บทที่ 3 (2)
“เมื่อสักครู่คุณคงได้ยินไม่ถนัดสักเท่าไร แต่ไม่เป็นไร ผมจะบอกให้ได้ยินชัดๆ มาผมต้องการตัวคุณ!”
ชายิกาเบิกตากว้าง ไม่นึกว่าโจรพวกนี้จะต้องการเธอตัวมากกว่าเพชรมูลค่าหลายสิบล้าน และไม่ทันได้ป้องกันตัวเองไปมากกว่านี้ จู่ๆ ก็ถูกโปะหน้าด้วยผ้าผืนบาง ส่งกลิ่นเหม็นเอียนทั่วจมูก หลังจากนั้นร่างบางระหงก็อ่อนแรง ค่อยๆ รูดตัวลงตกไปอยู่ในอ้อมแขนของผู้พันฟาเรลล์
“อาดีล ได้ตัวสินค้าแล้ว”
ผู้พันฟาเรลล์เอ่ยบอกผ่านไมค์เล็ก พร้อมกับอุ้มร่างบางระหงสลบไสลของชายิกาขึ้นพาดบ่า เตรียมเผ่นออกจากห้องแต่งตัว
“รับทราบครับผู้พัน” ผู้หมวดอาดีลถอยมายังประตูห้อง โดยไม่ลืมเค้นเสียงออกคำสั่งอีกครั้ง “ปิดปากให้สนิท นั่งอยู่นิ่งๆ จนกว่าตำรวจจะมา ไม่ยังงั้นผมไม่รับรองความปลอดภัยของพวกคุณ”
นางแบบและบอดี้การ์ดทั้งสองต่างก็พยักหน้ารับคำ ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าคนออกคำสั่งได้อยู่มองหรือเปล่า
“ซารุส เรากำลังออกไป”
ผู้พันฟาเรลล์บอกพลขับ เมื่อแบกร่างเล็กของชายิกาออกมาจากห้องแต่งตัว และกำลังเดินไปตามทางเดิน ที่ปราศจากผู้คน
“ครับ ผู้พัน ผมพร้อมแล้วครับ” ผู้หมวดซารุสสตาร์ทรถยนต์ แล้วขับมารอยังตำแหน่งที่ได้นัดหมายกันไว้
ผู้พันฟาเรลล์หันไปมองรอบๆ บริเวณ จากนั้นก็หันไปพูดกับผู้หมวดอาดีล ที่เดินคู่กันมาติดๆ
“อาดีล เล่นสนุกกันหน่อยไหม”
“เอ่อ...ผู้พันหมายถึงอะไรครับ”
ผู้หมวดอาดีลเอ่ยถามไม่เต็มเสียงนัก พอเห็นดวงตาสีนิลของผู้บังคับบัญชาไหววาบ ก็รู้เท่าทันอีกฝ่ายว่ากำลังจะทำอะไร
“ผู้-พัน-” ผู้หมวดอาดีลลากเสียงลึกอยู่ในลำคอ ขณะเรียกผู้บังคับบัญชา แล้วเอ่ยห้ามต่อว่า “อย่าเล่นอะไรพิเรนทร์ๆ นะครับ”
“ผู้พันจะทำอะไรครับ”
ผู้หมวดซารุสเอ่ยอย่างงุนงงเพราะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วย ทว่าได้ยินการสนทนาทุกอย่างผ่านเครื่องมือสื่อสารอันทันสมัย ที่เสียบอยู่กับใบหูของพวกเขา
ผู้พันฟาเรลล์กระตุกยิ้ม เอ่ยบอกกลั้วหัวเราะ “เอาน่า เพื่อความตื่นเต้น ให้เดินดุ่มๆ ออกไปง่ายๆ แบบนี้มันก็ไม่สนุกสิ ผู้หมวดอาดีล...”
