บทย่อ
มู่กุ้ยฟางเพิ่งมาสำนึกเสียใจภายหลัง ฉินอ๋องผู้สูงส่งหยิ่งยโสหาได้เรียบง่าย จากที่คิดว่าเขาย่อมรังเกียจภรรยาที่มีข่าวลือว่าดุร้ายป่าเถื่อนจนมิยอมย่างกรายมาตำหนักของนาง ทว่าทุกสิ่งกลับตาลปัตร มิย่ำเท้าเข้าตำหนักอันใด นี่เขาย่ำเสียจนพื้นประตูตำหนักแทบสึก นางยังถูกเขาเคี่ยวกรำทุกค่ำคืน น่าแค้นใจนัก... บัญชีแค้นเก่าใหม่ถูกจดไว้จนแทบทับนางตาย สมรสพระราชทานครั้งนี้มีแต่เขาที่ได้กำไร สิ่งใดที่ยอมนางได้เขาย่อมต้องลงให้ ทว่าหวางเฟยที่แต่งเข้ามานี้กลับผิดเผกไปเสียทุกอย่าง จากการใช้ชีวิตคู่ที่เริ่มขึ้นอย่างไม่มีแบบแผน กลายเป็นเขาที่ต้องเริ่มวางอุบายดักจับภรรยาไว้แทน ยิ่งนางดิ้น เขายิ่งแหย่ ยิ่งนางแค้น เขายิ่งชอบ หวางเฟยตัวน้อย... บัญชีแค้นของเจ้า สามีจะเฝ้าทบต้นทบดอกให้เอง
บทนำ
บทนำ
“มู่กุ้ยฟางเพียบพร้อมด้วยรูปทรัพย์ จริยวัตรงดงาม ประพฤติตนนอบน้อม สมควรแก่การเป็นแบบอย่าง จิตใจเปี่ยมด้วยคุณธรรม เหมาะสมจะเป็นภรรยาที่ดี พระราชทานสมรสให้มู่กุ้ยฟางแต่งเป็นชายาเอกในฉินอ๋อง จบราชโองการ”
“มู่กุ้ยฟางรับราชโองการ ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปีเพคะ” ร่างบางระหงในชุดสีฟ้าอ่อนย่อกายรับราชโองการ ใบหน้างามก้มต่ำ ดวงตากลมโตหลุบอยู่ใต้แพขนตางอนยาว ยากจะสังเกตเห็นความนึกคิดในจิตใจ
จริยวัตรงดงาม...จิตใจเปี่ยมด้วยคุณธรรม?
นี่เป็นพระราชโองการประชดประชันหรืออย่างไรกัน
แน่นอนว่าไม่เพียงแต่เจ้าของร่างงามที่แอบคิดในใจ แต่ทั้งหม่าซื่อ1 ฮูหยินรองแห่งจวนหย่งจงโหว2 และมู่ซูเจียว คุณหนูรองต่างก็มีความคิดเช่นเดียวกัน
ที่พวกนางสองแม่ลูกลงทุนลงแรงปล่อยข่าวไปว่า คุณหนูใหญ่แห่งจวนแม่ทัพพิชิตดินแดนมีนิสัยดุร้ายป่าเถื่อนนั้น ในเมืองหลวงผู้คนต่างรู้กันโดยทั่ว เรื่องนี้ยังแพร่สะพัดไปในวังหลัง เพราะทุกครั้งที่มีการจัดงานเลี้ยงก็มักจะมีคนเข้ามาแสดงความเห็นใจพวกนางสองแม่ลูกอยู่บ่อยครั้ง แล้วเหตุใดเรื่องนี้ไม่ไปถึงพระเนตรพระกรรณ
ผิดพลาด ต้องมีสิ่งใดผิดพลาดเป็นแน่!
