ตอนที่ 10 : ไฟแค้น 3
สามวันต่อมาพาเพลินก็ยังติดต่อพี่ชายตัวเองไม่ได้ อีกทั้งยังได้ข่าวไม่ค่อยดีนักจากบิดาของดาหลา ว่าเสี่ยพิทักษ์กับหลานชาย ให้คนออกตามหาตัวเพชรกล้า ทั่วทั้งจังหวัดแบบเอาเป็นเอาตาย แต่หลายคนก็คาดว่าเพชรกล้าอาจไหวตัวทัน หนีไปอยู่ที่อื่นตั้งแต่วันแรก ๆ ที่เกิดเรื่องแล้ว ยิ่งติดต่อไม่ได้แบบนี้ ยิ่งทำให้ข่าวลือพวกนั้น ส่อแววเป็นเรื่องจริงขึ้นมา
“เพลินอย่ากลับบ้านเลยนะ พ่อดาหลาบอกว่าไม่ดีแน่สถานการณ์ตอนนี้มันเครียดมาก” ดาหลาไม่เห็นด้วยกับการกลับบ้านในช่วงปิดเทอมนี้ของพาเพลิน
“ไม่ได้หรอกดาหลา เพลินเป็นห่วงพี่เพชรน่ะ อยากรู้ความจริงด้วย ว่าเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่” แม้จะมีข่าวลือในแง่ร้าย แต่พาเพลินยังอยากได้ยินจากปากของพี่ชายตัวเองอยู่ดี
“เพลินนะเพลินทำไมดื้อแบบนี้ งั้นกลับพร้อมกันนี่แหละ ห้ามไปไหนมาไหนคนเดียวล่ะ”
“อืม”
สองสาวหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าลงจากตึก ไปรอเรียกรถแท็กซี่ เพื่อเดินทางกลับบ้านเกิดในช่วงปิดเทอม ชีวิตสองปีในรั้วมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ ช่างผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน ดาหลาแทบนอนหลับไปตลอดการเดินทาง ส่วนพาเพลินนั้นหลับบ้างตื่นบ้างเป็นระยะ
หลายชั่วโมงต่อมารถโดยสารประจำทาง ได้ขับมาจอดอยู่ที่สถานีขนส่งประจำจังหวัด ซึ่งมีบิดาของดาหลามารอรับอยู่ก่อนหน้าแล้ว สองพ่อลูกไปส่งพาเพลินที่บ้านก่อน
“มีอะไรโทรหาดาหลานะ” ดาหลาบอกคนที่เพิ่งหิ้วกระเป๋าลงจากรถไป
“ขอบใจนะดาหลา ขอบคุณคุณลุงที่มาส่งเพลินด้วยนะคะ” พาเพลินยกไหว้ขึ้นไหว้บิดาของเพื่อน ยืนส่งจนรถของพวกเขาขับพ้นตัวบ้านไป
บ้านของเธออยู่ในสวนขนาดเล็ก บ้านข้าง ๆ ก็อยู่ห่างกันไปเกือบหนึ่งกิโลเมตร ปกติแล้วพาเพลินไม่เคยคิดว่าบ้านตัวเองอยู่ในที่เปลี่ยวเลย กระทั่งในวันที่ต้องอยู่คนเดียวแบบนี้ หญิงสาวเปิดประตูเก่า ๆ เข้าไปในบ้าน ล่าสุดที่เธอกลับบ้านก็ปีที่แล้วนี้เอง ผ่านมาแค่ปีเดียวทำไมบ้านของเธอถึงได้ดูทรุดโทรมแบบนี้ คงเพราะพี่ชายของเธอ ไม่ใช่คนรักการทำความสะอาดเท่าไร
หญิงสาวจัดการทำความสะอาดบ้านให้เรียบร้อย เพราะคาดว่าคงต้องอยู่ที่นี่จนกว่าจะเปิดเทอม และยังรอคอยว่าพี่ชายจะติดต่อมาหา หรือว่าอาจจะแอบเข้ามาเจอเธอก็เป็นได้ พาเพลินไม่คิดว่าเพชรกล้าจะหนีออกจากจังหวัดไป อย่างที่คนอื่น ๆ เขาพูดกัน