“ผู้พัน เอาจริงหรือครับ”
ผู้หมวดอาดีลตะโกนถาม เบิกตากว้างมองตามร่างใหญ่ล่ำสันของผู้พันหนุ่ม ซึ่งกำลังเดินดิ่งตรงไปยังเป้าหมายบางอย่าง
“อาดีล ผู้พันทำอะไร”
ขณะตะโกนถามผ่านไมค์อันเล็ก ผู้หมวดซารุสแทบกระโจนออกมาจากรถ เมื่อได้ยินเสียงของเพื่อนตะโกนถามผู้บังคับบัญชาเช่นนั้น
“เอาจริงสิ ผู้หมวดอาดีล”
ผู้พันฟาเรลล์ยิ้มกว้าง ยักคิ้วให้กับลูกน้องขณะเอ่ยตอบ ไม่สนใจสายตาของผู้หมวดอาดีล ที่กำลังจ้องมองเขม็งเป็นการห้ามปรามไปในตัว
“อย่านะผู้พัน”
“เฮ้ย! อาดีล บอกมาเร็วๆ สิว่ะ ว่าผู้พันกำลังจะทำอะไร” ผู้หมวดซารุสถามเสียงดังลั่นรถ และคราวนี้ คนที่ตอบคำถามของเขาก็คือผู้พันฟาเรลล์!
“เราแค่จะกดสัญญาณกันขโมยก็เท่านั้นเอง”
“ฮ้า!” ผู้หมวดซารุสเบิกตาโตเท่าไข่ห่าน ร้องห้ามเสียงหลงในทันที “ผู้พันอย่านะครับ เดี๋ยวก็หนีห่ากระสุนไม่ทันกันพอดี”
“หนีไม่ได้ทันได้ยังไง เราเป็นคนออกแบบโรงแรมนี้เอง รู้ทุกซอกทุกมุมของโรงแรมดีกว่าท่านพี่คนที่เป็นเจ้าของซะอีก”
ผู้พันฟาเรลล์เอ่ยกลั้วหัวเราะ ยื่นมือไปวางบนปุ่มสัญญาณกันขโมย แล้วเอ่ยบอกลูก
น้องต่อ ไม่ได้นึกหวาดกลัวกับคำเตือนของผู้หมวดทั้งสอง แม้แต่นิดเดียว
“ถือซะว่าเป็นการซ้อมรบก็แล้วกัน”
“แต่ตอนซ้อมรบเราใช้กระสุนปลอมนะครับ ผู้-พัน-” ผู้หมวดอาดีลโอดครวญ
“ถูกกระสุนจริงเจาะสักรูสองรู ก็คงไม่เจ็บเท่าไรหรอกน่า...ผู้หมวด ทำยังกับไม่เคย”
ผู้พันฟาเรลล์เถียงกลับ เดาใจลูกน้องออกว่าถึงแม้จะโวยวายไม่ให้เขากดสัญญากันขโมย แต่ลึกๆ แล้ว ผู้หมวดทั้งสองคนนี้ก็นึกสนุกอยู่ไม่น้อยกับการวิ่งแข่งกับห่ากระสุนปืน
“พวกนายพร้อมหรือยัง เรานับสาม แล้วเตรียมตัววิ่งหน้าตั้งได้เลย”
“อยากจะบ้าตาย”
ปากนั้นบ่นอุบ แต่ผู้หมวดอาดีลเตรียมพร้อมทุกวินาที ทางด้านผู้หมวดซารุสก็มีอาการไม่ต่างจากเพื่อน เขาพร้อมสำหรับการไปรับทุกคนขึ้นรถในทุกวินาทีเช่นเดียวกัน
“สาม...สอง...หนึ่ง...ไป!”
