บทที่ 4 (1)
หลังจากสร้างความงุนงงให้กับลูกน้องใต้อาณัติทั้งสองคนแล้ว ผู้พันฟาเรลล์ก็ออกคำสั่งต่อในทันทีที่ผู้หมวดซารุสขับรถเข้ามาภายในบริเวณบ้านหลังใหญ่ของเขา ซึ่งมีรั้วกำแพงมิดชิดแน่นหนา
“เดี๋ยวเราจะออกมาคุยกับพวกนาย”
ผู้พันฟาเรลล์อุ้มร่างบางของชายิกาออกมาจากรถยนต์ แล้วก้าวเดินตรงไปยังห้องนอนของตนเอง หลังจากเอ่ยบอกกับลูกน้องทั้งสองแล้ว ขณะเดินตรงไปยังห้องนอนใหญ่ ดวงตาสีนิลคมกริบจับจ้องมองแน่นิ่งยังใบหน้างามนวล พยายามไม่มองต่ำลงไปมากกว่านี้ ด้วยไม่อยากให้ใจสั่นรัวไปกับผิวพรรณยองใย ซึ่งโผล่พ้นจากขอบชุดราตรีสีแดง
เมื่อเข้ามาในห้องนอนได้แล้ว ผู้พันหนุ่มค่อยๆ วางร่างบางลงบนเตียงด้วยกริยาทะนุถนอมอ่อนโยน จนเขานึกแปลกใจตัวเอง เพราะไม่เคยทำกับหญิงใดเช่นนี้
“ผมอยากเห็นดวงตาของคุณชะมัด ผมอยากรู้ว่าดวงตาของคุณดุเหมือนนางเสือ ตามที่อาดีลมันพูดจริงหรือเปล่า”
มือใหญ่ลูบบางเบาไปยังดวงตาที่ยังคงปิดสนิทอยู่ อยากเห็นว่าดวงตาคู่นี้สวยเป็นประกายหรือดุวาววับเหมือนดั่งลูกน้องของเขาพูดไว้
“รู้ไหม ชายิกา คุณกำลังทำให้ผมตัดสินใจทำในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยคิดมาก่อน”
ทั้งๆ ที่สั่งห้ามตัวเองไม่ให้แตะต้องชายิกาไปกว่านี้ แต่มือเจ้ากรรมกลับไม่เชื่อฟังคำสั่งของผู้เป็นเจ้าของ ปลายนิ้วแข็งแกร่งค่อยๆ ไต่ลงมาตามจมูกเล็กโด่งเป็นสัน ระเรื่อยมาถึงเรียวปากบางสีกุหลาบ ที่สร้างความสงสัยให้กับเขาว่ามีรสชาติหวานฉ่ำและสร้างความรัญจวนให้กับเขามากเพียงใด หากได้กดจุมพิตลงไปบนเรียวปากคู่นี้
ผู้พันฟาเรลล์เกิดอาการมือสั่น ขณะลากปลายนิ้วลงมาตามลำคอระหงผ่านลงมายังปทุมถันงามสล้างที่โผล่พ้นจากขอบชุดราตรี ยิ่งได้สัมผัสความนุ่มเนียนของกายสาว มือใหญ่ก็ยิ่งสั่นเทา ราวกับเด็กหนุ่มริรัก ที่ไม่เคยแตะต้องอิสตรีมาก่อน
“บ้าชะมัด! ทำยังกับเพิ่งเคยแตะต้องผู้หญิงเป็นครั้งแรก”
ผู้พันฟาเรลล์ก่นด่าตัวเอง กระชากมือใหญ่ออก ก่อนจะผุดลุกขึ้นยืน ยกมือเสยผมให้ยุ่งไปหมด หงุดหงิดตัวเองที่ปล่อยให้คลื่นความต้องการเล่นงานแค่เพียงได้ลูบสัมผัสผิวพรรณยองใยของชายิกา จนกระทั่งเลือดในกายไหลพล่านไปทั่วทั้งตัว
และเพื่อไม่ให้เลือดในกายต้องร้อนฉ่าไปมากกว่านี้ เจ้าของนัยน์ตาสีนิลจึงตัดใจก้าวถอยห่างจากเตียง รีบเดินออกจากห้องนอน ก่อนเรือนกายแข็งขึงของเขาจะไม่เชื่อฟังคำสั่งของผู้เป็นเจ้าของ!
