท่านกงกง” น้ำเสียงหวานเอ่ยได้อย่างมีจังหวะ “ไม่คิดว่าจะพบท่านที่นี่”
กงกงเฒ่าลอบถอนหายใจ เหลียงตี้เอ่ยเช่นนี้มิเท่ากับบีบให้เขาเอ่ยแนะนำฉินหวางเฟยให้หรือ แม้อีกฝ่ายจะมีตำแหน่งเพียงเหลียงตี้ขององค์ไท่จื่อ หากเทียบกับฉินหวางเฟยแล้วยังนับว่าเป็นรอง เพราะคนหนึ่งได้รับการบันทึกนามอยู่ในราชสกุล ส่วนอีกผู้หนึ่งนั้นยังไม่นับเป็นเชื้อพระวงศ์ ทว่าหากไท่จื่อได้ครองราชย์เมื่อใด ลำดับขั้นของเจาเหลียงตี้ก็อาจจะสูงกว่าฉินหวางเฟยทันที ดังนั้นเขาก็ไม่ควรต้องทำให้ตนเองต้องลำบากในวันหน้า
“ผู้น้อยถ่ายทอดรับสั่งให้นำเสด็จฉินหวางเฟยไปตำหนักอวิ้นเซียนขอรับ”
“อ้อ...” สตรีผู้นั้นร้องออกมาคำหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อ “ช่างบังเอิญยิ่งนัก”
ว่านกงกงแทบอยากหนีกลับห้องทรงงาน ในชีวิตจริงจะมีสิ่งใดบังเอิญถึงเพียงนี้ สมรสพระราชทานจัดขึ้นเมื่อวานผู้คนต่างรับรู้โดยทั่วว่า วันนี้ฉินอ๋องต้องพาหวางเฟยเข้ามาถวายพระพรนั้นเป็นธรรมเนียมที่ต้องปฏิบัติ การที่คนรักเก่าของฉินอ๋องอย่างเจาเหลียงตี้มาปรากฏกายอยู่หน้าตำหนักอวิ้นเซียนตรงเวลาที่คู่สามีภรรยาจะมาคำนับฮองเฮา จะนับเป็นเรื่องบังเอิญได้อีกหรือ
“ไม่คิดว่ามาเข้าเฝ้าเสด็จแม่วันนี้จะมีวาสนาได้เจอน้องสะใภ้”
กุ้ยฟางลอบพ่นลมหายใจ คันปากยิบๆ อยากเอ่ยนักว่า มิใช่ท่านรอวาสนาได้เจอสามีของข้าหรอกรึ
“ในเมื่อเราเองก็ต้องไปตำหนักอวิ้นเซียน ไม่สู้ไปพร้อมกันกับน้องสะใภ้จะได้ไม่เป็นการรบกวนกงกง”
“หามิได้ขอรับ รับสั่งของฝ่าบาทนับเป็นงานอย่างหนึ่ง ข้าน้อยมิอาจผลักภาระให้เหลียงตี้” ว่านกงกงยังเกาะฉินหวางเฟยไว้แน่น เกรงว่าหากปล่อยเนื้อเข้าปากจระเข้ไปแล้ว ฉินอ๋องคงได้แต่ต้องมารับร่างที่ถูกคนรักเก่าของตนทึ้งวิญญาณไป
“กงกงรับใช้อยู่ข้างพระวรกาย มีงานสำคัญต้องรับผิดชอบอีกมาก ให้น้องสะใภ้ไปกับเราไม่นับเป็นเรื่องรบกวน ทั้งยังจะได้เอ่ยพูดคุยกันตามประสาสตรี บางทีน้องสะใภ้อาจยังขัดเขินอยู่บ้าง ใช่หรือไม่”
สตรีที่กำลังถูกผู้อื่นยื้อแย่งกันไปมาเริ่มรำคาญเต็มแก่ นางรับคำเสียงเบาแล้วปล่อยตัวกงกงที่ยังมองมาด้วยแววตาห่วงใยให้กลับไปรายงานฮ่องเต้และฉินอ๋องได้เต็มที่
ท่านรีบวิ่งไปประกาศเลยว่าข้ากำลังจะถูกผู้อื่นรุมรังแก