สิ้นเสียงคำสั่ง เสียงสัญญาณกันขโมยก็ดังลั่นทั่วตึก และไม่ต้องรอนาน ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ซึ่งได้รับคำสั่งว่ามีการกดสัญญาณกันขโมยจากตำแหน่งบริเวณใดของโรงแรม ต่างก็วิ่งกรูมายังบริเวณดังกล่าว ทันได้เห็นชายฉกรรจ์ในชุดสีดำสนิท ปิดบังใบหน้าไว้จนมิดชิด กำลังวิ่งออกไปทางด้านหลังของโรงแรม และหนึ่งในนั้นก็แบกร่างของหญิงสาวในชุดสีแดงหลบกระสุนปืนไปด้วย
“วิ่งเต็มที่เลยผู้หมวด” ผู้พันฟาเรลล์ตะโกนบอกลูกน้อง
“ผมกำลังทำอยู่นี่ยังไงล่ะครับ”
ผู้หมวดอาดีลกัดฟันกรอดๆ และขณะเอ่ยตอบผู้บังคับบัญชา ก็วิ่งห้อเต็มที่ เพื่อไปให้ถึงรถยนต์เร็วที่สุด
ผู้พันฟาเรลล์หัวเราะร่วนหลังจากฟังคำตอบจากผู้หมวดอาดีล ตัวเขาเองก็วิ่งเต็มฝีเท้าตรงไปยังจุดนัดพบกับผู้หมวดซารุส ไม่ได้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยแม้แต่นิดเดียวที่ต้องอุ้มชายิกาไว้ในอ้อมแขน ขณะวิ่งหนีลูกกระสุนปืนด้วย
ทางด้านของผู้หมวดซารุส พอได้ยินเสียงสัญญาณกันขโมยดังขึ้น ก็นั่งแทบไม่ติดเบาะรถ คอยชะเง้อมองไปยังทางออกว่าเมื่อไรผู้บังคับบัญชากับผู้หมวดอาดีลจะโผล่หน้ามาให้เห็นสักที
“ผู้พันปลอดภัยไหมครับ” ผู้หมวดซารุสตะโกนถาม พอได้ยินคำตอบ ก็ช่วยให้โล่งอกขึ้นมาบ้าง
“เราปลอดภัย”
“อาดีล ยังอยู่ดีไหม”
“ยังไม่ตาย แต่เฉียดๆ แล้ว”
ผู้พันฟาเรลล์กับผู้หมวดซารุสถึงกับหัวเราะร่วนกับคำตอบประชดประชันของผู้หมวดอาดีล อีกไม่กี่นาทีต่อมา ผู้หมวดซารุสก็เห็นร่างใหญ่ล่ำสันของทั้งสองคน วิ่งหน้าตั้งออกมาจากประตูทางออก ก็รีบเปิดประตูรถยนต์รอคนทั้งสองในทันที
“เร็วครับผู้พัน เพื่อนวิ่งตามหลังมาเป็นพรวนเลยครับ”
ผู้พันฟาเรลล์เป็นคนแรกที่วิ่งมาถึงรถยนต์ เขาโยนร่างบางอ่อนปวกเปียกเข้าไปอย่างไม่ปราณีปราศรัย ก่อนจะกระโจนเข้าไปในรถอีกคน
ทางด้านของผู้หมวดอาดีล ซึ่งคอยยิงคุ้มกันให้กับผู้บังคับบัญชา ได้กระโดดเข้ามานั่งในรถยนต์ด้านหน้าคู่กับคนขับเป็นคนสุดท้าย พร้อมกับตะโกนบอกผู้หมวดซารุสเสียงดัง
“ไปเลย ซารุส เหยียบเต็มตีนเลย”
ผู้หมวดซารุสรออยู่แล้ว เขากระชากรถออกในทันทีที่ผู้หมวดอาดีลกระโดดเข้ามาในรถ โดยไม่ทันได้ปิดประตูรถยนต์ด้วยซ้ำไป