ภายในห้องทำงานของผู้พันฟาเรลล์ ผู้หมวดทั้งสองคนต่างก็เดินสวนกันไปมาไม่ต่างจากเสือติดจั่น ขณะรอคอยให้ผู้บังคับบัญชาเข้ามาในห้อง และอธิบายถึงการเปลี่ยนแผนอย่างกะทันหันพลันด่วนเช่นนี้
“อาดีล เกิดอะไรขึ้น ทำไมผู้พันถึงเปลี่ยนใจพาผู้หญิงคนนั้นกลับมาบ้าน แทนการส่งให้กับชีคอัลซา”
ผู้หมวดซารุสเอ่ยถาม ขณะเดินสวนกับเพื่อน ซึ่งตีสีหน้ายุ่ง ขมวดคิ้วเข้าหากันกับคำตอบของเขา
“ไม่รู้โว้ย! คนที่จะตอบคำถามของนายได้ดีที่สุดก็คือผู้พัน”
เป็นคำถามที่ผู้หมวดอาดีลไม่สามารถตอบได้ และอยากได้ยินคำตอบเช่นเดียวกัน
“ท่านชีคอัลซาคงกริ้วจัด หากรู้ว่าผู้พันไม่ส่งมอบสินค้าให้ตามสัญญา”
“แน่นอน ซารุส ท่านชีคคงเดือดไม่ต่างจากนั่งอยู่บนไฟ”
“และไฟ! คงลามมาถึงแคว้นมารีนแน่”
ผู้หมวดซารุสเอ่ยต่อท้าย ซึ่งผู้หมวดอาดีลพยักหน้ารับ สีหน้าเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดไม่แพ้คนพูด
“ถ้า ‘ไฟ’ ลามมาถึงแคว้นมารีน เราจะรับผิดชอบเรื่องทั้งหมดนี้แต่เพียงผู้เดียว”
คราวนี้เป็นน้ำเสียงของผู้พันฟาเรลล์ที่เอ่ยออกมาด้วยความหนักแน่น การตัดสินใจของเขากำลังนำความเดือดร้อนมาให้กับทุกคนในแคว้นมารีน แต่เขาพร้อมเผชิญหน้ากับสิ่งนี้ และสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ให้ใครต้องได้รับบาดเพราะการตัดสินใจของเขา
“แม้ไฟจะลามมาถึงที่นี่ ผมกับซารุสพร้อมเสมอสำหรับการอยู่ต่อสู้กับผู้พัน”
ผู้หมวดอาดีลเอ่ยออกมาจากใจจริง เขาและผู้หมวดซารุสเคารพในการตัดสินใจของผู้บังคับบัญชาเสมอ ไม่ว่าผู้พันจะตัดสินใจอย่างไร พวกเขาก็พร้อมอยู่เป็นมือเป็นเท้าให้กับผู้พันฟาเรลล์
“ขอบใจพวกนายสองคนมาก”
ผู้พันฟาเรลล์ตบลงลงไปบนบ่าของผู้หมวดอาดีล ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาภายในห้องทำงานใหญ่ ซึ่งลูกน้องทั้งสองคนต่างก็ทรุดตัวลงนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม รอฟังคำอธิบายทั้งหมดจากผู้บังคับบัญชา
“เรารู้ว่าพวกนายกำลังสงสัยว่าทำไมเราไม่พาชายิกาไปมอบให้กับท่านพี่ตามสัญญา”
ผู้พันฟาเรลล์เอ่ยแทงใจดำ ซึ่งลูกน้องทั้งสองต่างก็พยักหน้ารับ
“เพราะความสวยแตะตาของเธอหรือเปล่าครับ ที่ทำให้ผู้พันเปลี่ยนใจ”
ผู้หมวดซารุสคาดว่าเป็นเช่นนั้น แต่ก็ต้องขมวดคิ้วเข้าหากันยุ่ง เมื่อผู้พันฟาเรลล์ส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่ใช่เพราะความสวยของเธอเท่านั้น แต่มันมีอะไรหลายๆ อย่างที่เราบอกไม่ได้ว่าทำไมเราถึงไม่อยากส่งเธอให้ไปตกอยู่ในมือของท่านพี่” ผู้พันฟาเรลล์ถอนหายใจลึก พลางเอ่ยบอกต่อ
“เวลาเรามองหน้าชายิกา มีบางสิ่งบางอย่างสั่งอยู่ในหัวใจของเราว่าอย่าส่งเธอไป หากส่งเธอไปให้ท่านพี่ ก็เท่ากับว่าส่งเธอให้ไปตกนรกทั้งเป็น”