บทที่ 4 ความว่างเปล่า
ติ๊กตอก!... ติ๊กตอก!... ติ๊กตอก!....
เสียงของนาฬิกาเดินอย่างเชื่องช้า ภายในห้องนอนเล็กๆ แสงแดดแก่ๆ สาดส่องลอดผ่านทางหน้าต่างบานเล็กๆ บอกเวลาของช่วงวันว่ามันสายมากแล้ว เสียงนกตัวน้อยที่เกาะอยู่บนกิ่งไม้ส่งเสียงร้อง จิ๊บ จิ๊บ ออกมาราวกับพวกมันกำลังร้องเพลงเล่นอยู่นอกหน้าต่าง เสียงขยับตัวบนเตียงที่ยับยู่ยี่เหมือนผ่านศึกสงครามมาอย่างหนักเมื่อคืน เด็กหนุ่มตื่นขึ้นมาเมื่อเวลาสายมากแล้วข้างๆ ตัวเขานั้นไม่มีใครอยู่แล้ว เหลือเพียงความว่างเปล่าและความเงียบภายในห้องเท่านั้น
‘เขาไปแล้ว’ เคย์คิด
เด็กหนุ่มฝืนลุกขึ้นและพยายามที่จะขยับตัวแต่ก็ไม่ไหวจริงๆ ร่างกายนั้นระบมไปหมดจนเขาขยับตัวแทบไม่ได้ด้วยซ้ำ เด็กหนุ่มทิ้งตัวลงนอนไปอีกครั้ง สองมือเรียวยกขึ้นผสานไว้บนหน้าผาก น้ำตาก็พลันรื้นขึ้นมาเต็มกรอบดวงตาทั้งสองข้าง
‘ทำไมต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับเราด้วยนะ’ ‘แล้วเราจะทำยังไงดี’ ‘คุณย่าจะรู้รึเปล่า’ ‘ถ้าคุณย่าถามเราจะตอบยังไงดี’ คำถามมากมายเกิดขึ้นในใจของเคย์อย่างเงียบๆ
เด็กหนุ่มเอามือข้างหนึ่งมาเช็ดน้ำตาของตัวเอง และค่อยๆ ดำดิ่งข้าสู่ภวังค์ความเศร้า ความคิดสับสนเกิดขึ้นในหัว ความทุกข์เริ่มเกาะกุมในหัวใจของเขา น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลรินออกมา เขาร้องไห้ให้กับตัวเองก่อนจะพล้อยหลับไปอีกครั้ง
จนเวลาบ่ายแก่ๆ เคย์ได้ยินเสียงแว่วๆ ดังออกมาพร้อมเสียงเคาะประตูเบาๆ จากอีกด้านหนึ่งของประตู ซึ่งเป็นเสียงเรียกของคุณย่าของเคย์นั้นเอง
“เคย์เอ้ยเคย์…ได้ยินเสียงย่ามั้ยหลาน” เสียงชราของคนแก่ดังขึ้นพร้อมเสียงเคาะประตูเบาๆ
“…………………………..” ไม่มีเสียงตอบกลับมา
“เคย์เอ๊ย ...ยังไม่ตื่นอีกเหรอจ๊ะหลาน…นี่มันสายมากแล้วนะหลานไม่สบายรึเปล่าลูก…แล้ววันนี้ไม่ไป ร.ร. เหรอ…ย่าเข้าไปได้มั้ย” เสียงย่าเรียกอีกครั้งพร้อมคำถามรัวๆ ตามประสาคนแก่ที่ถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใยต่อหลานของตน
“ผมเป็นไข้นิดหน่อยครับคุณย่า ไม่ต้องห่วงนะครับผมดีขึ้นแล้ว กินยาไปเลยนอนหลับยาวเพิ่งจะตื่นเมื่อกี้เองครับ” เคย์ตอบกลับออกไปทันทีเพื่อไม่ให้คนที่อยู่อีกด้านหนึ่งของประตูเป็นห่วงจนเกินไป
“งั้นเหรอจ๊ะ..งั้นย่าลงไปทำข้าวต้มให้หลานนะ…กินอะไรสักหน่อย…นี่ก็บ่ายมากแล้ว” ย่าบอกกับเคย์
“ครับคุณย่า เดี๋ยวผมตามลงไปนะครับ” เคย์ตอบกลับไป
“หลานรีบตามย่าลงมาล่ะ” ย่าเอ่ยขึ้นก่อนที่จะเดินลงไปยังชั้นล่างอย่างเชื่องช้าเพราะแกชรามากแล้ว
“ครับคุณย่า” เคย์ตอบ