แม้ตำแหน่งเหลียงตี้จะต่ำกว่าหวางเฟยหนึ่งขั้น ทว่าไท่จื่อยังไม่แต่งไท่จื่อเฟย ยามนี้เจาเหลียงตี้จึงมีอำนาจมากที่สุด ทั้งนางยังเป็นหลานห่างๆ ของฮองเฮา อำนาจบารมีจึงนับว่าไม่ด้อยกว่าหวางเฟยของอ๋ององค์อื่น
“น้องสะใภ้เพิ่งแต่งเข้ามา อาจยังมีเรื่องไม่คุ้นเคยอยู่บ้าง” ผู้สูงวัยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเอื้ออาทรยามเอื้อมมือเย็นเฉียบมากุมมือเล็กผอมบาง พาเดินเคียงกันไป “หากมีสิ่งใดกังวลก็เอ่ยถามกับพี่สาวได้ อย่างไรพี่สาวก็รู้จักกับท่านอ๋องมาช้านาน”
เริ่มแล้วสินะ กุ้ยฟางเหลือบสายตามองสตรีด้านข้างที่มีรูปโฉมงดงามชวนตกตะลึง รูปร่างแม้จะเตี้ยกว่าตน แต่เพราะชุดที่สวมวันนี้ช่วยขับเน้นเอวคอดเล็ก คว้านหน้าอกค่อนข้างลึกจึงเปิดเผยช่วงเนินอกขาวเนียนชวนให้คนมองรู้สึกว่าเย้ายวน นับว่ารู้จักแต่งกายเสริมจุดเด่น ส่งให้รูปร่างเล็กดูอรชรและยั่วยวนในที ทว่าก็น่าทะนุถนอมในสายตาบุรุษ เสื้อผ้าตัดเย็บได้อย่างประณีต ใบหน้าแต่งแต้มแต่พองาม มองปราดเดียวก็ทราบว่าเป็นผู้มีรสนิยม
ช่างสมกับเป็นสตรีในดวงใจฉินอ๋อง
หวางเฟยพยักหน้าเบาๆ ช้อนดวงตากลมใสมองผู้หวังดี ขยับริมฝีปากเอ่ยรับ “ขอบคุณพี่สะใภ้ที่ห่วงใย ข้าจะจำให้ขึ้นใจ ไม่คิดว่าเพิ่งแต่งเข้ามาก็จะได้เจอคนที่ดีต่อข้าถึงเพียงนี้” ประกายตาฉายแววยินดีอย่างปิดไม่มิด
ในเมื่อท่านอยากเป็นธุระช่วยเล่า ข้าก็จะไม่ขัดศรัทธา เชิญพล่ามเสียตามสบายเถิด เอาที่สบายใจ คนเหนื่อยคือท่าน อยากฟังหรือไม่ข้าจะเป็นผู้เลือกสรรเอง
นางกำนัลที่เดินตามเสด็จสะดุดลมหายใจโดยถ้วนทั่ว นี่ฉินหวางเฟยมีสมองพอจะตรองดูหรือไม่ ว่าอีกฝ่ายกำลังข่มว่ารู้จักสามีของตนดีกว่า ยังทำท่าทื่อมะลื่อยิ้มรับ
เจาเหลียงตี้แม้เคยได้ยินว่าฉินหวางเฟยดุร้ายป่าเถื่อน แต่กลับไม่คิดว่านางจะยังเซื่องซื่ออีกด้วย จึงกระแอมไอแล้วลองเอ่ยต่อ “ข้ารู้จักกับท่านอ๋องและไท่จื่อร่วมสิบปีได้กระมัง ตั้งแต่ได้เข้าเฝ้าฮองเฮาคราแรก จากนั้นทั้งสองพระองค์ก็มักจะแวะมาเยี่ยมเยียน พาออกไปเที่ยวเป็นประจำ” มือขาวเนียนยกผ้าเช็ดหน้าปิดปากหัวเราะเบาๆ “ตายแล้ว พอเอ่ยถึงความหลังข้ากลับเล่าเสียเพลินเชียว”
อืม...เจาเหลียงตี้ผู้นี้ชมชอบหัวข้อความหลังและพี่ชาย ได้...