พอช่วงค่ำหญิงสาวได้รับโทรศัพท์จากดาหลา ชวนให้ไปงานเผาศพของนับดาว ในช่วงบ่ายของวันพรุ่งนี้
“คืนนี้สวดคืนสุดท้ายน่ะเพลิน พรุ่งนี้คือวันเผา”
“เพลินอยากไปฟังสวดศพคืนนี้เหมือนกันนะดาหลา”
“ดาหลาว่าคืนนี้เราอย่าเพิ่งไปเลยนะเพลิน เพิ่งนั่งรถมาเหนื่อย ๆ นี่ปวดไปหมดทั้งตัวแล้ว เราไม่ใช่ญาติเขาด้วยไม่ได้ไปวันนี้ก็ไม่เป็นไรหรอก ไปพรุ่งนี้ดีกว่าจะได้มีเพื่อนด้วย พ่อกับแม่ของดาหลาติดงานที่หมู่บ้านข้าง ๆ เลยให้ดาหลาไปแทน เลยมาชวนเพลินนี่แหละ”
“ก็ดีเหมือนกันเพลินจะได้มีเพื่อน”
“เอาตรง ๆ เลยนะเพลิน ความจริงดาหลาก็ไม่อยากให้เพลินไปเลยนะ งานศพของคู่กรณีพี่ชายของเพลินนี่ แต่คิดอีกทีทำไมเพลินต้องกลัวอะไรด้วย เพลินไม่ใช่คนผิดสักหน่อย ยิ่งเราไม่กล้าไปคนอื่นเขาจะยิ่งคิดว่าเราทำผิดจริง ๆ ไปในฐานะคนรู้จักกันก็พอ”
“ดีแล้วที่ดาหลาชวนเพลินไปด้วยกัน ทางนั้นเขาไม่ได้เชิญเพลินด้วยสิ ขืนไปคนเดียวคงทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน อย่างน้อยบ้านของดาหลาก็ส่งของให้เหมืองของเสี่ยพิทักษ์เขา จะได้มีข้ออ้างว่าไปเป็นเพื่อนดาหลาด้วย เผื่อมีคนถาม”
“งั้นพรุ่งนี้เดี๋ยวเข้าไปรับนะ มีชุดดำไหมเพลิน”
“เพลินมีเสื้อยืดสีดำอยู่ ใส่กับยีนก็พอได้อยู่”
“งั้นตกลงตามนี้นะ ได้เวลาแล้วเดี๋ยวไปรับนะ”
“อืม ไว้เจอกัน”
หลังวางสายจากเพื่อนไปแล้ว เสียงรถของใครบางคนก็แล่นเข้ามาจอดอยู่หน้าบ้าน แค่ชะเง้อหน้าออกไปมองผ่านช่องกระจกหน้าต่าง พาเพลินหัวใจเต้นแรงอย่างไม่รู้ตัว รถคันนี้เธอเคยเห็นจนชินตา เจ้าของก็ไม่ใช่ใครอื่นใคร เป็นคนที่เธอยังไม่อยากเห็นหน้าเขาในตอนนี้เลยจริง ๆ
พาเพลินเดินออกไปที่หน้าบ้าน หญิงสาวไม่กล้าเปิดประตูในทันที ได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่เหมือนคนทำตัวไม่ถูก สองปีมานี้เธอไม่ได้เห็นหน้าเขาอีกเลย ไม่คิดว่าการเจอกันครั้งนี้จะมีแต่ความตึงเครียดเต็มไปหมด
“เปิดประตู” นำทัพบอกคนตรงหน้าของตัวเองดัง ๆ จ้องหญิงสาวเหมือนคนอยากกินเลือดกินเนื้อกัน
เจ้าของบ้านเห็นแล้วถึงกับเป่าลมออกปากฟู่ใหญ่ ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดประตูบ้านให้เขา
