เนียนสักหน่อย 2 เนียนมาเนียนกลับ Part 3
“กินไรดี” ตอนนี้เราทั้งคู่กำลังเดินไปที่โรงอาหารของคณะ “โอ๊ะ ไอ้บีทนั่งจองโต๊ะอยู่ตรงนั้น” อีกฝ่ายยกนิ้วชี้ไปที่โต๊ะข้างเสาโต๊ะหนึ่ง
“…” ไม่อยู่
กวนกับดินสอไปหาเพื่อนที่นั่งจองโต๊ะอยู่ กวาดตามองหาใครคนหนึ่งอยู่ชั่วครู่ เมื่อเขาไม่เห็นใครอีกคนอยู่ด้วยจึงถามออกไป
“ไอ้จัง...”
“มันบอกว่ามีธุระ”
“โด่วไรวะ กูอุตส่าห์จะขอเบอร์มันแล้วก็แนะนำเพื่อนใหม่กูให้ไอ้บอสรู้จักสักหน่อย เห็นว่าเปิดมาสองวันยังไม่มีเพื่อนเลยไม่ใช่เหรอวะ ฮ่าๆ”
“พวกมึงนินทาอะไรกู”
“เชี่ยแม่งตายยากฉิบ” จู่ๆ เพื่อนที่อยู่ในหัวข้อสนทนาก็โผล่ออกมาทางด้านหลังคนพูดตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
“ไอ้ดินล้อมึงเรื่องที่ไม่มีเพื่อน” ไอ้บีทตอบพลางแสยะยิ้มแกล้ง ยิ้มได้น่ากลัว ไม่สมกับหน้าตาเลยสักนิด
“มึงอยากเป็นอาจารย์ใหญ่ให้กู?”
“เปล๊า กูแค่จะแนะนำเพื่อนใหม่ให้มึงเฉยๆ ไอ้บีทมึงอย่ามาใส่ร้ายกูดิเดี๋ยวไอ้บอสก็ฆ่ากูพอดี” ดินสอคุยกับบอสประโยคแรกส่วนประโยคหลังหันมาโวยใส่บีทเพื่อนรัก “เชี่ย!! แล้วมึงไปเอามีดมาจากไหนมาถือวะน่ะ กูแค่ล้อมึงนิดเดี๋ยวมึงถึงกับจะฆ่ากูจริงๆ เลยเหรอ กรี๊ด!”
อยู่ๆ ไอ้บอสก็เอามีดออกมาจากส่วนไหนไม่รู้มาถืออย่างกับมีกระเป๋าสี่มิติของโดราเอม่อน งั้นที่มาแบบไม่มีใครเห็นเมื่อกี้คือมันใช้ประตูไปที่ไหนก็ได้สินะ
บีทยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจคำด่าของเพื่อนแล้วก็เกิดสงครามขนาดย่อมขึ้นเป็นปกติเมื่อมันสามตัวมาอยู่รวมกัน และคนที่สี่อย่างกวนก็ต้องเป็นกรรมการตีระฆังสงบศึกให้พวกมันกลับสู่สันติอีกครั้ง
เต๊ง! หมดยก
“กูจะนับถอยหลัง 3 วิ ถ้าพวกมึงยังไม่เลิกเล่น พวกมึงจะได้แดกเท้ากูแทนข้าว”
กวนพูดหน้าตาย สุดท้ายก็แยกย้ายกันไปซื้อข้าวทันทีโดยมีของวางจองโต๊ะเอาไว้
กวนแล้วก็เพื่อนอีกสองคนเหมือนกันตรงที่เข้ากับคนได้ยากและจะคุยกับคนที่สนิทด้วยเท่านั้น แต่กับคนอื่นที่ไม่ได้สนิทก็จะคุยแบบประหยัดคำพูดกลัวดอกพิกุลจะร่วงจากปาก ต่างจากดินสอที่ค่อนข้างเหมือนเด็กและขี้โวยวายอีกอย่างคือหลอกง่าย มันเลยเป็นเหตุให้พวกเพื่อนทั้งสองตัวชอบแกล้ง เขาเคยถามพวกมันว่าทำไมถึงชอบแกล้งดินกัน พวกมันตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘สุขกู’
“ไอ้กวน แล้วเพื่อนใหม่พวกมึงนี่ใครวะ” ระหว่างที่กำลังกินข้าวกันอยู่บอสก็หันมาถามเขาที่นั่งอยู่ข้างกัน แต่เป็นดินสอที่เงยหน้ามาตอบแทน
“ที่กูเล่าให้มึงฟังเมื่อวานไง”
“?”
