เหนือธรรมชาติ

มู่ชิงเหยียน ทะลุมิติพลิกชะตาตระกูลมู่
จากลูกสาวหมอที่ถูกเหยียดหยาม สู่แพทย์หญิงผู้ยิ่งใหญ่แห่งต้าเหวิน! มู่ชิงเหยียนจะรักษา ฟื้นฟู ร่ำรวย และแก้แค้นให้คนทั้งแคว้นคุกเข่าคารวะใต้ฝ่าเท้าของนาง! เรื่องย่อ จากยอดศัลยแพทย์แห่งโลกยุคใหม่ สู่คุณหนูตระกูลหมอที่สิ้นหวัง หลินเยว่ พบว่าตัวเองตื่นขึ้นมาในร่างของ มู่ชิงเหยียน บุตรีคนโตแห่งตระกูลมู่ อดีตตระกูลหมอหลวงผู้เคยรุ่งเรือง แต่บัดนี้กลับต้องใช้ชีวิตอย่างยากไร้ในหมู่บ้านห่างไกล เมื่อบิดาผู้เคยเป็นที่พึ่งพิงต้องกลายเป็นคนติดสุราเพราะถูกใส่ร้ายป้ายสีจนหมดสิ้นทุกอย่าง เขายอมพ่ายแพ้ต่อโชคชะตา มารดาผู้แสนอ่อนโยนที่ความจำเสื่อม และน้อง ๆ อีกสองคนต้องผอมโซเพราะขาดแคลนอาหาร ความรู้สึกผิดที่ไม่อาจจะช่วยชีวิตบิดาตัวเองไว้ไม่ได้ กลายเป็นแรงผลักดันให้เธอลุกขึ้นสู้ในโลกใบใหม่นี้! ด้วย มีดผ่าตัด ที่กลายเป็นมิติลึกลับซึ่งอัดแน่นไปด้วยอุปกรณ์การแพทย์สมัยใหม่และเสบียงที่ไม่เคยหมดสิ้น มู่ชิงเหยียนจึงเริ่มภารกิจพลิกชะตาชีวิตของตระกูล! เธอใช้ความรู้ความสามารถทางการแพทย์อันเหนือชั้น เพื่อรักษาชาวบ้านที่เคยดูถูกเหยียดหยาม จนได้รับฉายาว่า หมอเทวดาน้อย แต่ชื่อเสียงที่ขจรขจายกลับนำมาซึ่งภัยอันตราย เธอต้องเผชิญหน้ากับอำนาจมืดที่คอยหาผลประโยชน์จากการค้าขาย และแล้วโชคชะตาก็นำพาเธอให้กลับไปเผชิญหน้ากับ เซียวจิ่งฮ่าว ท่านโหวหนุ่มผู้เย็นชาและหยิ่งผยอง บุตรชายของตระกูลที่เคยทำลายครอบครัวของเธอ! จากความขัดแย้งที่บาดลึก สู่การร่วมมือกันเพื่อไขปริศนาความจริงเบื้องหลังที่ซ่อนอยู่ เส้นทางรักของท่านโหวและแพทย์หญิงผู้เด็ดเดี่ยวกำลังจะเริ่มต้นขึ้น ท่ามกลางการต่อสู้เพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้ครอบครัว "คนที่เคยเหยียบย่ำตระกูลข้า วันนี้ข้าจะให้พวกเขารู้ว่าอะไรคือการตอบโต้!" การแก้แค้นสุดสะใจที่ต้องทำให้คนทั้งแคว้นต้องสั่นสะเทือนจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว! ติดตามเรื่องราวของ มู่ชิงเหยียน แพทย์หญิงผู้จะมาพลิกชะตาของตระกูลให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ได้ในนิยายเรื่องนี้! ด้วยรัก primพริมโรส

แม่ครัวแห่งยุคกับระบบร้านค้า
หลังจากตายด้วยอุบัติเหตุ วิญญาณของ ‘ตงตง’ เข้ามาสวมร่างลูกสาวเจ้าของโรงเตี๊ยมเล็กๆ ที่ปิดตัวลง ตงตงตัดสินใจมุ่งหน้าฟื้นฟูโรงเตี๊ยมใหม่...โดยมีต้นทุนเป็นระบบร้านค้า!