“ข้าเองก็มีพี่ชาย ตอนเด็กมักจะขอให้ต้าเกอพาหนีท่านพ่อไปเที่ยวนอกจวน จำได้ว่าสนุกมาก” นางเขย่ามือเยียบเย็นที่จับมือตนไว้เบาๆ “ข้าย่อมต้องเข้าใจพี่สะใภ้”
เจาเหลียงตี้ชะงักฝีเท้าพลางมองอีกฝ่ายตั้งแต่บนลงล่าง รอยยิ้มงามที่เดิมยังเจิดจรัสแข็งค้าง นี่นางกำลังต่อสู้กับคนสมองหมูอยู่หรือไร เจ้าไม่เข้าใจหรือว่า พี่ชายแท้ๆ ของเจ้าไม่อาจนำมาเทียบกับองค์ชายทั้งสองพระองค์ได้!
“แรกเริ่มน้องสะใภ้อาจจะรู้สึกลำบากอยู่บ้าง ฉินอ๋องเป็นผู้มีความชอบสูงส่ง เจ้าที่มาจากจวนแม่ทัพอาจจะยังไม่เข้าใจพระองค์ก็โปรดค่อยๆ ศึกษา ฉินอ๋องไม่โปรดให้ผู้ที่พระองค์ไม่สนิทสนมแตะต้องพระองค์ เจ้าก็อย่าได้น้อยใจในเรื่องนี้ หากมีเวลาว่างจะแวะมาปรึกษาพี่สาวก็ได้ ข้าจะช่วยสอนการชงชาเฉพาะที่พระองค์โปรด”
ชาก็ต้องชงเฉพาะ ฉินอ๋องผู้นี้คงเป็นอ๋องที่เรื่องมากที่สุดในใต้หล้า
“อ้อ เช่นนั้นข้าคงต้องงดเว้นการต้องพระวรกาย ส่วนเรื่องชาข้าไม่ถนัด เอาไว้จะส่งนางกำนัลมาเรียนกับพี่สะใภ้ก็แล้วกัน” กุ้ยฟางเอ่ยตรงไปตรงมา ไม่คิดแยแสสามีสักนิด เขาไม่ชอบให้จับนางก็ไม่จับ หากชอบดื่มชาก็ใช้ให้ใครชงให้ก็แล้วกัน แต่ในเมื่อพี่สะใภ้สนใจอยากลงแรงช่วยเหลือ นางก็จะส่งคนมาช่วยสนอง “ขอบคุณพี่สะใภ้ที่ช่วยสั่งสอน” เอ่ยจบก็คลี่ยิ้มอ่อนหวานให้อีกฝ่ายที่สีหน้าดำคล้ำแลดูใกล้จะกระอักเลือดตายเต็มแก่
ฉินหวางเฟยลอบจดบันทึกไว้ในใจ พี่สะใภ้ผู้นี้นางสามารถพูดตรงๆ ด้วยได้ ทั้งยังได้เห็นคนงามที่รักษากิริยาได้ดีมีสีหน้าคล้ายกำลังกลืนแมลงวัน นับว่าสนุกไม่น้อย
เพิ่งจะมาถึงประตูตำหนักฉินอ๋องก็ตามมาทัน นางสังเกตเห็นไรผมของเขามีเหงื่อซึมเล็กน้อยก็ลอบลองทายในใจ ที่รีบเร่งมานี่หากไม่กลัวว่านางจะใช้กำลังกับยอดพธูในดวงใจ ก็คงเกรงว่าภรรยาจะเผลอทำสิ่งใดขายหน้าเขาเป็นแน่
“คารวะท่านอ๋อง” น้ำเสียงที่แว่วหวานกว่าเมื่อครู่ดังขึ้น
“พี่สะใภ้อย่าได้มากพิธี” เขาเอ่ยตอบยากจะคาดเดาอารมณ์ “กำลังจะเข้าเฝ้าเสด็จแม่หรือ”
“ช่วงก่อนรู้สึกไม่ค่อยสบายจึงอยู่แต่ในวัง วันนี้ดีขึ้นบ้างจึงอยากจะมาเข้าเฝ้าเสด็จแม่ ทำให้เสด็จแม่ทรงเป็นกังวล หม่อมฉันที่เป็นลูกสะใภ้ให้รู้สึกอกตัญญูนัก”
“อ้อ...” ท่านอ๋องรับคำไม่ถามต่อ “สุขภาพเป็นเรื่องสำคัญ พี่สะใภ้โปรดใส่ใจให้มาก”
ใบหน้างามก้มต่ำ เอ่ยด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น “มิได้เป็นหนักเพคะ หมอหลวงบอกว่าเป็นโรค...ทางใจ สำคัญคืออย่าคิดมากเพื่อไม่ให้ส่งผลต่อร่างกาย แต่...” นางช้อนตามองอีกฝ่ายอย่างสื่อความหมายเลยผ่านคล้ายไม่เห็นเงาหัวของผู้เป็นภรรยาของบุรุษที่ตนกำลังส่งสายตาออดอ้อน “หม่อมฉันกลับมิอาจทำใจได้จริงๆ”