“ที่มันไปปลุกไอ้กวนแล้วโดนมันถีบเอาอะ”
“อ๋อ”
“จะว่าไปกูก็สงสัยนะ” ดินทำหน้าสงสัย “โดนไอ้กวนถีบล้มคะมำก้นจ้ำเบ้าลงไปกองกับพื้นต่อหน้าประชาชีขนาดนั้น มันยังไม่โกรธเชี่ยกวนเลย แถมได้มาเป็นเพื่อนเพื่อนอีกต่างหาก เป็นกูนะ กูคงลุกขึ้นมากระทืบซ้ำ ต่อยซ้ายต่อยขวาอีกสักสองสามหมัดจากนั้นเสยคางมันอีกสักสามสี่ที โทษฐานทำให้กูขายหน้าตั้งแต่วันแรกที่รับน้อง แถมด้วยการไม่คุยกับมึงอีกตลอดชีวิต”
“เพราะมันไม่ใช่มึง” X3 ตอบพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“สัส” คนโม้ทำหน้ายู่ใส่
“น่าสนว่ะ แล้วมันชื่ออะไร”
“จิงจัง”
“...จิงจัง” อีกฝ่ายนึกสักพัก “จิงจัง? ที่กูรู้จักมีแค่คนเดียวแต่เขาอยู่ปีสะ- เชี่ย ไอ้บีทมึงเหยียบเท้ากู”
“โทษที กูนึกว่าที่พักเท้า”
ตือตึ่ง! เสียงข้อความในมือถือบอสดังขึ้น มันเลยต้องเปิดดูแล้วเงยหน้ามองไอ้บีท ก่อนจะก้มลงอ่านข้อความในมือถืออีกรอบ
“ไอ้บอส มึงยังเล่าไม่จบเลยนะ เมื่อกี้มึงจะบอกว่ามึงรู้จักไอ้จังเหรอ” ดินถามออกไป เมื่อเห็นว่าเพื่อนยังพูดค้างไว้อยู่ แต่พอมันอ่านข้อความในมือถือเสร็จ มันก็ไม่พูดอะไรต่ออีก
“จำผิดคน”
“เอ้า กูก็นึกว่ารู้จักกัน” แล้วเราก็ก้มหน้ากินข้าวกันปกติ
โคตรมีพิรุธ...ตั้งแต่เปิดรับน้องเมื่อวาน กวนก็อัพสกิลความขี้สงสัยเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว ไม่ใช่ตั้งแต่รับน้อง ต้องบอกว่าตั้งแต่เจอเพื่อนใหม่ต่างหาก เพื่อนอีกสองคนก็เหมือนจะช่วยกันปิดบังอะไรอยู่
เขาไม่ยอมให้รู้กันแค่สองคนแน่ หึ
“มีเสียงกันอยู่แค่นี้รึไง! เสียงจิ้งจกร้องยังดังกว่าเสียงพวกคุณทั้งชั้นปีซะอีก! ลุกนั่ง 5 ครั้ง ปฏิบัติ!”
“ลุกนั่ง 5 ครั้ง!”
“ไม่ได้ยิน! 10 ปฏิบัติ!”
“ลุกนั่ง 10 ครั้ง! หนึ่ง! สอง! สาม!”
เสียงทรงอำนาจของพี่ภูเขาเฮดว้ากของคณะวิศวกรรมศาสตร์กำลังสั่งให้เด็กปีหนึ่งทุกคนลุกนั่งอยู่กลางสนามฟุตบอลร้อนๆ ของมหาลัย เหตุเพราะเสียงร้องเพลงเชียร์เบาเกินไปทั้งที่ในสนามมีคนอยู่ตั้งเยอะแต่ตั้งใจร้องกันแค่ไม่กี่คน
“ไม่พร้อม! 15 ปฏิบัติ!”