ซูเจิน นายหญิงแห่งพฤกษา
“ท่านผู้อำนวยการคะ ทางทีมสำรวจแจ้งว่าคนไม่เพียงพอที่จะเข้าไปเก็บตัวอย่างพันธุ์พืชในป่าเมืองเหอหนานค่ะ” ซูเจิน ที่ได้ยินก็หูผึ่งทันที เธอนั่งทำการอยู่ในห้องวิจัยตั้งแต่เรียนจบ ถึงตอนนี้ก็สี่ปีได้แล้ว ผู้อำนวยที่เข้ามาตรวจงานวิจัยล่าสุด ก็มองไปรอบห้อง เพื่อดูว่ามีใครต้องการเสนอตัวไปทำงานในครั้งนี้หรือไม่ แต่หลายคนที่เขามองไป ต่างหลบสายตาของเขา จะมีใครอยากออกไปเสี่ยงอันตราย เดินป่าขึ้นเขาให้เหนื่อยสู้นั่งทำงานในห้องปรับอากาศเย็นๆ ดีกว่า เมื่อไม่มีใครคิดจะเสนอตัว เขาจึงได้สอบถามหาผู้ที่สมัครใจทันที “มีใครอยากจะอาสาไปไหม” ไว้กว่าความคิด ซูเจินยกมือขึ้น “ฉันค่ะ” เพื่อนสนิทรีบดึงเสื้อของเธอเพื่อจะห้ามปราม “จะบ้าหรอ เธอไม่เคยไปสักครั้ง ไม่รู้หรือว่างานนี้เสี่ยงแค่ไหน” เสียงกระซิบของเสี่ยวชิง เอ่ยลอดไรฟันออกมา เมื่อปีที่แล้ว ที่ทีมสำรวจเดินทางเข้าไปที่ป่าเหอหนาน พื้นป่าที่ไม่อาจสำรวจได้อย่างทั่วถึง สร้างความท้าทายให้เหล่านักพฤกษศาสตร์จากทุกองค์กร แต่ไม่ว่าจะส่งเข้าไปกี่ครั้งก็ไปไม่ถึงป่าชั้นกลางเสียที แม้จะใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเข้าช่วยเพียงได้ ก็สำรวจได้เพียงป่าชั้นนอก แถมยังพาชีวิตคนไปทิ้งอีกนับไม่ถ้วน ปีนี้ทางองค์กรของซูเจิน หยิบโครงการสำรวจป่าเหอหนานขึ้นมาใหม่ แต่กว่าจะหาทีมสำรวจได้ครบคนก็กินเวลาไปหลายเดือน ถึงตอนนี้คนก็ยังไม่พอจนต้องมาถามหาจากทีมวิจัยให้ช่วยเหลือ “คุณอยากไปจริงหรือ” เขาเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง “ค่ะ ฉันอยากลองทำงานนี้” ซูเจินยิ้มออกมา “ได้ อีกสองวัน คุณก็เตรียมตัวให้พร้อม” เมื่อมีคนเสนอตัวแล้ว ผู้อำนวยการก็ออกไปพบทีมสำรวจ เพื่อวางแผนการทำงาน ทั้งยังให้ซูเจินตามเขาไปเข้ารวมการประชุมในครั้งนี้ด้วย “เธอมันบ้าไปแล้ว” เพื่อร่วมงานต่างเดินเข้ามาหาซูเจิน แล้วตำหนิเธอที่กล้ายกมือเสนอตัว “เอาน่า ไว้กลับมาฉันจะเอาเรื่องสนุกมาเล่าให้พวกเธอฟัง” ซูเจินยิ้มหวานออกมา ก่อนที่จะเก็บของแล้วไปเข้าร่วมประชุมกับทีมสำรวจ สองวันต่อมาซูเจินก็แบกกระเป๋าเดินทางมาที่จุดนัดพบ เธอออกเดินทางด้วยรถตู้ขององค์กร พร้อมทีมสำรวจอีกเกือบยี่สิบชีวิต ยังดีที่เธอได้แบกกระเป๋าเพียงใบเดียว หากต้องแบกเต็นท์นอน อาหารด้วย คงได้เป็นภาระของคนอื่นอย่างแน่นอน ภายในป่าเหอหนาน น่ากลัวว่าที่ซูเจินคิดไว้เยอะ พอตะวันตกดิน หากไม่มีแสงไฟที่ทีมสำรวจนำมาด้วยคงจะมืดจนมองไม่เห็นอะไร เสียงแมลงทั้งสัตว์ป่าร้องตลอดทั้งคืน สร้างความหวาดกลัวให้กับคนที่ไม่เคยเข้าป่าสักครั้งอย่างเธอได้อย่างดี ยังดีที่เจ้าหน้าที่ผู้นำทางติดตามมาด้วยอีกหลายคน พวกเขาจึงได้อยู่ผลัดเปลี่ยนเวรยาม เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ป่าเข้ามาถึงตัวพวกเขา หลายวันที่อยู่ในป่า ซูเจินเก็บตัวอย่างพันธุ์ได้หลายชนิด แต่ทั้งทีม ยังเดินไม่หลุดป่าชั้นนอกเลย ยังดีที่อาหารที่เตรียมมาเพียงพอให้พวกเขาอยู่ไปได้อีกหลายวัน “เอ๊ะ” เข้าวันที่เจ็ดของการสำรวจป่า ซูเจิน เห็นดอกไม้แปลกตา ที่ขึ้นอยู่ท่ามกลางพงหญ้ารก เธอจึงเดินห่างจากกลุ่มทีมสำรวจเข้าไปดูทันที เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรได้ ระยะห่างที่อยู่ไกลจากพวกเขา หากร้องเรียกก็ยังได้ยินอยู่ เธอหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมา พร้อมทั้งจดรายละเอียดก่อนที่จะดึงต้นไม้เก็บเข้าถุงเก็บตัวอย่างที่เตรียมมา แต่เมื่อมือของซูเจินสัมผัสไปที่ดอกไม้ เธอก็ต้องตกตะลึง เหมือนมีกระแสไฟวิ่งผ่านปลายนิ้วไปจนทั่วทั้งตัว “โอ๊ยย” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของซูเจิน เรียกความสนใจให้คนทั้งหมดรีบวิ่งมาทางที่เธออยู่ ซูเจินเห็นเพียงแสงสีขาวที่สว่างวาบไปทั่ว แล้วภาพตรงหน้าของเธอก็ดำมืดลง