งิ้วยอดพธูกับชายคนรักเก่าจะน่าชมมากกว่านี้หากไม่มีตัวเองร่วมแสดง กุ้ยฟางสิ้นสุดความอดทนจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงห่วงใย “ข้าเข้าใจพี่สะใภ้ องค์ไท่จื่อกำลังออกรบ ท่านคงกินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะเป็นกังวล...ดูสิ” นางจับมืออีกฝ่ายพลิกไปมา “มือของท่านผอมบางนัก พี่สะใภ้โปรดฟังข้า เป็นสตรีต้องรู้จักบำรุงร่างกาย มิเช่นนั้นบุรุษอาจเบื่อหน่ายได้ ท่านเอง...อายุก็ไม่น้อยแล้ว”
หวางเฟยเอ่ยตามที่คิด มองดูเอวบางๆ ของพี่สะใภ้ที่ตั้งใจรัดแถบผ้าเสียแน่นก็เกรงว่าคงไม่อาจกินอะไรเข้าไปได้ มิรู้จะทนทรมานร่างของตัวเองไปเพื่อการใด ยิ่งอีกฝ่ายอายุเลยวัยยี่สิบไปแล้ว หากยังกินน้อยเช่นนี้ ผิวพรรณคงหยาบกร้าน นึกแล้วก็ให้สงสารนัก
เจาเหลียงตี้สูดลมหายใจเข้าลึก เส้นเลือดตรงขมับเต้นตุบๆ หากฉินอ๋องมิได้ประทับอยู่ตรงนี้ คงเผลอตัวโผเข้าไปบีบลำคอระหงของใครบางคนเมื่อแปลความนัยได้ว่ากำลังถูกเด็กตรงหน้าหลอกด่า ทว่าสายตาใสกระจ่างที่จ้องกลับมานี้ทำเอาลำคอตีบตันมิอาจเอ่ยสิ่งใดต่อได้ ไม่รู้ว่าหวางเฟยโง่จริงหรือแกล้งโง่ แต่สตรีทั่วไปควรจะต้องรู้สึกหึงหวงบุรุษของตน นี่นางประกาศชัดถึงความสำคัญของตนในใจฉินอ๋องแต่อีกฝ่ายก็ยังทำเหมือนไม่เข้าใจ
เหวินหลางตวัดสายตามองข้อมือเล็กของภรรยา เอ่ยว่าผู้อื่นผอมแห้งช่างไม่ดูตัวเอง เขาเริ่มชินกับการพูดจาของนางจนไม่นึกว่าเป็นการเสแสร้ง หากให้กล่าวคงต้องบอกว่านี่นางกำลังพูดความจริงที่ทำให้ผู้อื่นกระอักเลือดตาย
“คงไม่รบกวนพี่สะใภ้ พวกเราไปกันเถอะ”
“ฉินอ๋อง...” เจาเหลียงตี้คล้ายหลุดปากละเมอ ยามเอ่ยไปแล้วก็เหมือนเพิ่งคิดได้ สองแก้มนวลแดงระเรื่อ ริมฝีปากบางเม้มแน่นอย่างน่าสงสารรีบหลุบตามองพื้น “ขอให้พระองค์มีความสุขเพคะ” ปลายเสียงของนางเศร้าสร้อยนัก
“ขอบคุณพี่สะใภ้”
“ในเมื่อเหลียงตี้ก็กำลังจะไปเฝ้าฮองเฮา ไม่สู้ไปพร้อมกัน” กุ้ยฟางช่วยเอ่ยความต้องการให้ ขืนยังยื้อกันไปมาคาดว่าย่ำค่ำก็ยังไปไม่ถึงตำหนักอวิ้นเซียน
“ข้า...ไม่รบกวนพวกท่าน”
นี่กำลังแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างคนมีมารยาทกับคนไร้อารยธรรมกระมัง
“อ้อ เช่นนั้นพวกเราก็ขอตัวก่อน” ในเมื่อเปิดโอกาสให้แล้วยังจะเสแสร้งก็ตรอมใจไปคนเดียวเถอะ นางหันไปหาสามีแล้วขยับเข้าไปเดินเคียงข้าง ส่วนคนที่บอกไม่อยากรบกวนก็เดินเยื้องตามมาด้านหลัง มองเช่นนี้ก็ไม่ต่างอันใดกับขบวนสามีภรรยา และ...อนุ
นางข้าหลวงออกมาแจ้งให้พวกเขารอครู่หนึ่ง กุ้ยฟางกวาดสายตามองตำหนักฮองเฮาก่อนจะหลุบตามองถ้วยชาในมือ ขณะที่สตรีที่นั่งตรงข้ามแม้จะก้มหน้าแต่ก็แอบส่งสายตาน่าสงสารมายังสามีของนางเป็นบางครั้ง
เอาที่พวกท่านสบายใจก็แล้วกัน...
