บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 7 : สมาชิกทีม

          เราทั้งสองต่างฝ่ายต่างจ้องหน้ากันด้วยความตกใจพร้อมกับพรวดพราดยืนขึ้นอย่างเร็ว หลงลืมความเจ็บตอนถูกชนไปเสียสนิท

          "เว่ย...นั่นนายจริงๆ เหรอ?"

          ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ คนตรงหน้าเป็นคนสนิทที่จู่ๆ ก็เจอด้วยความบังเอิญ

          เขาเดินเข้ามาเขย่าตัวผมแรงๆ ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มดีใจทำเอาไม่กล้าดุอีกฝ่าย

          "ผู้กอง! ผู้กองมาอยู่ที่นี่ได้ไง ชุดนั่นมันอะไร แล้วผมอยู่ที่ไหน นรกหรือสวรรค์ แล้ว..."

          พอก่อนได้มั้ย จากความตกใจตอนนี้เริ่มรำคาญไอ้หมอนี่ซะแล้วสิ

          เว่ย...หนึ่งในสมาชิกทีมเหินเวหากลับโพล่มาอยู่ในยุคโบราณ แถมชุดที่เขาใส่ก็ไม่ใช่ชุดแบบเดียวกับผม แต่กลับเป็นเครื่องแบบทหารตอนอยู่ในสนามรบ ความต่างนี่มันอะไร อย่างกับเขาโพล่มาทั้งที่ยัง 'ไม่ตาย' อย่างงั้นแหละ

          "เลิกเขย่าก่อนได้มั้ย"

          เว่ยหยุดมือแล้วหัวเราะแห้งๆ ท่าทางเหมือนคนเพิ่งได้สติ ดวงตาส่องประกายตื่นเต้น

          "ผู้กองยังไม่ตาย ผู้กองยังมีชีวิตอยู่! นี่เหมือนฝันไปเลย!"

          ใช่...เหมือนฝันที่เกินจริง อยู่ในยุคโบราณ ไม่รู้ว่าย้อนอดีตมากี่ร้อยกี่พันปี ที่แน่ๆ เป็นยุคสงครามเพิ่งเริ่มปะทุ

          ยืนได้สักพักจึงนึกขึ้นได้ผมรีบเดินไปปิดประตู เสียงเอะอะข้างนอกยังไม่สงบ คงเป็นเรื่องใหญ่หากมีคนเห็นเว่ยอยู่กับผม

          "หยุดตื่นเต้นก่อน บอกมาว่านายมาโผล่ที่นี่ยังไง"

          เว่ยสงบลงและปฏิบัติตามคำสั่ง หมอนี่มีสมาธิเหมือนตอนกำลังส่องลำกล้องยิงศัตรู เขาเป็นนักแม่นปืนระดับแชมป์โอลิมปิกสามปีซ้อน

          "ผมจำได้ว่าพวกเรากำลังดีใจเรื่องสงครามสงบลง แต่จู่ๆ ผู้กองก็โดนยิง จากนั้นไม่นานเกิดพายุลูกใหญ่ ท้องฟ้าปั่นป่วน มันดึงผมขึ้นไปแล้วผมก็มาอยู่ที่นี่..."

          เท่าที่ฟังเขาพูด เหมือนกับว่าเขาถูกดูดให้มาในยุคโบราณ ต่างกับผมที่ต้องถูกยิงแล้วค่อยโพล่มา นั่นหมายความว่าเว่ยมาโดยที่ไม่ตายหรือมาทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ แต่ผมอาจตายหรือวิญญาณออกจากร่างแล้วมาเข้าร่างผู้อื่น

          อย่างนี้จะเอาทฤษฎีไหนอ้างอิงได้

          "แล้วคนอื่นๆ ล่ะ"

          เว่ยส่ายหัว เขาดูจนปัญญาและไม่รู้จะทำยังไงต่อ

          "ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนที่ถูกดึงขึ้นไปต่างคนต่างตกใจ"

          "งั้นเหรอ ไม่เป็นไร อย่างน้อยนายก็รอด"

          "ว่าแต่ผู้กองล่ะ ถ่ายหนังอยู่เหรอทำไมใส่ชุดนี้ จะว่าไปคนที่ไล่ล่าผมเมื่อกี้ก็เหมือนจะใส่ชุดคล้ายๆ กัน"

          ถ่ายหนังอะไรจะสมจริงขนาดนี้ โลเคชั่นยิ่งกว่าซีจีซะอีก เอฟเฟ็คเหาะเหินเดินอากาศได้ถ้าไม่สัมผัสด้วยตัวเองแค่มีคนบอกคงไม่มีวันเชื่อ แต่นี่เห็นกับตา...ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ

          "ไม่รู้สิ ตื่นขึ้นมาก็อยู่ในชุดนี้ เอ๊ะ...เดี๋ยวสิ นายจำฉันได้ยังไง"

          ผมมาเข้าร่างคนอื่นไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมพอเว่ยเห็นก็รู้ว่าเป็นผมเลยล่ะ

          เว่ยขมวดคิ้วเข้าหน้ากันสีหน้าบอกชัดเจนว่าผมพูดเรื่องตลกอะไร

          "ก็เห็นอยู่ว่าเป็นผู้กอง แปลกตรงไหน"

          แปลกตรงที่เห็นว่าเป็นฉันนี่แหละ!