สามี... ลืมไปแล้วหรือว่าเราหย่ากันแล้ว
ทะลุมิติมาเป็นภรรยาได้วันเดียวก็โดนสามีขอหย่า เพราะความจำเป็นหย่าแล้วจำต้องอาศัยอยู่บ้านหลังเดียวกัน ทว่าเขายังทำท่าคล้ายหึงหวงเธออีก สามี… นี่เราหย่ากันแล้วนะ

หลี่ชิงเหมียว...ภรรยาผู้หวนคืน
เพราะความเมตตาจากสวรรค์ ทำให้นางผู้ซึ่งสิ้นอายุขัยในวันที่คลอดลูก ได้กลับมาเกิดใหม่ ในร่างของคุณหนูสามผู้โง่เขลา บุตรีของท่านเจ้าสำนักศึกษาตระกูลหลี่ ความทรงจำในชีวิตก่อนที่ไม่หายไป ทำให้นางต้องพยายามกลับไปยังตระกูลที่นางจากมา เพื่อทายาทที่ไม่ทันได้รู้ว่าเป็นชายหรือหญิง แต่ความวุ่นวายในตระกูลหลี่นั้นก็ไม่น้อยเลย นางจะแก้ไขปัญหาในตระกูลใหม่เช่นไร และนางจะได้กลับไปยังที่ที่นางจากมาอย่างอาวรณ์ได้หรือไม่...

ทะลุมิติไปเป็นฮูหยินแม่ทัพอัปลักษณ์
คำโปรย :นลินธาราสาวอีสานครึ่งคนครึ่งนาคทะลุมิติไปอยู่ในยุคจีนโบราณ ซ้ำยังได้รับสมรสพระราชทานจากฮ่องเต้ให้แต่งงานกับแม่ทัพอัปลักษณ์แดนบูรพา เช่นนั้นแล้วเธอจะทำอย่างไรกับชีวิตต่อจากนี้ดี ........................ เนื้อเรื่องอ่านสบาย ๆ ค่ะ มีภาษาอีสานบ้างประปรายแต่ไรต์มีคำแปลให้นะคะ ใครชอบของแปลกนิด ๆ เชิญทางนี้เลยค่ะ เรื่องนี้เกิดจากจินตนาการของไรต์ทั้งสิ้นไม่ได้อิงประวัติศาสตร์ใด ๆ หากผิดพลาดประการใด ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