“เหตุใดจึงเป็นพี่ใหญ่ เรื่องนี้...ต้องมีสิ่งใดผิดพลาดเป็นแน่!” ซูเจียวที่มิอาจปิดบังความผิดหวังไว้ในใจถึงกับโพล่งออกมาท่ามกลางความเงียบ
เต๋อกงกงมีสีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัดยามตวัดสายตามองดรุณีน้อย “คุณหนูรองจะพูดสิ่งใดให้ระวังปาก ระวังโทษฐานหมิ่นเบื้องสูงจะกรายศีรษะ”
“ขอกงกงโปรดอภัย” หม่าซื่อรีบก้าวเข้าไปหาผู้อัญเชิญราชโองการพลางส่งถุงเงินให้ตามธรรมเนียม แม้ว่าในใจจะมิอยากให้เท่าใดก็ตาม ในเมื่อพระราชโองการนี้ไม่ได้มาเพื่อลูกสาวของนาง ทว่าธรรมเนียมนั้นหากละเลยก็จะถูกนินทาลับหลัง นางยังไม่อยากตกเป็นขี้ปากของใคร “เจียวเอ๋อร์เพียงแค่ตื่นเต้นเกินไปจึงพูดไม่ทันคิด ขอท่านกงกงอย่าถือสาเลยเจ้าค่ะ”
เต๋อกงกงพลิกฝ่ามือกลับมิได้รับถุงเงินนั้น ทำเพียงเชิดหน้าตวัดสายตาไปยังคุณหนูรองที่ยามนี้ได้แต่นั่งหน้าซีดตัวสั่น จากนั้นจึงหันไปมองหญิงสาวอีกคนที่ยังคงก้มหน้า
“ยินดีกับคุณหนูใหญ่ด้วย” น้ำเสียงแหลมสูงผิดบุรุษทั่วไปเจือด้วยแววรื่นเริง แตกต่างจากเมื่อครู่นัก กุ้ยฟางแม้ยังอยากก้มหน้าต่อเท่าไร ก็มิอาจเสียมารยาท จำต้องเงยหน้า ส่งยิ้มจางๆ ให้อีกฝ่ายแต่พองาม
“ขอบคุณท่านกงกงเจ้าค่ะ”
“งดงามสมคำเลื่องลือ” ขันทีชราที่รับใช้อยู่ในวังหลังมาช้านานถึงกับหลุดอุทานออกมายามได้สบดวงพักตร์จิ้มลิ้ม ใบหน้าเนียนขาวอมชมพูใสกระจ่าง ขับให้คิ้วโก่งยิ่งดูดำขลับงดงาม ดวงตาเรียวดั่งผลซิ่งแวววาว รับกับจมูกเล็กๆ และริมฝีปากบางแดงระเรื่อ เสียดายที่ร่างนี้ออกจะผอมไปสักหน่อย เห็นทีคงต้องให้หย่งจงโหวเร่งบำรุงบุตรสาวก่อนงานพิธี
คนถูกชมเพียงเลิกคิ้ว ดวงตาสาดประกายสงสัยก่อนจะเลือนรางหายไป เหลือไว้เพียงหยาดน้ำคลอใสน่ามอง
ผู้ใดลือกันว่านางงดงาม ดูท่ากงกงผู้นี้คงแก่ชราจนหูตาฝ้าฟาง
“หย่งจงโหวมีบุตรสาวที่งดงามและมีความประพฤติดีถึงเพียงนี้นับว่ามีบุญนัก” เต๋อกงกงหันไปเอ่ยกับแม่ทัพพิชิตดินแดนที่ยังคงเงียบงัน ลอบประเมินสีหน้าอีกฝ่ายในที
มู่หยางติงเมื่อถูกทักจึงค่อยได้สติ แต่เพราะเรื่องนี้กะทันหันจนเกินไป ยามนี้แม้จะฝืนยิ้มแห้งๆ ยังนับว่ายาก จึงทำเพียงกระแอมไอ “ขอบคุณท่านกงกง” จากนั้นจึงผายมือไปทางห้องรับรองด้านข้าง “เชิญท่านดื่มชาพักผ่อนสักครู่ หวังว่ากงกงจะไม่นึกรังเกียจว่าจวนของข้าเล็กไป”
“มิกล้าๆ” กงกงผู้มากประสบการณ์รีบโบกมือ “คงต้องรบกวนแล้ว”
“กุ้ยถิง...” น้ำเสียงห้าวทรงพลังสมกับเป็นท่านแม่ทัพใหญ่เอ่ยเรียกชายหนุ่มอีกคนที่เอาแต่นั่งนิ่ง ใบหน้าเลื่อนลอยคล้ายดั่งจิตวิญญาณได้ออกจากร่างไปไกลแล้ว “กุ้ยถิง!” น้ำเสียงที่ดังขึ้นอีกสองส่วนมีผลให้ร่างสูงซึ่งนั่งปักหลั่นได้สติ กะพริบตาปริบๆ แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
“ท่านพ่อ เรื่องนี้ไม่จริง...”