“ลุกนั่ง 15 ครั้ง! สิบเอ็ด! สิบสอง! สิบสาม!”
“ไม่พร้อม! ความสามัคคีไม่มีกันรึไง! 20 ปฏิบัติ!”
“ลุกนั่ง 20 ครั้ง! สิบหก! สิบเจ็ด! …”
โหดสัส
แม้จะตะโกนเสียงดังมากเท่าไรแต่หากทำไม่พร้อมก็ผิดเหมือนกัน ถึงจะไม่คะนามือกวนที่ออกกำลังกายเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ที่น่าเป็นห่วงคงเป็นดินกับบีท ผอมแห้งแรงน้อยขนาดนั้นถึงแค่ 15 เขาว่าคงสุดความสามารถของมันแล้วล่ะ
มีอีกคนที่ต้องห่วงเหมือนกัน พอหันไปหามันที่กอดคอลุกนั่งอยู่ข้างบีทก็อดทึ่งไม่ได้ ตัวเล็กเหมือนสองตัวนั้นแต่ดูอึดเกินตัว
นับผ่านมาได้ประมาณ 30 ครั้ง ดินกับบีทก็ไม่ไหวจริงๆ พวกพี่ฝ่ายพยาบาลเลยเข้ามาช่วยพยุงพวกมันออกไปพักที่เต็นท์ แถวจึงขยับมาให้กวนกับจิงจังเข้ามากอดคอกันลุกนั่งคู่กัน
มองเหงื่อชื้นที่ไหลตรงขมับของคนตัวเล็ก ทำเอากวนกลืนน้ำลายลงคอด้วยความกระหายน้ำพอเห็นอีกหยดไหลลงไปที่ซอกคอขาวก็ต้องหันกลับมามีสมาธิกับการลุกนั่งต่อ...ทำไมเห็นแล้วหิวขึ้นมายังไงไม่รู้
ลุกนั่งต่อไป จนครบ 50 ครั้ง
“เหนื่อยวะ” คนตัวเล็กแลบลิ้นหอบ มือขยับคอเสื้อขึ้นลงไปมาให้ลมพัดมาที่ตัวเอง
“นึกว่ามึงจะสลบไปตั้งแต่ 20 แรก” ยอมรับว่าเขาคิดผิดว่าสภาพมันอาจไม่ไหว ที่ไหนได้ อึดพอๆ กันเลย
“แหม ดูถูกกันเกินไป นี่ใครครับ เฮียจังนะครับ” เอามือทุกอกตัวเองอย่างภาคภูมิ
ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมเราถึงคุยกันได้แบบนี้ ทั้งๆ ที่เมื่อเช้าพึ่งไล่ขวิดกันจะเป็นจะตาย เป็นเพราะอีกฝ่ายทำเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น เขาเลยยอมเล่นตามน้ำไปด้วยก็เท่านั้น
เลยกลายเป็นว่าตอนนี้เราสองคนก็คุยกันธรรมดาโดยโยนเรื่องเมื่อเช้าทิ้งไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ว๊ายยยยย”
“ตรงนั้นเขาวุ่นวายอะไรกัน” เพื่อนใหม่เอ่ยปากถามเมื่อเห็นเด็กแว่นสามคนกำลังร่วมมือกันจับเพื่อนอีกสองคน มันจะไม่ดูเด่นเลยถ้าเป็นการจับกันแบบธรรมดา แต่ดันมีตีลังกาม้วนตัวสามตลบจับกันนี่สิ
เล่นอะไรกัน?