สามีของฉันคือชายตาบอด ยุค70
กึก กึก กึก กึก เสียงรองเท้าส้นสูงดังก้องไปทั่วบริเวณออฟฟิศบนตึกสูงใจกลางเมือง เจ้าของรองเท้าพื้นสีแดงแบรนด์ Christian Louboutin เดินเฉิดฉายไปมาอย่างมั่นใจท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชมปนอิจฉา "รองประธานเสิ่นมาที่แผนกบุคคลมีอะไรให้พวกเรารับใช้คะ?" เจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลของบริษัทรีบเอ่ยถามผู้มาเยือนอย่างทันท่วงที ใคร ๆ ในบริษัทเฟอร์นิเจอร์และออกแบบตกแต่งบ้านแห่งนี้ต่างก็รู้ดีว่ารองประธานสาวคนนี้จริงจังกับงานมากแค่ไหน "ฉันแค่เอาใบลาพักร้อนมาส่งค่ะ ท่านประธานเซ็นอนุมัติเรียบร้อยแล้วนะคะ" เสิ่นเจียหนิง หญิงสาวในยุคปัจจุบัน เธออายุ 28 ปีทั้งยังมีหน้าที่การงานมั่นคง มีรถมีบ้านอยู่กลางเมืองใหญ่ รายได้ต่อปีของเธออยู่ที่หลายล้านหยวน ถือว่าเธอเป็นหญิงสาวที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานคนหนึ่ง บริษัทนี้เธอกับรุ่นพี่ที่สนิทกันร่วมกันสร้างมันขึ้นมา ใช้เวลากว่า 3 ปี ในที่สุดบริษัทก็กลายเป็นที่รู้จักเป็นวงกว้างเพราะได้รุ่นน้องอีกหลายคนเข้ามาร่วมงาน อีกทั้งยังมีการขายในช่องทางใหม่ ๆ ที่กำลังเป็นที่นิยมในสังคมเช่นการไลฟ์สด เธอมีพร้อมทุกอย่างแต่กลับไม่มีความสุข แฟนหนุ่มที่คบได้หลายปีก็ต้องเลิกรากันไปเพราะอีกฝ่ายนอกใจไปทำผู้หญิงคนอื่นตั้งท้อง จากนั้นเป็นต้นมาเธอจึงอยู่คนเดียวมาโดยตลอด และไม่กล้าเปิดใจให้ใครอีก "ทราบแล้วค่ะ ดิฉันจะจัดการต่อให้เรียบร้อย ว่าแต่รองประธานเสิ่นหยุดยาวตั้ง 10 วัน จะไปเที่ยวที่ไหนเหรอคะ" "คิดว่าจะขับรถเล่นไปเรื่อย ๆ ค่ะ ค่ำไหนก็นอนนั่น" "เที่ยวให้สนุกนะคะ" "ค่ะ แล้วจะซื้อขนมมาฝากนะ" "อุ้ย ขอบคุณค่ะ" เสิ่นเจียหนิงเดินกลับเข้าไปปิดคอมพิวเตอร์พร้อมกับหยิบกระเป๋าถือ ก่อนจะเดินออกจากออฟฟิศไปโดยที่เธอไม่รู้เลยว่า การจากไปครั้งนี้เธอจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีกแล้ว "หลิวหลิว งานที่ค้างคาอยู่พี่เซ็นให้หมดแล้วนะ ไว้เจอกันอาทิตย์หน้าจ้ะ" เสิ่นเจียหนิงบอกลาเลขาหน้าห้อง เธอลาพักร้อน 10 วัน เธอตั้งใจจะไปพักผ่อนต่างเมืองเงียบ ๆ เพียงลำพัง วันนี้จึงเป็นวันสุดท้ายที่เธอต้องสะสางงานทั้งหมดให้เสร็จก่อนออกเดินทางในวันพรุ่งนี้ "ค่ะพี่เจียหนิง เที่ยวให้สนุกนะคะ แล้วเจอกันอาทิตย์หน้าค่ะ" "จ้ะ แล้วพี่จะซื้อของมาฝากนะ" "ว่าแต่พี่จะไปไหนคะ หนูจะได้รู้ว่าจะฝากพี่ซื้ออะไรที่เป็นของขึ้นชื่อของที่นั่น" เจียหนิงขยี้ผมของเลขาตัวน้อยเบา ๆ เธอเอ็นดูอีกฝ่ายไม่ต่างจากน้องสาว คงมีแต่หลิวหลิวคนนี้ที่กล้าพูดคุยเรื่องทั่วไปกับเธอนอกเหนือจากเรื่องงาน "เรานี่นะ พี่กะว่าจะขับรถไปฉางซา แต่ไม่รู้จะถึงวันไหนเหมือนกัน เอาเป็นว่าพี่จะถ่ายรูปส่งมาในวีแชทเรื่อย ๆ นะ" "กลับไปเยี่ยมบ้านเหรอคะ หนูรอได้ ขับรถไกลขนาดนั้นต้องระมัดระวังเป็นพิเศษด้วยนะคะ" "รู้แล้วจ้า พี่กลับแล้วนะ ยังต้องไปเก็บของที่บ้านอีก" แสงอาทิตย์ยามเย็นทอแสงอ่อน ๆ ลอดผ่านตึกสูงระฟ้า เจียหนิงก้าวเดินออกมาจากอาคารสำนักงาน ผ่านดงผู้คนมากหน้าหลายตาที่ต่างเร่งรีบกลับบ้านหลังเลิกงาน เสียงแตรรถยนต์ดังก้องไปทั่ว ทำให้เธอรู้สึกเหมือนเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ในสังคมเมืองที่วุ่นวายนี้ เจียหนิงขึ้นรถยนต์คันหรูที่จอดรออยู่ในลานจอดรถ ขณะขับรถเคลื่อนตัวไปตามท้องถนน เธอเฝ้ามองผู้คนเดินจูงมือกันไปมา คู่รักหนุ่มสาวหัวเราะคิกคัก เด็ก ๆ วิ่งเล่นอย่างมีความสุข ภาพเหล่านั้นยิ่งทำให้เธอรู้สึกเปลี่ยวเหงาอย่างบอกไม่ถูก ถึงแม้จะมีทุกสิ่งทุกอย่างที่ใคร ๆ ก็อยากได้ แต่เจียหนิงกลับรู้สึกขาดอะไรบางอย่างไป เธอมีเพื่อนร่วมงานมากมาย มีงานทำที่มั่นคง แต่กลับรู้สึกโดดเดี่ยวในใจเสมอมา ความรู้สึกนี้ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นทุกทีเมื่อเวลาผ่านไป เมื่อรถยนต์คันหรูเคลื่อนตัวเข้ามาจอดในโรงจอดรถในวิลล่าหรู เจียหนิงก้าวลงจากรถแล้วเดินเข้าไปในบ้านอย่างเงียบ ๆ เธอตรงไปยังห้องนอนและลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ใบหนึ่งออกมา ก่อนเริ่มจัดเตรียมเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัว "ฉางซา...นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้กลับไป ขอให้ที่นั่นทำให้ฉันคลายเหงาลงได้บ้างก็ยังดี" เจียหนิงคิดในใจพลางจินตนาการถึงภาพบรรยากาศเมืองโบราณอันแสนอบอุ่นของเมืองฉางซา ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อในมณฑลหูหนาน และยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวใกล้บ้านเกิดของเธอ การเดินทางครั้งนี้ เธอหวังว่าจะได้พบเจอกับผู้คนใหม่ ๆ และญาติพี่น้องห่าง ๆ กิจกรรมมากมายอาจจะทำให้เธอได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ ๆ และที่สำคัญที่สุดคือ ได้เติมเต็มความสุขให้กับชีวิตที่ขาดหายไป เจียหนิงเชื่อว่าการเดินทางครั้งนี้อาจจะทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นกว่าเดิมก็ได้ ในยามค่ำคืนหลังจากจัดกระเป๋าเดินทางเสร็จ เสิ่นเจียหนิงเลือกที่จะนั่งอยู่บนโซฟาตัวโปรดมองออกไปยังวิวเมืองที่เต็มไปด้วยแสงสี แต่กลับรู้สึกถึงความว่างเปล่าในใจ เธอเปิดเพลงบรรเลงเบา ๆ เพลงที่คุ้นเคยตั้งแต่เด็ก เพลงที่มักจะได้ยินพ่อเล่นกีตาร์ให้ฟังตอนอยู่บ้านที่ชนบท เสียงเพลงพาให้เสิ่นเจียหนิงนึกถึงวันวานที่เคยใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายที่บ้านเกิด บ้านหลังเล็ก ๆ ที่รายล้อมไปด้วยทุ่งนาเขียวขจี เสียงหัวเราะของพ่อแม่ที่ดังก้องอยู่ในความทรงจำ ภาพของครอบครัวที่อบอุ่นค่อย ๆ ลอยขึ้นมาในหัวใจ เธอคิดถึงอาหารที่แม่ทำให้อร่อยทุกมื้อ คิดถึงบรรยากาศยามเย็นที่ได้นั่งคุยกับพ่อแม่ใต้ร่มไม้ใหญ่ คิดถึงเพื่อนบ้านที่เป็นกันเอง แต่แล้วความคิดถึงก็ถูกตัดขาดลงด้วยความรู้สึกโหยหาที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นมาในใจ พ่อแม่ของเธอจากไปตั้งแต่เธอยังเรียนไม่จบ เธอต้องย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองเพื่อทำงานและใช้ชีวิตตามลำพัง ญาติห่างๆ ที่เคยติดต่อกันตอนเด็กก็ค่อย ๆ ห่างเหินกันไปตามกาลเวลา ในตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนเป็นคนโดดเดี่ยวอยู่ในเมืองใหญ่แห่งนี้ เสิ่นเจียหนิงพยายามที่จะปรับตัวเข้ากับชีวิตในเมือง แต่ก็ยังคงมีความรู้สึกผูกพันกับบ้านเกิดอยู่เสมอ เธอประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน มีเงินทอง มีทุกอย่างที่คนทั่วไปใฝ่ฝัน แต่กลับรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถเติมเต็มความสุขในใจได้อย่างแท้จริง "ฉันกำลังตามหาอะไรอยู่กันแน่? ความสุขที่แท้จริงคืออะไร?" เสิ่นเจียหนิงถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า คำถามเหล่านี้วนเวียนอยู่ในหัวของเธอราวกับไม่มีวันหาคำตอบได้ การเดินทางไปพักผ่อนในครั้งนี้ อาจจะเป็นโอกาสให้เสิ่นเจียหนิงได้กลับมาสำรวจตัวเองและหาคำตอบที่ต้องการก็เป็นได้ หลังจากที่เสิ่นเจียหนิงใช้เวลาครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ เธอก็ลุกขึ้นไปหยิบกล่องเก่า ๆ ที่เก็บไว้ใต้เตียงออกมา กล่องใบนี้บรรจุไปด้วยของที่ระลึกต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปถ่ายเก่าสมัยเด็ก ของเล่นชิ้นโปรด หรือจดหมายที่พ่อแม่เขียนถึงเธอ เสิ่นเจียหนิงเปิดกล่องออกมาอย่างเบามือ ใบหน้าของเธอฉายแววความสุขและความเศร้าปนกันไป เธอหยิบรูปถ่ายครอบครัวขึ้นมาดู ภาพของพ่อแม่ที่ยิ้มแย้มแจ่มใส และตัวเธอตอนเด็กที่กำลังหัวเราะอย่างมีความสุข ทำให้เธออดที่จะน้ำตาไหลออกมาไม่ได้ "พ่อ...แม่...หนูกำลังจะกลับไปเยี่ยมนะคะ" เสิ่นเจียหนิงกระซิบเบา ๆ พร้อมกับกอดรูปถ่ายไว้แน่น เธอรู้สึกเหมือนได้กลับไปอยู่ในอ้อมกอดที่อบอุ่นของพ่อแม่อีกครั้ง ของในกล่องนี้ถือเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจที่เธอทะนุถนอมเป็นอย่างดีเสมอมา