จางฮองเฮาคือฮองเฮาพระองค์ที่สองขององค์จักรพรรดิ สถาปนาหลังจากเซี่ยฮองเฮาหรือก็คือพระมารดาของฉินอ๋องสวรรคต ข่าวลือที่ว่าทั้งสองพระองค์ทรงสนิทสนมนับเป็นพี่น้องเป็นที่รู้กันทั่ว ดังนั้นการที่จางฮองเฮาจะเอ็นดูฉินอ๋องถึงขั้นเลี้ยงดูไม่ต่างจากโอรสของตนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
ด้วยเหตุนี้องค์ชายสี่และองค์ชายเจ็ดที่ถูกเลี้ยงดูโดยจางฮองเฮาจึงสนิทสนมรักใคร่กลมเกลียวกัน จนหลายฝ่ายคิดว่าองค์ชายสี่จะหลีกทางให้คนเป็นน้องขึ้นรับตำแหน่งรัชทายาท ทว่ากลับกลายเป็นองค์ชายสี่ที่ได้รับแต่งตั้ง แต่สองพี่น้องก็ยังปรองดองรักใคร่จนกระทั่งไท่จื่อรับสตรีตระกูลเจาเข้าวังแต่งตั้งเป็นเหลียงตี้ สองพี่น้องจึงคล้ายจะเข้าหน้ากันไม่ติดนับตั้งแต่บัดนั้น แต่เรื่องความรักนั้นนับว่าละเอียดอ่อนพอๆ กับเรื่องของอำนาจ แม้ตำแหน่งฉินหวางเฟยจะยิ่งใหญ่กว่าตำแหน่งเหลียงตี้ในวันนี้ แต่อย่างไรก็คงไม่เท่าตำแหน่งฮองเฮาหรือกุ้ยเฟยหากองค์รัชทายาทได้ขึ้นนั่งบัลลังก์มังกร คนฉลาดย่อมรู้จักเลือกอนาคตให้ตนเอง
จางฮองเฮาในวัยสี่สิบชันษายังคงงดงามอ่อนเยาว์ หากไม่ทราบมาก่อนกุ้ยฟางคงเดาว่าพระองค์อาจจะเพิ่งสามสิบกว่าชันษา ดวงพระเนตรเรียวยาวดั่งผลซิ่ง พระโอษฐ์แต้มรอยยิ้มจางๆ ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายสูงสง่า
“ในที่สุดก็มีวันนี้” พระองค์ตรัสหลังจากทุกคนถวายพระพร ยกผ้าซับพระพักตร์ขึ้นเช็ดหยาดน้ำข้างพระเนตร “เราดีใจเหลือเกินที่เจ้าเป็นฝั่งเป็นฝา น้องหญิงที่อยู่บนสวรรค์ก็คงดีใจเช่นเรา”
“ทำให้เสด็จแม่ต้องคอยเป็นห่วง ลูกนับว่าอกตัญญูแล้ว”
“ฉินหวางเฟย ขยับเข้ามาให้เราดูหน้าเจ้าใกล้ๆ สิ” กุ้ยฟางเมื่อไม่เห็นแม่สามีตั้งท่ารังเกียจทั้งๆ ที่นางมีข่าวลือแง่ร้ายแพร่สะพัดไปทั่วค่อยๆ เยื้องย่างเข้าไปใกล้พระองค์ อย่างน้อยก็ยังสงวนกิริยาเพื่อรักษาหน้าสามี “งามเฉิดฉันนัก เราไม่อยากลำเอียงแต่ช่วยไม่ได้จริงๆ เจ้าช่างเป็นสะใภ้ที่เฉิดฉายที่สุดในบรรดาสะใภ้ทั้งหมด”