ในห้องเด็กหนุ่มค่อยๆ ยันตัวเองให้ลุกขึ้นจากเตียงอย่างช้าๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนและกำลังจะก้าวเท้าเดินไปยังห้องน้ำ กลับหล่นลงไปกองอยู่กับพื้นแทน ทั้งเอวระบมไปหมดและขาก็ไม่มีแรงเลยทำให้จังหวะการก้าวเดินไม่มั่นคงจนล้มลง
‘โอ๊ย!!!......’ เคย์ร้องอย่างเจ็บปวด
ก่อนจะพยายามลุกขึ้นยืนอีกครั้ง มือข้างหนึ่งยื่นไปจับที่นอนตรงหมอนเพื่อที่จะเป็นที่ยึดให้พยุงตัวเองลุกขึ้นมาได้ พลันปรายนิ้วเรียวของเคย์ไปสะกิดเข้ากับอะไรบางอย่าง ก่อนที่เคย์จะใช้มือหยิบมันขึ้นมาดู มันคือแหวนทองคำขาวฝังเพชรเล็กๆ ล้อมรอบวงหนึ่งที่ห้อยติดอยู่กับสร้อยทองคำขาวเป็นมันวาววิบวับเส้นหนึ่ง ที่ตัวแหวนนั้นสลักคำว่า ‘อิล ซาอัค’ เป็นตัวอักษรอาราบิกไว้ ซึ่งเคย์อ่านมันไม่ออก ใจของเด็กหนึ่มหม่นลง น้ำตาที่ไหลลงมาอาบสองแก้ม เขากัดริมฝีปากตัวเองจนห้อเลือด ใจนั้นอยากจะให้เรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเองเมื่อคืนมันเป็นเพียงแค่ความฝันจริงๆ
เคย์ยกหลังมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาและฝืนลุกขึ้นเดินเข้าห้องน้ำเพื่อที่จะอาบน้ำ ก่อนจะหันไปเห็นตัวเองในกระจกตรงอ่างล้างหน้า ที่บนตัวนั้นเต็มไปด้วยรอยกัดและรอยจูบเป็นจ้ำๆ ช้ำๆ ที่มีทั้งสีม่วงๆ และแดงๆ เต็มไปหมด เด็กหนุ่มยกมือขึ้นขยี่และถูไปมาตามลำตัวของตนเอง ก่อนที่จะเดินไปเปิดฝักบัวเพื่ออาบน้ำชำระตัวเองและคราบอะไรต่อมิอะไรที่ไหลออกมาจากตรงนั้นของเขา
ฟองสบู่ที่ฟอกไว้ทั่วทั้งตัวถูกใช้ใยขัดจนผิวหนังเริ่มที่จะแสบไปทั้งตัว ก่อนจะถูกน้ำชะล้างออกไป ใบหน้าเศร้าๆ ที่น้ำไหลผ่าน ก้มลงมองพื้นก่อนที่เคย์จะย่อตัวลงนั่งกอดเขาตัวเองและร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้ง ความรู้สึกระคนปนเปย์กันจนจุกอยู่ที่อกพูดไม่ออก ความว่างเปล่ากำลังจะเข้ามาแทนที่ในหัวใจที่ปวดร้าวของเขา
เคย์ใช้เวลาอยู่นานพอควรก่อนที่จะเดินออกมาจากห้องน้ำ ในห้องที่ว่างเปล่าและเงียบสงบเหมือนทุกวัน แต่วันนี้ทำไมเคย์ถึงได้รู้สึกว่ามันเงียบและเย็นกว่าทุกวันกันนะ ความเย็นภายในห้องตกกระทบกับผิวหนังและใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยคราบน้ำตาของเคย์แต่เขาก็ไม่ได้แยแสมันสักเท่าไหร่ ก่อนที่จะเดินไปนั่งที่เตียง พลางหยิบแหวนขึ้นมาดูอีกครั้ง
‘ทำไม………………………..’ เคย์คิดแต่แล้วก็หยุดนิ่งไปพร้อมกับจองดูแหวนในมือด้วยใบหน้าหม่นๆ ก่อนจะคิดเรื่อยเปื่อยไป ‘(สวมมันติดตัวไว้นะเก็บไว้ให้ดี)’ ในตอนที่หลับอยู่นั้นเหมือนมีเสียงใครสักคนแทรกเข้ามาในภวังค์นั้น
‘เลิกคิดเถอะ ก็แค่คนแปลกหน้าคนหนึ่งที่เราไม่รู้จักและอาจจะไม่ได้เจอกันอีกแล้วก็ได้’ เคย์คิดและเงียบไป………..
