บทที่ 4 คนสำคัญ
โต๊ะทำงานในห้องทำงานของศรุตเป็นโต๊ะที่รกที่สุดเท่าที่นิคกับโมทเห็นโต๊ะทำงานของใครหลายๆ คนมาแล้ว เด็กรับใช้ไม่กล้าขยับของทุกชิ้นบนโต๊ะ ไม่กล้าหยิบแผ่นกระดาษโยนลงตะกร้าขยะแม้แต่ชิ้นเดียว
โมทกับนิคเดินตามเจ้านายหนุ่มเข้ามาในห้องทำงาน ศรุตเดินอ้อมโต๊ะไปนั่งบนเก้าอี้ตัวใหญ่ เขาหยิบแผ่นกระดาษส่งให้โมท
“ไปตามหาบ้านหลังนี้แล้วมาบอกฉัน ส่วนนิคไปโรงพยาบาลด้วยกัน”
“แต่คุณท่านห้ามคุณรุตนะครับ” นิคแย้งคำสั่งของนาย
“ห้ามแล้วไง” ศรุตสวนกลับไม่พอใจ นิคจึงเงียบเสียง
“โมท หาให้เจอแล้วบอกคนที่บ้านเธอว่าเธออยู่โรงพยาบาล ป่านนี้ตามหาให้วุ่นแล้ว”
“ครับ” โมทรับคำแล้วถอยออกไป นิคมองตามเพื่อนรัก
“แกอยากไปด้วยมั้ย ถ้าอยากไปก็ไป”
“ไม่ครับ ผมจะไปโรงพยาบาลกับคุณ”
“ดี นึกว่าจะเชื่อฟังคุณพ่อมากกว่าฉันซะอีก” ศรุตยิ้มแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เขาเดินอ้อมโต๊ะออกมายืนข้างนิคแล้วว่า
“ไปเตรียมรถ ฉันขอไปเอาของก่อนเดี๋ยวลงมา” นายหนุ่มเดินออกจากห้องทำงาน นิคเดินตามออกไปและเลยไปที่ประตูหน้าบ้าน
“นิค นายแกจะไปให้ได้ใช่มั้ย” ศัลย์เดินออกมาจากห้องนั่งเล่น
“ครับท่าน”
“งั้นรายงานฉันทุกระยะเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้น”
“ครับท่าน”
นิคก้มศีรษะแล้วเดินออกไปเงียบๆ บอดี้การ์ดหนุ่มกำลังหนักใจกับคำสั่งของนายใหญ่กับนายน้อย เขาควรจะทำอย่างไรดี นิคถอนใจเฮือก เดินตรงไปที่รถคันใหญ่
โมทขับรถออกไปก่อนหน้านี้ไม่ถึงนาที สองหนุ่มทำหน้าที่ของตนเองเป็นอย่างดี พวกเขารักศรุตเช่นพี่ชายเพราะความผูกพันตั้งแต่เด็กจนถึงวันนี้ พี่ชายช่วยให้พวกเขาได้เรียนจนจบปริญญาตรี ตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการในบริษัทเล็กๆ ของศรุตเป็นเพียงฉากเท่านั้นตำแหน่งที่แท้จริงคือบอดี้การ์ดชั้นเยี่ยมที่สามารถพลีชีวิตแทนนายหนุ่มได้ทุกเวลา แต่เช้าวันนี้พวกเขาทำงานพลาด นายหนุ่มเกือบเหลือเพียงชื่อถ้าไม่มีหญิงสาวใจกล้าโดดเข้าขวางพญามัจจุราชไว้
ศรุตเดินเร็วๆ ผ่านห้องรับแขกไปที่ประตูบ้าน เขาไม่อยากได้ยินเสียงร้องคัดค้านของพ่อกับแม่ เขาตั้งใจทำอะไรแล้วเขาต้องทำให้ได้ เมื่อพ่อไม่ยอมให้เขารับผิดชอบหญิงสาวที่เสี่ยงชีวิตช่วยเขา เขาก็ต้องดื้อทำตามใจตัวเองอย่างนี้
ศัลย์ยืนมองลูกชายคนเดียวก้าวขึ้นรถแล้วถอนใจอย่างหงุดหงิด เขาหันมามองภรรยา หล่อนไม่มีคำพูดให้กำลังใจหรือแก้ตัวแทนลูกชาย คนางค์มองตามท้ายรถของลูกแล้วหันมามองสามี