“ไม่นะคุณหลวง ปล่อยอีแฟร็งไปเถอะเจ้าค่ะ ว๊ากกกกก อย่าตามมานะสัสติ๋ม!” คนที่จะโดนจับวิ่งหนีไปรอบสนามฟุตบอลแล้วส่งเสียงร้องออกมาอย่างตื่นกลัว เรียกเสียงฮาให้คนดูได้ไม่น้อย
“โอ้น้องนวล มาให้พี่จับซะดีๆ อะฮ่า~” ไล่กันดีๆ ก็ได้ ทำไมต้องทำเสียงเหมือนหนังไทยสมัยก่อนด้วยวะ ที่ชอบมีคำพูด ‘อะฮ่า’ ติดท้ายประโยค [มุขนี้เด็กๆ คงเกิดไม่ทัน : ไรท์]
“เชี่ย! มึงไล่กูน่ากลัวขนาดนี้ใครจะไปหยุดให้สัส!!”
น่ากลัวจริงอย่างที่ฝ่ายนั้นพูด ใช้ขาวิ่งแบบธรรมดาก็ได้นะไม่มีใครว่า แต่ทำไมเด็กแว่นต้องเลียนท่าหมาวิ่งสี่ขา พร้อมกับห้อยลิ้นซะเหมือนขนาดนี้ ไม่ได้ทำแค่คนเดียวแต่มากันแบบแท็กทีม มีกันสามคนก็ทำเหมือนกันสามคน
เป็นเขา เขาก็หนี ไม่อยู่ให้มันจับหรอก
“โฮ่งๆ บู๊ววววว”
“กรี๊ดดดดด บู๊วพ่อง ไอ้อิฐ! ช่วยกูด้วยยยยย สัสติ๋ม เก็บน้ำลายมึงพรีส”
“ช่วยบ้านมึงดิ กูโดนจับแล้ว มึงแค่ยอมให้จับก็จบเรื่อง” คนที่โดนมัดอยู่ตรงเสาโกลฟุตบอลตะโกนบอกเพื่อน...แล้วนั่นหน้าไปโดนไรมา ทำไมมันย้อยๆ ยืดๆ
“กูรับน้ำลายพวกมันไม่ด้ายยยยย”
“โดนจับ...แค่ถูกเลียหน้าเอง ดูอย่างกูนี่คนจริงเขาต้องรับได้เว้ย!”
“เชี่ย! แต่กูไ- ว๊ากกกกก อย่าเลีย อย่า...อย่า แอ่ก!”
ระหว่างที่ทั้งสองคุยกันอยู่ ผู้ชายคนนั้นก็โดนกลุ่มแว่นจับตัวได้พอดี พอโดนเลียหน้าเลียตาก็สลบตายไปทันที แต่ทำไมถึงวิ่งไล่จับกันเอาเป็นเอาตายขนาดนี้
“พี่กายครับ พวกผมจับพี่เนียนมาให้ครับ” พูดอย่างกับไปจับสัตว์มาแล้วมาโชว์ให้พ่อดู เด็กสามคนลากตัวผู้ต้องหาทั้งสองไปหาคนที่ชื่อกาย หนึ่งในพี่ว้ากปีสาม
“พวกคุณแน่ใจแล้วเหรอว่าคนพวกนี้เป็นพี่เนียน” พี่กายถามย้ำ
พี่เนียน...