“พวกมันยังตามเป็นพรวนเลยครับผู้พัน” ผู้หมวดซารุสเอ่ยบอก ขณะมองผ่านกระจกหลัง
ผู้พันฟาเรลล์หันไปมองทางด้านหลังตัวเอง เห็นรถตำรวจกำลังขับตามไล่หลังมาหลายคัน ทว่ากลับไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวแม้แต่นิดเดียว กลับออกคำสั่งกับลูกน้องด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ เห็นเป็นเรื่องสนุกตื่นเต้นสำหรับคืนนี้
“นายก็ลองเล่นไล่จับกับตำรวจพวกนี้หน่อยสิ...ซารุส ลองดูว่าพวกมันจะซิ่งรถ ตามพวกเราทันหรือเปล่า”
ผู้หมวดซารุสกระตุกยิ้มขณะรับคำสั่ง “ได้เลยครับผู้พัน เกาะให้แน่นๆ นะครับ”
ได้ยินเช่นนั้น ผู้หมวดอาดีลก็รีบใส่เข็ดขัดนิรภัย กลอกตาอย่างเซ็งๆ ทั้งซารุสและผู้บังคับบัญชาต่างก็ขี้เล่นด้วยกันทั้งคู่ โดยเฉพาะผู้พันฟาเรลล์ ที่มักจะเล่นสนุก เสี่ยงอยู่บนความตายมาหลายครั้งแล้ว
ผ่านไปเกือบยี่สิบนาที ผู้หมวดซารุสก็ซิ่งรถหนีรถตำรวจชนิดที่ว่าไม่เห็นฝุ่น ขับรถลัดเลาะตามซอกซอยต่างๆ จนกระทั่งรถตำรวจตามไม่ทัน
“ไม่มีใครตามมาแล้วครับ” ผู้หมวดซารุสถอนหายใจเฮือกใหญ่ ขณะเอ่ยบอกทุกคน
“ได้กินลูกตะกั่วบ้างหรือเปล่า อาดีล”
แม้น้ำเสียงที่เอ่ยถามบ่งบอกให้รู้ว่าสนุกและตื่นเต้นกับเกมในครั้งนี้มาก แต่ผู้หมวดอาดีลก็รู้ว่าผู้พันฟาเรลล์เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่ครับ ผมปลอดภัยครับ”
“สงสัยเราต้องบอกท่านพี่ให้ส่งลูกน้องไปหัดยิงปืนใหม่ ไม่มีใครยิงปืนแม่นสักคน”
“แล้วผู้หญิงถูกยิงหรือเปล่าครับผู้พัน”
ผู้หมวดซารุสเริ่มชะลอความเร็วของรถ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครตามพวกเขามาแล้ว และขณะเอ่ยถามผู้พัน ก็เอี้ยวตัวมามองทางด้านหลัง เพราะอยากเห็นสีหน้าของชายิกาด้วย
“คิดว่าไม่”
ผู้พันฟาเรลล์ตอบสั้นๆ จากนั้นก็ลงมือสำรวจ ลูบคลำไม่ต่างจากคนตาบอด ไปตามลำตัวของชายิกา เพื่อสำรวจว่าหญิงสาวถูกยิงหรือเปล่า แต่มั่นใจว่าหญิงสาวปลอดภัยอย่างแน่นอน เพราะเขาอุ้มหญิงสาวมาด้านหน้า ขณะวิ่งหนีลูกกระสุน ซึ่งหากโดนยิงมาจากทางด้านหลัง เขาจะเป็นด่านแรกที่ถูกยิงก่อนหญิงสาว
เมื่อสำรวจจนมั่นใจว่าชายิกาปลอดภัยดีแล้ว ผู้พันหนุ่มก็เอื้อมมือไปเปิดไฟภายในรถ พร้อมกับพึมพำว่า
“ได้ยินว่าสวยไม่แพ้นางงาม ขอดูหน้าชัดๆ หน่อยว่าสวยสมคำเล่าลือจริงหรือเปล่า”