ทางด้านคุณย่าของเคย์ที่เห็นหลานของตนยังไม่ลงมาสักทีจึงเดินขึ้นไปตามอีกรอบ
“หลานเสร็จรึยังลูกย่าทำข้าวต้มไว้เสร็จแล้ว…ลงมากินเร็วเข้า” เสียงเรียกของย่าดังมาจากหน้าห้องของเคย์อีกครั้ง
“ครับคุณย่า” เคย์ตอบ พร้อมทั้งเด้งตัวเองให้ลุกขึ้นยืนและรีบใส่เสื้อผ้าหนาๆ และรัดกุ้มปกปิดทุกส่วนบนร่างกายทำราวกับว่าตัวเองนั้นป่วยจริงๆ ก่อนจะรีบเปิดประตูออกมา และเดินลงไปกินข้าวต้มพร้อมกับคุณย่า
“วันนี้ก็หยุดพักผ่อนสักวันนะหลานอย่าไปทำงานเลยย่าเป็นห่วง” คุณย่าพูดขึ้นพร้อมกับใบหน้าที่เหี่ยวย้นที่ฉายแววกังวนอยู่เล็กน้อย
“ไม่เป็นไรครับคุณย่า” เคย์พูดขึ้นพร้อมกับยิ้มออกมา
“จะไม่เป็นอะไรได้ยังไง ขนาด ร.ร. ยังไม่ได้ไปแล้วยังจะไปทำงานไหวได้ยังไง” หญิงชราพูดขึ้นอีกครั้ง
“ผมดีขึ้นแล้วครับคุณย่า วันนี้ ร.ร ปิดครับแล้วพรุ่งนี้ก็จะเป็นวันรับใบประกาศจบการศึกษาของนักเรียน ม.ปลายครับคุณย่า” เคย์บอกกับย่าของตน
“เหรอจ๊ะ..หลานของย่านี่เก่งจริงๆ ถ้าพ่อกับแม่หลานยังอยู่ก็คงจะดีใจมากเหมือนย่าแน่ๆ” หญิงชราพูดขึ้นใบหน้าเหี่ยวย้นนั้นเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มดีใจนั้นทำให้เคย์ใจชื้นขึ้นมา ความหม่นหมองที่มีค่อยๆ จางหายไปเมื่อมองดูย่าของเขาและยิ้มออกมาอย่างสดใส เพื่อให้รอยยิ้มนั้นปกปิดเรื่องทุกข์ที่อยู่ในใจของเคย์
“คุณย่าต้องแต่งตัวสวยๆ ไป ร.ร ในวันพรุ่งนี้กับผมนะครับ” เคย์พูดพรางยิ้มร่าเริง
“จ๊ะ” ย่าตอบเคย์เพียงสั้นๆ พร้อมทั้งยื่นมือไปลูหัวอย่างรักใคร่เอ็นดู
“ส่วนของที่จะย้ายออกผมค่อยกลับมาช่วยเก็บนะครับ” เคย์บอกกับย่าของตัวเอง
“จ้า..ย่าก็เก็บแล้วก็ส่งไปทางนั้นบางส่วนแล้ว…ดีที่มหาลัยที่หลานสอบติดอยู่ในย่านเดียวกับบ้านของแม่ของหลานที่ตากับยายหหลานซื้อไว้ให้แม่ของหลานอยู่ตอนแม่ของหลานมาญี่ปุ่นใหม่ๆ ตอนที่แม่ของหลานแต่งงานกับพ่อหลานตากับยายของหลานก็บอกว่าจะมาอยู่ด้วยค่อยรออุ้มหลาน…แต่โชคร้ายก่อนมาที่นี่พวกเขาประสบอุบัติรถชนเหตุเสียชีวิตทั้งคู่…ตอนที่แม่ของหลานเสียย่าไม่กล้าพาหลานไปอยู่เพราะกลัวว่าจะทำให้คิดึงพ่อและแม่ของหลาน…แถมตอนนั้นหลานยังเด็กมากๆ ย่ากลัวว่าญาติทางฝั่งแม่หลานที่ไทยจะมาพาหลานไปและทิ้งย่าไว้ให้อยู่ตัวคนเดียว…ย่าจึงไม่กล้าพาหลานไปอยู่…ย่าจึงเช้าบ้านหลังนี้เพื่ออยู่กับหลาน…ตอนนี้ย่าก็แก่มากขึ้นทุกวัน…ย่าไม่อยากเห็นหลานต้องมาทำงานหนักทุกวัน…เรียนไปด้วยทำงานเสียค่าบ้านไปด้วยเหมือนตอนนี้…อย่างน้อยก็มีบ้านให้หลานอยู่” คนเป็นย่าพูดอย่างยืดยาวเป็นเชิงบอกให้หลานชายของตัวเองรับรู้