หย่งจงโหวรีบกระแอมไอก่อนที่บุตรชายแสนซื่อจะโพล่งสิ่งที่คิดออกมาจนสิ้น “อืม...” เห็นท่าทางเซื่องเซ่อของเด็กโง่ที่รักน้องเหนือสิ่งใดแล้วคนเป็นพ่อได้แต่ทอดถอนใจ
แม้ในใจจะไม่ยอมรับ แต่อย่างน้อยคนที่ดำรงตำแหน่งถึงรองแม่ทัพก็ต้องรู้จักหนักเบา มู่กุ้ยถิงพยายามอย่างเหลือแสนที่จะขยับริมฝีปากที่กำลังเม้มจนเป็นเส้นตรงให้บิดโค้งขึ้น “ต้องขายหน้ากงกงแล้ว ข้าเพียงแต่ยินดีกับน้องสาวเกินไปเท่านั้น รู้สึกปลาบปลื้มใจยิ่งนัก” ผู้มีสายตาคมกล้าล้วนมองออกว่า ในรอยยิ้มแข็งทื่อของเขานั้นแทบจะมองหาวี่แวว ‘ปลาบปลื้มใจยิ่งนัก’ ได้ยากเย็นยิ่ง
สามบุรุษเพิ่งก้าวออกจากห้อง สตรีที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นค่อยขยับตัวลุกขึ้น
ดวงตาที่เต็มไปด้วยประกายเกลียดชังตวัดมองลูกเลี้ยงตั้งแต่หัวจดเท้า ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่หนักไม่เบา “ฟางเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าเร่งรีบออกมาทั้งๆ ที่เสื้อผ้ายังเปรอะเปื้อน ทำเช่นนี้มิเท่ากับเป็นการลบหลู่พระราชโองการหรอกรึ” เอ่ยจบจึงปรายตามองบ่าวรับใช้ข้างกายที่เข้ามาพยุงลูกเลี้ยง “เจ้าไม่รู้จักดูแลคุณหนูใหญ่ให้ดี ทำให้ตระกูลมู่ต้องขายหน้า ไปรับโทษโบยยี่สิบไม้”
ในเมื่อยามนี้สามียังอยู่ในบ้าน นางมิอาจทำอันตรายต่อลูกเลี้ยงได้ แต่โทสะครั้งนี้ต้องได้รับการระบาย
ฝีเท้าของเต๋อกงกงชะงักเล็กน้อย ก้าวย่างเชื่องช้าลงขณะหันไปสอบถามเกี่ยวกับกระถางกำยานในห้องรับรองที่อยู่ติดกัน
มู่กุ้ยฟางยกมือเกาแก้ม ท่าทางไม่ทุกข์ร้อนยามเอ่ยกับฮูหยินรองด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เป็นสาวใช้ของแม่รองถ่ายทอดคำสั่งให้ข้าเร่งมาที่เรือนนี้ มิต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเพราะเกรงว่าจะทำให้ท่านกงกงต้องรอนาน” จากนั้นจึงขยับก้าวผ่านอีกฝ่ายโดยไม่เสียเวลาเหลือบแล “เช่นนั้นท่านก็ต้องสั่งโบยนางแล้ว ข้าจำได้ว่าสาวใช้ผู้นั้นสวมชุดสีเหลือง... อ้อ หากเห็นว่ายังสั่งสอนไม่ถึงใจ ท่านจะสั่งโบยผู้สั่งความต่อก็ได้เจ้าค่ะ บ่าวในเรือนเรามิได้ออกแรงโบยผู้ใดมานานปี เห็นทีตอนนี้คงวิ่งไปเตรียมไม้รอแล้วกระมัง”