แสงสีนวลภายในรถยนต์สว่างขึ้นพร้อมๆ กับอาการตะลึงงันราวกับถูกน็อกด้วยหมัดฮุคหนักๆ ตรงปลายคาง กระแสไฟบางอย่างแล่นพล่านไปทั่วทั้งตัว
ในทันทีที่ดวงตาสีนิลคบกริบได้มองปะทะกับใบหน้างาม ใช่ว่าเขาจะไม่เคยมีผู้หญิงที่สวยระดับนางแบบตกอยู่ในอ้อมแขน แต่...กับผู้หญิงคนนี้ มีความรู้สึกบางอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเขา ส่งให้หัวใจที่ร้างรักของเขากระตุกซ่านอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“ผู้พันครับ ผู้หญิงคนนี้สวยเหมือนที่อาดีลบอกไหมครับ”
ผู้หมวดซารุสเต็มไปด้วยความอยากรู้ อีกทั้งอยากเห็นว่าผู้หญิงคนนี้จะสวยจริงดั่งที่ผู้หมวดอาดีลบอกไว้หรือเปล่า
“สวย...สวยมาก...” ผู้พันฟาเรลล์ตอบไม่ต่างจากคนละเมอ
“ผู้พันครับ อีกสิบนาทีก็จะถึงตำหนักของท่านชีคอัลซาแล้ว ผู้พันพร้อมส่งสินค้าหรือยังครับ”
คำถามของผู้หมวดอาดีล ส่งให้ผู้พันฟาเรลล์ต้องหลุบสายตามองใบหน้างามลออของชายิกาอีกครั้ง ความลังเลก่อตัวขึ้นในหัวสมอง และในที่สุดก็ตัดสินใจตอบตามที่หัวใจเป็นตัวสั่งการ...
“กลับบ้าน พาเธอกลับแคว้นมารีนด้วย”
“อ...อะไรนะครับ”
“ผู้พันพูดใหม่สิครับ”
ทั้งผู้หมวดซารุสและผู้หมวดอาดีลเอ่ยถามแทบจะพร้อมๆ กัน
“ได้ยินที่เราสั่งแล้วไม่ใช่หรือ กลับบ้านเดี๋ยวนี้!”
คราวนี้ผู้พันฟาเรลล์ออกคำสั่งเสียงเข้มติดห้วนแข็ง ทำเอาผู้หมวดซารุส ไม่กล้าขัดคำสั่ง
“ได้ครับผู้พัน เราจะกลับบ้านเดี๋ยวนี้ครับ”
เอ่ยตอบไปแล้ว ผู้หมวดซารุสก็หันไปมองหน้าผู้หมวดอาดีล ราวกับต้องการถามว่าเกิด
อะไรขึ้น ผู้พันฟาเรลล์จึงได้เปลี่ยนใจอย่างกะทันหัน ทางด้านผู้หมวดอาดีลได้แต่ส่ายหน้าปฏิเสธ เพราะเขาเองก็กำลังงงเป็นไก่ตาแตกไม่แพ้กัน
ผู้พันฟาเรลล์ทอดสายตาจ้องมองคนที่กำลังสลบไสลอยู่บนเบาะรถ จากนั้นก็ก้มตัวลงแล้วอุ้มร่างบางประคองศีรษะเล็กให้เกยอยู่บนต้นขาของตนเอง
ผู้พันหนุ่มถอนหายใจยาว ขณะมองใบหน้างามของชายิกาอีกครั้ง เขาไม่ได้ตัดสินใจพาหญิงสาวกลับแคว้นมารีน แทนการส่งมอบให้กับเชษฐา เพราะความงดงามของเธอ ทว่า...มีบางสิ่งบางอย่าง ที่ตะโกนบอกอยู่ในใจของเขา ให้พาหญิงสาวกลับบ้าน...บ้านที่เป็นของเขา และอาจจะเป็นบ้านของชายิกาในอนาคตอันใกล้นี้...