“คุณแทนปล่อยนะ ! จะทำอะไร !” พาเพลินตกใจจนร้องลั่น เมื่อนำทัพตรงเข้ามาฉุดข้อมือของเธอ แล้วลากให้เดินเข้าไปในตัวบ้าน แม้พาเพลินจะพยายามรั้งตัวเองเอาไว้ แต่เขาก็กระชากลากดึงเข้าบ้านจนได้ ก่อนปิดประตูพร้อมดึงปิดผ้าม่านตาม
“คุณจะทำอะไร” พาเพลินถามเขา ขณะเดินไปยืนอยู่ตรงมุมหนึ่งของบ้าน เธอแทบก้าวขาไม่ออกในตอนนี้ สีหน้ากับแววตาของเขา ไม่เหมือนคนเดิมที่เธอเคยเห็นเมื่อสองปีก่อน สถานการณ์ตอนนี้ช่างล่อแหลมและอันตรายเหลือเกิน
“มานั่งนี่เพลิน” เขาสั่งพร้อมบุ้ยหน้าไปที่โซฟา
“คุยตรงนี้ก็ได้นี่คะ”
“มา-นั่ง-ตรง-นี้” นำทัพเน้นเสียงหนัก ๆ แบบไม่สบอารมณ์ เพียงเท่านั้นอีกคนก็รีบเดินมาทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาตัวเดียวกัน
“ห้ามโกหกฉันเด็ดขาด”
“แล้วเพลินจะไปโกหกอะไรคุณแทนคะ” พาเพลินไม่เข้าใจในคำพูดแสนกำกวมของเขา เธอยังไม่ได้พูดอะไรกับเขาเลย แต่เขากล่าวหาว่าเธอจะโกหกเสียแล้ว
“ไอ้เพชรมันอยู่ไหน”
“เพลินไม่รู้ค่ะ”
“ปัง !ฉันบอกว่าห้ามโกหกยังไง !” เสียงตบโต๊ะดังขึ้น พาเพลินถึงกับผวาตกใจ ก่อนจะตอบเขาออกไปตามตรง
“ก็เพลินไม่รู้จริง ๆ นี่คะ” คำตอบของเธอ ทำให้เขาต้องสูดลมเข้าปอดลึก ๆ เหมือนคนกำลังอดทนอดกลั้นความรู้สึกโกรธเอาไว้
“งั้นเอาใหม่นะ ครั้งสุดท้ายที่เจอมันคือเมื่อไหร่”
“เอ่อ เพลินกับพี่เพชรไม่ได้เจอนานแล้ว โทรคุยกันครั้งสุดท้ายก็สามสี่วันก่อน” หญิงสาวตอบแล้วก็ปรายตามองเขาไปด้วย เหมือนเธอกำลังถูกบังคับให้ตอบคำถามเรื่องพี่ชายของตนเองอยู่
“เป็นช่วงวันที่เทียนตายพอดีสินะ หึ ๆ” นำทัพหัวเราะเยาะเบา ๆ แววตาของเขาฉายแววความเจ็บปวดออกมาอย่างรุนแรง
“โทรหามันตอนนี้” แต่แล้วประโยคถัดมาจากเขาก็ทำพาเพลินตาโตขึ้นอย่างตกใจ
“เพลินติดต่อพี่เพชรไม่ได้ โทรมาหลายวันแล้ว เหมือนพี่เพชรปิดเครื่อง” หญิงสาวพยายามอธิบายให้เขาฟัง
“โทรเดี๋ยวนี้” ดูเหมือนนำทัพจะไม่รับฟังแต่อย่างใด
พาเพลินเห็นดวงตาคู่ดุดันแสนน่ากลัวของนำทัพแล้ว หากเธอไม่โทรศัพท์หาพี่ชายต่อหน้าเขา เรื่องคงไม่จบง่าย ๆ แน่ หญิงสาวตัดสินใจเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือมาต่อสายหาพี่ชายตรงหน้าเขา
“เปิดลำโพงด้วย”
เสียงถอนหายใจจากหญิงสาวดังขึ้น แต่ก็ยอมเปิดลำโพงตามคำพูดของเขา อีกทั้งยังวางโทรศัพท์มือถือลงบนโต๊ะ ให้เขาเห็นกับตาว่าชื่อที่โทรออกนั้นเป็นชื่อของเพชรกล้าจริง ๆ แต่ไม่ว่าจะกดโทรออกสักกี่รอบ ก็ไม่สามารถติดต่อปลายสายได้เลย