“ไม่เป็นไร่หรอกครับคุณย่า ผมอยู่ที่แบบไหนก็ไก้ขอแค่มีคุณย่าอยู่กับผมก็พอ” เคย์บอกพร้อมทั้งกอดเอวย่าของเขาไว้
หญิงชราลูบหัวหลานชายอีกครั้งพร้อมทั้งกอดตอบ อ้อมแขนของเธอถึงจะดูไม่มีแรงแต่ก็อบอุ่นมากจริงๆ สำหรับเด็กที่ไม่มีพ่อแม่แล้วแบบเคย์
“ผมออกไปข้างนอกก่อนนะครับย่าจะออกไปซุปเปอร์มาร์ทแล้วจะพ้นไปทำงานเลย คุณย่าเข้านอนเลยนะครับไม่ต้องมานั่งคอยผมเหมือนทุกวัน คืนนี้ผมน่าจะกลับดึกอีกครับ หลังงานเลิกแล้วคุณลุงเถ้าแก่และพนักงานที่ร้านเขาจะเลี้ยงส่งแล้วก็ฉลองจบการศึกษาให้ผมครับ” เคย์บอกย่าพร้อมยกมือขึ้นเกาหัวตัวเองอย่างเขิลอายในที
“จ๊ะ….กลับบ้านดึกๆ หลานระวังตัวด้วยนะลูก…ย่ามีแค่หลานคนเดียว” หญิงชราพูดบอกก่อนจะเอามือหยิบชามข้าวต้มที่กินหมดแล้วตรงหน้าหลานชายไปเก็บล้างทำความสะอาด
“ผมขึ้นขึ้นไปเอากระเป๋าข้างบนก่อนนะครับคุณย่า” เคย์บอก
ย่าของเคย์แค่หันมายิ่มให้กับหลานชายของตนแล้วก็หันหน้าไปขมักเขม้นล้างจานต่อ
เคย์เดินขึ้นมาบนห้องก่อนจะหยิบกระเป๋าเคย์ได้ทำการเปลี่ยนเสื้อผ้ามาใส่เสื้อแขนยาวคอเสื้อสูงและกางเกงขายาวแบบที่วัยรุ่นญี่ป่นเขาใส่กันตามเทรนก่อนสวมแจ็กเก็ตกันหนาวทับอีกที ถึงตอนนี้ที่ญี่ปุ่นจะเป็นฤดูร้อนแต่ตอนกลางคืนก็ยังหนาวอยู่เล็กน้อยโดยเฉพาะคนขี้หนาวแบบเขา เคย์เป็นเด็กหนุ่มที่หน้าตาดีแถมยังน่ารักเป็นทุนอยู่แล้วจะใส่อะไรก็ดูน่ารักและดูดีไปหมด ถึงเคย์จะไม่ใช่เด็กที่ตามแฟชั่นเท่าไหร่ แต่เขาก็คิดว่ามันดีกว่าที่จะใส่เสื้อแขนสั้นคอปกและกางเกงขาสั้น ที่อาจจะทำให้เห็นรอยอะไรแปลกๆ ปนตัวเขา ก่อนออกจากห้องไปเหมือนมีอะไรดนใจให้เคย์หยิบสร้อยที่มีแหวนสลักชื่อห้อยไว้แทนจี้ไปด้วย เคย์หยิบมันมายัดใส่ลงไปข้างเสื่อแจ็คเก็ตที่ใส่ทับเสื้อแขนยาวตัวในไว้ ก่อนจะหยิบกระเป๋าแล้วสะพายเดินลงไปข้างล่าง
“ไปก่อนนะครับคุณย่า” เคย์กล่าวบอกย่าก่อนเปิดประตูและออกจากบ้านไป
“ไปดีมาดีนะจ๊ะหลาน” ย่าของเคย์กล่าวตอบด้วยรอยยิ่มอบอุ่นบนใหบหย้าย่นๆ ของเธอก่อนที่ประตูจะปิดลง