“ครับ” X3 เด็กแว่นพร้อมใจกันตอบ
“ถ้าจับผิดตัว คุณจะโดนซ่อมขอโทษเพื่อนนะครับ”
“ไม่ผิดหรอกครับ พวกพี่เขาดูออกง่ายซะขนาดนี้”
“อืม แล้วพวกคุณว่าไง ใช่อย่างที่พวกเขากล่าวหารึเปล่า” พี่กายก้มลงถามตัวการทั้งสอง ที่ตอนนี้นั่งคุกเขาติดกับพื้นเหมือนเด็กไปทำความผิดมาแล้วกำลังถูกพ่อด่า โดยมีมนุษย์ป้าสามคนเป็นคนจับตัวเด็กมาฟ้อง
ไม่เหลือแล้วออร่าของความเป็นพี่
เมื่อถูกสายตาลุ้นระทึกของเด็กปีหนึ่งทุกคนจับจ้องมาที่คนโดนกล่าวหาว่าเป็นพี่เนียน ทั้งสนามเงียบแต่กลับส่งสายตากดดันให้ชายทั้งสอง เหมือนว่ามีคำถามลอยออกมาตีหน้าพวกเขาตลอด
‘เป็นพี่เนียนจริงดิ’
‘พี่เนียนคืออะไรวะ’
‘กูหน้าแก่เหรอวะ’
‘สัส กูต้องไปโบ๊ะหน้าใหม่’
‘คณะนี้มีพี่เนียนด้วยว่ะ’
‘เชรดดดดด หน้าเด็กกว่ากูอีกสัส’
‘กูลืมไปเลยว่ามีรับน้อง ก็ต้องมีพี่เนียน’
คำถามลอยผ่านหน้ามามากมายทั้งๆ ที่ไม่มีใครเอ่ยปากพูดสักคน คนที่ชื่ออิฐจึงถอนหายใจออกมาคล้ายปลง “หมดเวลาสนุกแล้วสิ”
“พี่ขอแสดงความยินดีด้วยครับ น้องได้เป็นเดอะเฟซคนต่อไป ถุ้ย! ไม่ใช่ละ!! กูโดนจับเร็วไปสัส เสียชาติเกิดแฟร็งนมชมพูกูหมด” พี่แกเอากำปั้นทุบกับพื้นแบบเจ็บใจสุดๆ
“เอาล่ะ" พี่กายแปะมือเรียกสติ "พอแค่นั้น พวกคุณไปรับขนมรางวัลที่ฝ่ายสันทนาการได้เลยนะครับ”
“เย้!!!” X3 แล้วเด็กแว่นทั้งสามก็วิ่งไปเอาขนม...จับกันจะเป็นจะตายเพื่อขนมปูไทยคนละถุงเนี่ยนะ
“อย่างที่ทุกคนเห็น ในชั้นปีของพวกคุณจะมีพี่เนียนแฝงตัวอยู่ หากพวกคุณจับตัวพี่เนียนได้พวกคุณจะได้รับขนมเป็นรางวัลแต่ถ้าพวกคุณจับผิดตัว พวกคุณต้องโดนซ่อมเพื่อขอโทษเพื่อนนะครับ”
พูดเหมือนรางวัลยิ่งใหญ่มากแล้วใครจะมาเสี่ยงจับเนียน ของรางวัลช่างไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย
“อีกอย่างพี่เนียนที่ถูกจับได้ แน่นอนว่าต้องโดนซ่อมโทษฐานปฏิบัติหน้าที่ไม่สำเร็จและสำหรับบทลงโทษก็แล้วแต่คนที่จับได้ครับ ระวังโดนน้องเนียนด้วยนะครับ”
น้องเนียนคือน้องปีหนึ่งที่แกล้งทำตัวเหมือนว่าตัวเองเป็นพี่ทั้งที่จริงแล้วตัวเองก็เป็นเด็กปีหนึ่งธรรมดา แล้วให้เพื่อนจับผิดตัวไปจากนั้นเพื่อนคนนั้นก็จะถูกซ่อมไปตามท้องเรื่อง
พอพี่กายพูดจบ พี่เนียนทั้งสองก็โดนเด็กแว่นทั้งสามคิดบทลงโทษ ใบหน้าภายใต้แว่นตาของทั้งสามเหมือนฆาตกรโรคจิตก็ไม่วาย
ตอนนี้คิดว่าเขาไม่สงสัยอะไรจิงจังแล้วแหละ จะถามว่าทำไม่นะเหรอ เขาไม่ได้คิดว่ามันเป็นน้องเนียนหรอก
มันนี่แหละ พี่เนียน
เหงื่อออกขนาดนั้น ไม่รู้เล๊ยว่าเป็นพี่
ตอนนี้เกมของเขาที่ท้ากับมันไว้ (ท้าคนเดียว) ได้จบลงไปแล้ว แต่เขาไม่อยากได้ขนมปูไทยมากินเล่นหรอกเพราะเกมใหม่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
ตามติดชีวิตการเป็นพี่เนียนของมันก็คงน่าเบื่อเกินไป เอาเป็นเกมแกล้งพี่เนียนเป็นไง