บทที่ 3 วีรินทร์
ศรุตขอกำลังนายตำรวจคุ้มกันหญิงสาวหน้าห้องไอซียูโดยไม่ฟังคำคัดค้านของพ่อ เขาจะทำทุกอย่างเพื่อให้ผู้หญิงคนนี้ลืมตามาพูดกับเขาในวันรุ่งขึ้น ถ้าเขาเชื่อพ่อคนร้ายอาจบุกเข้ามาปิดปากหล่อนก็ได้ หล่อนเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด
ศัลย์ขัดใจกับคำถามของนักข่าวที่ตามมาถึงบ้าน เขาปฏิเสธการให้สัมภาษณ์ของลูกชายแต่ศรุตเป็นคนก้าวออกมาหานักข่าวเอง เขาให้สัมภาษณ์ตามความเป็นจริง
“คุณรู้ตัวมั้ยคะว่าใครลอบทำร้ายคุณ”
“ไม่ทราบเลยครับ”
“เห็นหน้าคนร้ายมั้ยครับ”
“ไม่เห็นครับ”
“แล้วผู้หญิงที่เสี่ยงตายช่วยชีวิตคุณไว้ล่ะครับชื่ออะไร เธอเป็นใครครับเป็นคนรักของคุณรึเปล่า”
“ยังไม่ทราบชื่อเธอเลยครับ”
“แสดงว่าไม่ใช่คนรู้จัก ไม่ใช่คนรักแล้วทำไมเธอกล้าเสี่ยงตายเพื่อคุณล่ะคะ”
“ไม่ทราบครับ”
“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับการลงสมัครเลือกตั้งของคุณศรุตรึเปล่าคะ”
“ไม่ทราบครับ”
“เอาล่ะครับ ผมขอยุติการให้สัมภาษณ์แค่นี้ก่อน ขอตัวพาคุณศรุตพักผ่อนก่อนนะครับ ขอโทษนะครับ”
ศัลย์พยักหน้าให้โมทกับนิคกันนักข่าวออกห่างศรุตแล้วพาศรุตเข้าบ้านซึ่งนักข่าวก็เข้าใจว่าชายหนุ่มเหน็ดเหนื่อยไม่พร้อมจะให้ข่าวด้วยซ้ำไป แต่ศรุตก็เป็นชายหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรงที่มีอัธยาศัยดีและเป็นกันเองจนนักข่าวเกรงใจ
ศรุตถูกนักการเมืองใหญ่ทาบทามให้เข้าสมัครเป็น สส.ในพรรคและด้วยฐานะที่เขาเป็นลูกชายคนเดียวของมหาเศรษฐีระดับต้นๆ ของเมืองไทย ศรุตจึงกลายเป็นขวัญใจของสาวไฮโซและไม่ไฮโซทั้งหลาย เขากำลังตัดสินใจลงสมัคร สส.แต่ไม่คิดว่าเพียงแค่รอการตัดสินใจของเขาจะทำให้มัจจุราชก้าวเข้ามาเยี่ยมเยือนเขาในเวลาอันรวดเร็วและมัจจุราชเกือบนำชีวิตของหญิงสาวนิรนามไปแทนเขาในวันนี้
ความสดชื่นกลับมาสู่ชายหนุ่มอีกครั้งเมื่อน้ำเย็นฉ่ำราดรดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เขาใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำนานพอควรจึงกลับออกมา ดวงตาสีเข้มทอดมองไปยังถุงพลาสติกบนเตียงกว้าง เขาก้าวช้าๆไปที่เตียงนอน
“คุณเป็นใคร ทำไมถึงกล้าช่วยผม”
เขาพูดกับถุงพลาสติกที่วางสงบนิ่งอยู่บนเตียงแล้วเดินกลับมาสวมเสื้อผ้าและกลับไปที่เตียงนอนอีกครั้ง เขาทรุดนั่งขอบเตียงหยิบถุงพลาสติกออกมาเปิดดึงกระเป๋าสตางค์สีดำวางบนที่นอน แหวนเงินเกลี้ยงและกำไลข้อมือเงินถูกนำออกมาวางข้างกัน
“ผมขอรู้จักคุณนะ”