“เจ้า...เจ้า” หม่าซื่อทำได้เพียงยืนชี้นิ้วสั่นเทาไปยังลูกเลี้ยงตัวดี แต่อีกฝ่ายกลับไม่มีท่าทีใส่ใจแม้แต่น้อย ยังเดินลอยหน้าลอยตาออกจากเรือนราวกับจะเย้ยหยัน
“ท่านแม่...” มู่ซูเจียวที่เพิ่งได้สติรีบโผเข้าหามารดา “ทำไมถึงเป็นเช่นนี้เจ้าคะ ทำไมถึงเป็นมัน ทำไมไม่ใช่ลูก”
คุณหนูใหญ่แห่งจวนหย่งจงโหวมิได้เสียเวลาอยู่ฟังงิ้วบทโศก ก้าวย่างตรงไปหลังเรือนด้วยฝีเท้าแช่มช้าไม่รีบเร่ง ใบหน้ายังคงแต่งแต้มรอยยิ้มจางๆ ดวงตาใสกระจ่างคู่นั้นมิได้ฉายแววสุขใจหรือโศกเศร้า
“คุณหนูเจ้าคะ” บ่าวข้างกายขยับเข้ามาใกล้เมื่อเห็นว่าปลอดผู้คน “ฉินอ๋องผู้นี้มีข่าวลือไม่ค่อยดีค่อนข้างมาก” แม้จะทราบว่าคุณหนูของนางไม่ชอบฟังเรื่องนินทาไร้สาระ แต่เพราะนิสัยไม่สนใจสิ่งใดนี้แลที่ฮูหยินใหญ่ต้องกำชับให้นางคอยเป็นหูเป็นตาให้กับผู้เป็นนาย
“อย่างเช่น?” คิ้วเรียวสวยเลิกขึ้น แต่สองขายังไม่หยุดก้าวเดิน
“ด้วยความรักที่มีต่อเจาเหลียงตี้3 ขององค์ไท่จื่อ4 ถึงบัดนี้ฉินอ๋องจึงยังไม่ทรงแต่งงาน ทั้งยังไม่มีชายารองในจวนเจ้าค่ะ”
“อ้อ...”
“ข่าวว่าเพราะผิดหวังในรัก ทำให้ท่านอ๋องที่เคยปราดเปรื่องถึงกับเลิกยุ่งเกี่ยวกับงานในราชสำนัก เอาแต่ร่ำสุราวาดภาพอยู่เพียงในจวนเจ้าค่ะ”
“อ้อ...”
“แม้ครั้งนี้จะเป็นสมรสพระราชทาน แต่หากคุณหนูลองพูดกับนายท่าน...”
มือเล็กยกขึ้นเป็นสัญญาณ แต่กลับมิได้หยุดเดินยามเอ่ยกับบ่าวข้างกาย “เป็นเช่นนี้นับว่าดียิ่ง”
“คุณหนูคงมิได้คิดจะ...” มุมปากเล็กๆ ของสาวใช้กระตุกเบาๆ เมื่อแลเห็นดวงตากลมใสกระจ่างของเจ้านายฉายแววสมใจ
“ก็แค่เปลี่ยนที่ทำงาน นับเป็นการแต่งงานที่ไม่เสียเปล่า หวังว่าจวนฉินอ๋องคงใหญ่พอที่จะไม่ทำให้ข้าขาดทุน”