คู่พันธะของเจ้ามังกร
เมื่อไม่สามารถผูกพันธะกับสัตว์อสูรได้จึงถูกปรามาสว่าเป็นสตรีไร้ค่า ทางตระกูลอวี้ที่ไม่ต้องการสะใภ้ไร้ประโยชน์ผู้นี้จึงเป็นฝ่ายขอยกเลิกสัญญาหมั้นหมายและละทิ้งตระกูลม่านหรงไปอย่างไม่ใยดี... “ซือหยวนเอ๋ยชีวิตเจ้าช่างอาภัพยิ่งนัก ในเมื่อสวรรค์ได้มอบโอกาสให้ข้าแล้ว เช่นนั้นความอยุตติธรรมที่ได้รับนี้ข้าจะเอาคืนเเทนเอง!!!”

ไป๋ม่านหรง สตรีพลิกชะตา
ไป๋ม่านหรงหญิงสาวจากยุคปัจจุบันเสียชีวิตแล้วได้ไปสิงร่างเด็กสาววัยสิบสองปี นางพบว่ายุคที่นางอยู่ล้าหลังมากและประสบกับภัยแล้ง จึงต้องการพลิกฟื้นความเป็นอยู่ด้วยระบบสุ่มที่ติดตัวมา

ทะลุนิยายมาเป็นคุณแม่ลูกสี่ นำพาครอบครัวสู่ความรุ่งโรจน์
นางหลุดเข้ามาในนิยายกลายเป็นแม่ตัวร้ายที่มีลูกหลานล้อมรอบ ภารกิจคือสร้างครอบครัวให้มั่งคั่งเพื่อแลกกับการกลับบ้าน แต่เมื่อใจผูกพันจนไม่อาจจาก..โชคชะตากำลังบังคับให้นางต้องจากพวกเขาไปอย่างเจ็บปวด