ศรุตพูดกับสิ่งของเหล่านั้นแล้วหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาเปิดออก เขาจ้องบัตรประชาชนของหญิงสาวนิ่ง ครู่หนึ่งจึงดึงออกจากช่องสำหรับใส่บัตร
“นางสาววีรินทร์ ศุภฤกษ์”
เขายิ้มออกมาเมื่อเห็นชื่อนามสกุลของหญิงสาวแล้วอ่านต่อทุกตัวอักษรในหน้าบัตรประชาชนของหล่อน
“อายุ 22 ปีก็อ่อนกว่าเรา 6 ปี”
เขาพึมพำขึ้นมาอีกรู้สึกดีๆ กับชื่อของหญิงสาวอย่างบอกไม่ถูก เขาเก็บของทุกอย่างใส่ลิ้นชักหัวเตียงแล้วเดินไปเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์
“ขอผมเช็คประวัติคุณหน่อยนะคุณวีรินทร์ ผมอยากรู้จักคุณมากกว่านี้”
เขาเช็คประวัติหญิงสาวทางอินเทอร์เน็ตข้อมูลที่เขาเห็นถูกบันทึกเป็นตัวอักษรลงในสมุดโน้ตส่วนตัวของเขา ที่อยู่ของหล่อนตรงกับบัตรประชาชนทุกอย่างและหล่อนเป็นโสด
ศรุตลงมาทานอาหารมื้อค่ำกับพ่อแม่ เขาขออนุญาตพ่อไปเยี่ยมวีรินทร์ที่โรงพยาบาลแต่ศัลย์ไม่อนุญาต
“พ่อให้แกออกไปตอนนี้ไม่ได้ แกจะเป็นห่วงอะไรนักหนาก็แค่ผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น ปลอดภัยแล้วก็แล้วกันสิแล้วนี่รู้รึยังว่าเป็นใครอยู่ที่ไหนจะได้ให้พ่อแม่มาดูแลแล้วแกก็ให้เงินไปสักก้อนแค่นี้ก็จบ”
“ไม่ครับ ผมจะไม่ทำอย่างที่คุณพ่อบอก ผมจะรับผิดชอบวีรินทร์ด้วยตัวของผมเอง ผมขอตัว โมท นิคไปพบฉันที่ห้องทำงาน”
ชายหนุ่มลุกจากโต๊ะอาหารเกือบจะทันทีที่พ่อขัดใจและเสนอความคิดที่เขาไม่เคยคิดจะทำ คนางค์แตะมือสามีแล้วว่า
“คุณคะ หยุดเถอะค่ะ ปล่อยแก เดี๋ยวเราค่อยจัดการทีหลัง”
“คุณจะรู้อะไร ถ้าผู้หญิงคนนั้นติดตามข่าวลูกเราตลอดเวลาล่ะมิถือโอกาสนี้จับลูกเราเหรอคุณ ผมจะไม่ยอมรับใครมาเป็นลูกสะใภ้ทั้งนั้นนอกจากหนูพิมพ์อัปสรลูกสาวเพื่อนรักของผมคนเดียว”
ศัลย์พาลโกรธภรรยาที่เข้าข้างลูกชาย เขาลุกจากโต๊ะอาหารอีกคนแล้วเดินขึ้นชั้นบนไป คนางค์ถอนใจยาว ศัลย์ทำธุรกิจร่วมกับโอภาสพ่อของพิมพ์อัปสรมานานหลายปีทั้งคู่จึงกลายเป็นเพื่อนทั้งทางธุรกิจและเพื่อนสนิทในวงการการเมืองพรรคเดียวกัน
ศัลย์เคยเอ่ยปากสู่ขอพิมพ์อัปสรลูกสาวของโอภาสกับสินีนาถให้กับศรุตตั้งแต่ศรุตยังเรียนอยู่ต่างประเทศ โอภาสเลี่ยงด้วยการขอให้ศรุตเรียนจบกลับมาคบหากับพิมพ์อัปสรก่อน ถ้าเด็กทั้งคู่รักกันเขาจึงจะยกลูกสาวให้ แต่ศัลย์ไม่ยอม เขามัดมือชกโดยส่งของหมั้นให้กับพิมพ์อัปสรเป็นสร้อยเพชรราคาเกือบ 10 ล้านบาทซึ่งพิมพ์อัปสรไม่ยินดีรับของหมั้นแต่ขัดแม่ไม่ได้ สินีนาถหวังจะได้ศรุตเป็นลูกเขยมานานแล้ว