“มันขัดคำสั่งผมเพราะคุณ” ศัลย์พาลใส่ภรรยาแทนลูก
“ไม่ใช่เพราะฉันแต่เพราะผู้หญิงคนนั้นต่างหาก ฉันจะไม่ทำอะไรจนกว่าเด็กนั่นจะหายดีแล้วออกจากโรงพยาบาล”
สาวใหญ่สะบัดหน้าเดินหนีสามี หล่อนไม่อยากอธิบายให้เขาเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ ศรุตเป็นคนดื้อถ้าไม่มีเหตุผลให้เขายอมรับและเวลานี้ ผู้หญิงที่เสี่ยงชีวิตเพื่อศรุตมีความสำคัญมากกว่าสิ่งอื่นใดและใครๆ ทั้งสิ้น
พศินมองนาฬิกาที่ผนังห้องทุก 10 นาที หลังจากวีรินทร์ออกจากบ้านไปนานกว่า 2 ชั่วโมง หล่อนบอกกับเขาและนันทิตาว่าจะออกไปหาซื้ออะไรทานไม่เกินชั่วโมงจะรีบกลับมาคุยเรื่องงานกับเขาแต่เวลาผ่านไป 2 ชั่วโมงก็ยังไม่เห็นแม้เงาของลูกสาวคนเก่ง เขาถอนใจขณะเหลือบมองนาฬิกาอีกครั้ง
“ยัยวีเหมาขนมหมดตลาดแล้วมั้งคุณ ป่านนี้ยังไม่กลับอีก สองทุ่มแล้ว”
“โทรศัพท์ตามสิคะ” นันทิตาเป็นห่วงลูกสาวเช่นกัน
“โทร.แล้ว โทรศัพท์อยู่บ้าน แกไม่ได้เอาไป ชอบทำให้พ่อแม่ห่วงอยู่เรื่อยสิน่า” เขาบอกภรรยาแล้วหันกลับไปบ่นลูกสาว
“คงเจอเพื่อนมังคะ ปล่อยแกเถอะค่ะ งานเพิ่งเสร็จให้แกพักผ่อนสักอาทิตย์ค่อยคุยเรื่องงานชิ้นใหม่”
นันทิตาพูดเพื่อให้สามีคลายความกังวลลง
“เจอเพื่อนก็ไม่น่าคุยกันจนลืมเวลายังงี้นะคุณ ผมชักเป็นห่วงยัยวีแล้วสิ เราออกไปตามกันมั้ย”
พศินลุกขึ้นยืนทันที นันทิตาดึงมือเขาไว้แล้วออกแรงรั้งให้นั่งลงเช่นเดิม
“ใจเย็นๆ ค่ะ ลูกไม่เป็นอะไรหรอกเชื่อฉันเถอะค่ะ ยัยวีของเราเก่งจะตาย”
“เก่งแค่เรื่องงาน”
“ปากด้วยค่ะถ้าไม่ผิด รอแกอีกครู่ค่อยตามนะคะ”
หนุ่มใหญ่ยอมนั่งที่เดิมแต่ในใจรู้สึกห่วงวีรินทร์ไม่คลาย นันทิตาเป็นฝ่ายมองนาฬิกาเสียเองเมื่อเวลาผ่าน 2 ทุ่มครึ่งไปแล้ว หล่อนลุกขึ้นยืนเดินไปที่ประตู
“คุณคะ เราไปดูลูกกันหน่อยก็ดีนะ”
“ผมรอให้คุณบอกผมนานแล้วที่รัก” เขาลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะไม้มุมห้องหยิบกุญแจรถแล้วเดินไปหาหล่อน ก้าวยาวๆลงบันไดหินอ่อนสี่ห้าขั้นตรงไปที่โรงจอดรถด้านซ้ายมือแต่ยังไม่ทันเปิดประตูรถ เสียงกระดิ่งหน้าบ้านก็ดังขึ้น นันทิตาหันไปมองประตูรั้ว
“ยัยวีกลับมาแล้วมังคะ”
“ไม่ใช่ ยัยวีไม่สั่นกระดิ่งหรอกคุณ ผมไปดูเอง” พศินเดินเร็วๆ ไปที่ประตูรั้ว ชายหนุ่มแปลกหน้ายืนรออยู่หน้าประตู
“มาหาใครครับ” เจ้าของบ้านเอ่ยถามเพราะเขาไม่คุ้นหน้าชายหนุ่ม