ภรรยาแสนร้ายกับนายขี้โรค
เธอตื่นขึ้นมาในร่างใหม่ก็โดนสามีบอกเลิกซะแล้ว ได้สิถ้าเขาต้องการอย่างนั้นเธอก็ไม่ขัดข้อง แต่ลูกทั้งสองที่นั่งกอดคอกันร้องไห้นี่สิทำให้เธอตัดสินใจได้ยากยิ่ง

สาวใช้อุ่นเตียงผู้ร่ำรวยของท่านโหวเย็นชา
เมื่อเจ้าของธุรกิจสปาและนวดแผนไทยต้องทะลุมิติไปเป็นสาวใช้อุ่นเตียงของท่านโหว หากอยากเป็นอิสระนางต้องหาเงินสองร้อยตำลึงเงินมาไถ่ตัว เช่นนั้นนางจะหาเงินด้วยวิธีใดได้เล่า

บุรุษอัปลักษณ์ท้ายเรือนนาผู้นี้คือสามีข้า
เป็นคุณหมอดาวโซเชียลเต้นโย่ว ๆ อยู่ดี ๆ รู้ตัวอีกทีก็มาโผล่กลางป่าในเสี้ยววินาทีราวกับดีดนิ้ว ความหวังหนึ่งเดียวคือเรือนนาที่มีแสงไฟเล็ดลอดออกมาหลังนั้น ทว่าคนในนั้นกลับไม่ต้อนรับและมีความแปลกบางอย่าง

ก็บอกว่าไม่เอาบทบาทนักบุญหญิงไงล่ะ
ไม่เอาบทบาทนักบุญหญิง = ได้เป็นนักบุญหญิง นี่คือบทบาทที่มีดีแค่หน้าตา แต่สติปัญญาติดลบ..สรุปก็คือนอกจากจะหน้าตาดี ก็ไม่มีอะไรดีอีกเลย

สตรีผู้อาภัพกับชายเร่ร่อน
หญิงวัยสี่สิบทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างหญิงอายุสิบเก้ากับย่าที่นอนป่วยติดเตียง ชีวิตยากจนไร้ญาติขาดมิตร เธอต้องเก็บผักบุ้งขายเพื่อประทังชีวิต ซ้ำยังต้องคอยสู้รบปรบมือกับแก๊งเลี้ยงควายและชายเร่ร่อนอีก

สามีข้าเป็นมากกว่าชายพิการ
เธอไปเก็บเห็ดแต่ดันได้สามี ซ้ำเธอยังไม่ใช่เจ้าของร่างนี้ สำคัญกว่านั้นเขาพิการ ไม่ใช่พิการธรรมดาแต่พิการแบบตะโกน

ทะลุมิติไปเป็นสามีตัวอ้วนของหญิงอัปลักษณ์
หนุ่มวิศวะผู้หวงความโสดต้องทะลุมิติไปเป็นสามีของหญิงสาวหน้าผีที่มีแต่คนรังเกียจ แต่พ่อกับแม่ของเขาอยากได้หลานแล้วเขาจะทำอย่างไรเมื่อเขาก็ไม่สามารถมีลูกกับคนที่ไม่ได้รักได้เช่นกัน

เจ้าสาวที่เปียกฝน
คำโปรย ความสุขราวกับอยู่ในเทพนิยายของเจ้าสาว วัย 25 ปี จะต้องสิ้นสุดลง...เมื่ออยู่ๆ เธอก็เป็นลมหมดสติไปในงานแต่งงานของตัวเอง และตื่นมาอีกที ในร่างของใครก็ไม่รู้! อารัมภบท หญิงสาวมองตัวเองในกระจกเป็นครั้งแรก หลังจากได้วิ่งวนตามหาเจ้าบ่าวของตัวเองไปจนทั่ว เธอพบเจอเขาแล้ว พบเจอทุกคนที่เธอรู้จัก แต่ทว่า เหมือนไม่มีใครรู้จักเธอเลยสักคน “โอ้...มายก็อด นี่เราอยู่ในร่างใครกันเนี่ย?” ผมเผ้ายุ่งเหยิงในกระจก สอดรับกับใบหน้าซีดเซียวที่เหมือนไม่ได้มีเลือดไปเลี้ยง กับริมฝีปากเทาปนเขียวที่ทำให้เธอต้องกัดเม้มริมฝีปากตัวเองไปหนึ่งที “ถึงว่า...ทำไมใครๆ ก็พากันวิ่งหนี หน้าอย่างกับผี...” เธอว่าพร้อมจับใบหน้าของผู้หญิงในกระจกไปมา ก่อนจะเหลือบไปมองชายร่างสูงที่วิ่งตามเธอไปทุกที่ตลอดการวิ่งวน และตอนนี้ก็มายืนอยู่ด้านหลังเธอ ในห้องน้ำหญิงของโรงพยาบาลแห่งนี้ กระจกเงาตรงหน้าสะท้อนความคมคายได้สัดส่วนของเรียวหน้านั้น แววตาคมปลาบทอประกายอบอุ่น พร้อมปกป้อง ปะปนไปด้วยความสงสาร แตกต่างจากทุกสายตาที่เธอได้พบเจอ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ยอมรับเลยว่ามันทำให้ใจที่ร้อนรนของเธอค่อยๆ ผ่อนลงได้ ก่อนหันไปเผชิญหน้ากับชายผู้นั้น พร้อมเอ่ยถามว่า... “เป็นผัวคนนี้เหรอ?” เรื่องราวมันจะเป็นยังไง เธอไปอยู่ร่างของใคร ? เธอจะติดต่อกับครอบครัวแท้จริงได้หรือไม่ ? จะมีคนเชื่อในสิ่งที่เธอพูดไหม ? แล้วสุดท้ายเธอจะได้กลับไปอยู่ในร่างเดิมของตัวเองได้หรือเปล่า ? ฝากติดตามและเป็นกำลังใจให้เจ้าสาวที่เปียกฝนคนนี้ด้วยนะคะ เทพีปรัมปรา พฤษภาคม 2567