เจาเหลียงตี้ที่เคยมั่นใจในรูปโฉมของตนได้แต่ก้มหน้า สองมือบีบกันแน่นขึ้น นางวางแผนผิดไปแล้วที่เป็นฝ่ายยุยงให้ฮองเฮาเลือกสตรีจากตระกูลมู่ เดิมทีเพราะข่าวลือที่แพร่สะบัดทำให้นางคิดว่า ฉินอ๋องเมื่อแต่งกับมู่กุ้ยฟางก็จะได้ฐานอำนาจจากจวนหย่งจงโหวมาเสริมให้กับองค์ไท่จื่อ แต่คงไม่นึกสนพระทัยสตรีที่มีสันดานหยาบกระด้างเป็นแน่ อย่างน้อยในพระทัยของพระองค์ก็จะยังคงมีนางตลอดไป
“เสด็จแม่กล่าวเกินจริงแล้วเพคะ จากนี้หม่อมฉันคงมิกล้าก้าวขาออกจากจวน หากผู้อื่นได้ยินแล้วตั้งความหวัง ครั้นมาเจอหน้าหม่อมฉัน จะไม่เป็นการทำลายความคาดหวังของผู้คนหรือเพคะ” นางหัวเราะเบาๆ อย่างเก้อกระดาก
พระหัตถ์ขาวเนียนเอื้อมมาเชยคาง “ใบหน้างดงาม ผิวกายนุ่มละเอียด จะมีใครเห็นเจ้าแล้วเอ่ยว่าเราพูดปดอีก จริงหรือไม่เจาเหลียงตี้”
“เป็นดังที่เสด็จแม่ตรัสเพคะ น้องสะใภ้งดงามยิ่ง”
“อวี้หลัน ไปนำกำไลหยกสีเลือดนกลวดลายหงส์มาสิ เราว่าคงต้องเหมาะกับข้อมือขาวเนียนข้างนี้เป็นแน่”
“ขอบพระทัยเพคะเสด็จแม่ ทรงประทานของสูงค่าให้ หม่อมฉันไม่รู้จะทำเช่นไรดี คงได้แต่ขายหน้าถวายสิ่งที่เตรียมมา” เอ่ยจบก็เดินกลับไปหยิบกล่องไม้ที่วางไว้บนโต๊ะ “ลูกไม่มีฝีมือด้านเย็บปัก คงต้องหมั่นฝึกฝน หวังว่าเสด็จแม่จะไม่นึกรังเกียจ” กุ้ยฟางยอบกายถวายกล่องไม้หนานมู่16แกะสลักลวดลายมงคล “กลิ่นหอมนี้จะช่วยให้เสด็จแม่รู้สึกสดชื่นผ่อนคลายเพคะ”
เดิมทีจางฮองเฮาก็มิได้ทรงคาดหวังกับของในกล่องเท่าใด เพราะแทบไม่มีของล้ำค่าใดที่นางไม่เคยเห็น ทว่ายามเปิดฝากล่องไม้แล้วได้กลิ่นหอมอ่อนๆ รวยริน แววพระเนตรพลันมีประกายพึงใจ หยิบถุงหอมที่ปักคำว่า โหงวฮก17 ซึ่งเป็นการอวยพรให้มีอายุยืน แม้ฝีเข็มอาจไม่ประณีตงดงามเท่าข้าหลวงในวัง แต่ก็นับว่างดงามอยู่หลายส่วน แต่ที่โดดเด่นเห็นจะเป็นกลิ่นหอมที่ชวนให้ผู้คนรู้สึกสดชื่นเบาสบาย สูดดมกี่ครั้งก็ให้อิ่มเอมใจ
“เจ้าเจ็ด...” พระองค์หันมาตรัสกับบุตรชายที่ทรงรักใคร่ไม่ต่างจากบุตรร่วมอุทร “ดูสิ ภรรยาของเจ้าช่างกตัญญูนัก”