วิศวะอาคม NC25+
จะไสยหรือจะเสว... เดี๋ยวได้รู้กัน!

ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายท้ายหมู่บ้านผู้มั่งคั่ง
โปรย: กมลาภาทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายลูกสอง สามีหนีไปมีหญิงอื่น ลูกชายคนโตหูหนวก อาชีพเดิมคือขอทาน แล้วอย่างนี้นางเอาอะไรเลี้ยงลูก .................... ดลธีกับบ่าวรับใช้มาที่ร้านเถ้าแก่เส็งอีกครั้ง คราวนี้มีสินค้าที่ดูแปลกตากว่าครั้งที่แล้ว เขามองอยู่นานก่อนจะเอ่ยถามเถ้าแก่ “เป็นฝีมือนางอีกแล้วรึ” “ขอรับ วันนี้มีพนักงานในอำเภอมาซื้อไปหนึ่งใบด้วยนะขอรับ” “อืม… สำหรับสตรีก็เหมาะสมอยู่เหมือนกัน” “นายท่านไม่ลองซื้อไปให้คนสนิทสักใบหรือขอรับ” เถ้าแก่ไม่กล้าพูดออกไปตรง ๆ ว่าคนสนิทที่เขากล่าวถึงหมายถึงคนรัก ดลธีทำเหมือนไม่เข้าใจกับสิ่งที่เถ้าแก่กำลังจะสื่อหันหน้าไปทางบ่าวรับใช้แล้วเอ่ยขึ้น “เอาไหมหม่ำข้าจะซื้อให้เจ้า” หม่ำหัวเราะแห้ง ๆ “นายท่านล้อข้าเล่นแล้ว” ทั้งเถ้าแก่เส็งและดลธีต่างหัวเราะเสียงดัง “นายท่านมาวันนี้มีอะไรให้ข้ารับใช้หรือขอรับ” เถ้าแก่เส็งรู้ดีว่าถ้าเขาไม่มีธุระจะไม่แวะมาที่ร้านบ่อยขนาดนี้ “ข้าอยากเจอนาง” “แม่นางที่ถักกระเป๋านี้หรือขอรับ” “ใช่ เป็นนาง” “เอ่อ…แต่นาง…” ปรารถนาขอร้องกับเถ้าแก่เส็งไว้ว่าไม่อยากให้ใครรู้จักตัวตนของนาง ขอให้พวกเขารู้จักแค่สินค้าของนางก็พอแล้ว เขาไม่เปิดโอกาสให้เถ้าแก่ปฏิเสธ “บอกนางว่าข้ามีงานให้นางทำรายได้ไม่ต่ำกว่าสี่สิบเหรียญทอง นางจะสนใจทำหรือไม่ก็แล้วแต่นาง” เขากล่าวต่อพร้อมยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้ “ถ้านางพร้อมเมื่อไรก็เข้าไปแจ้งคนของข้าตามที่อยู่นี้” “ขอรับ” “กระเป๋าสามใบนี้ข้าจะรับซื้อทั้งหมดเอง จัดการให้ข้าด้วย” “ขอรับนายท่าน” เถ้าแก่กุลีกุจอจัดการให้เขาทันที