          ถ้างั้นผมก็ไม่ได้เข้าร่างคนอื่นหรือเข้าร่างอาชญากรที่คนชุดขาวตามล่า แต่ผมคือคนที่พวกนั้นต้องการชีวิตจริงๆ

          หรือผมจะมีตัวตนในโลกยุคนี้...

          ผมและเว่ยมองหน้ากันพยายามค้นหาคำตอบของเรื่องทั้งหมด ทั้งเหตุจูงใจ ทั้งความไม่เป็นวิทยาศาสตร์ 

          "ผู้กอง หรือพวกเราตายไปแล้ว และที่นี่ก็คือสวรรค์"

          สวรรค์อะไรจะไล่ฆ่ากันเอาเป็นเอาตาย แถมสถานะสามีของราชามารก็มาแบบงงๆ ถ้าแบบนี้เรียกสวรรค์ผมขอลงนรกดีกว่า

          "ไม่ว่าที่นี่จะเป็นนรกหรือสวรรค์ เราจะต้องสืบให้รู้ให้ได้"

          "รับทราบ!"

          เว่ยทำท่าวันทยหัตถ์ตามแบบฉบับของทหาร และเพราะเสียงอันห้าวหารของเขาเลยทำให้คนข้างนอกได้ยิน

          "มีเสียงผู้บุกรุกอยู่แถวนี้ หรือคนผู้นั้นจะซ่อนตัวในห้องคุณชายอี้หลิน เร็วเข้า! รีบไปช่วยคุณชาย!"

          เวรแล้วไง! พวกนั้นกำลังจะบุกเข้ามา!

          เว่ยเตรียมพร้อมระวังตัวเต็มที่ เขาสอดส่ายสายตาหาทางหนีทีไล่

          "เราคงอยู่นี่นานไม่ได้ ถ้าคนพวกนั้นบุกเข้ามาคงต้องใช้กำลัง"

          จริงอย่างที่เว่ยบอก คนพวกนั้นไม่รู้จักเว่ย กว่าผมจะอธิบายทุกอย่างให้เข้าใจ เว่ยก็คงถูกจับไปซะก่อน หรือไม่คนพวกนั้นก็อาจจะกลายเป็นศพ แถมเรื่องพวกนี้หากราชามารรู้อีกคนคงไม่พ้นความยุ่งยาก

          นี่คงเป็นโอกาส ผมต้องตัดสินใจ...

          ผมพยักพเยิดไปทางหน้าต่าง ที่นี่เป็นภพมารซึ่งห้องหับอยู่ติดกับหน้าผาสูง ความชันของมันจะว่าสูงก็สูง ว่าไม่สูงก็ได้ เพราะไอ้ที่เคยฝึกมามันสาหัสกว่านี้หลายเท่า

          "ไปกันเถอะ"

          เว่ยเข้าใจถึงสายตาที่ผมสื่อ เขารวบรวมชิ้นส่วนของผ้าในห้องทั้งหมดมาฉีกทึ้งและมัดยาวหลายเมตรในระยะเวลาสั้นๆ เสียงอึกทึกข้างนอกก็คล้ายจะลังเลว่าจะเข้ามาหรือไม่เข้ามา เพราะบางคนกลัวว่าหากเข้ามาแล้วไม่เจอจะเป็นการลบหลู่ 'คุณชาย' อย่างผมเข้าให้

          "ผู้กอง พร้อมแล้วครับ"

          ผมพยักหน้าตอบรับก่อนจะคว้าเข้าที่ผ้าซึ่งผ่านการทดสอบว่าแข็งแรงและเหมาะจะใช้โรยตัวจากที่สูงสำหรับชายวัยฉกรรจ์สองคน

          เมื่อเท้าแตะถึงพื้นด้านล่างโดยสวัสดิภาพ พวกเราจึงลัดเลาะไปตามป่า จากจุดที่ลงมาจะมีลำธารสายเล็กทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ไม่แน่ว่าถ้าเดินตามลำธารนี้อาจจะไปถึงทางเข้าปากถ้ำก็ได้

          "เว่ย ก่อนจะเดินทางต่อฉันมีบางอย่างสำคัญมากจะถาม"

          เว่ยชะงักฝีเท้าหันกลับมามองหน้าผมเพื่อรอคำถามอย่างใจจดใจจ่อ

          "ครับ ผู้กองจะถามอะไร"

          "นายมีวรยุทธ์รึเปล่า?"

          เว่ยระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันทีอย่างกับได้ฟังเรื่องแปลกประหลาดชวนขำ บางทีผมก็เริ่มหมั่นไส้ขึ้นมาบ้างแล้ว

          "ฮ่าๆๆ ผู้กอง ผมเป็นคนธรรมดานะครับไม่ใช่เทพเซียนตบะแข็งแกร่ง ของอย่างพวกวรยุทธ์หรือกำลังภายในอะไรนั่นไม่มีหรอก"

          ผมคงเป็นบ้าคาดหวังไปเองคิดว่าลูกน้องภายใต้บังคับบัญชาจะมีสกิลพิเศษเอาไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน ดูท่าคงจะหวังมากไป

          "ไม่มีก็เดินทางต่อ"

          "ครับ!"

          ผมกับเว่ยเดินตามลำธารสายเล็กราวเกือบสองชั่วโมง จนในที่สุดทางเชื่อมต่อก็มาถึงปากทางเข้าถ้ำ และตรงจุดนี้คือสถานที่ลอบสังหารราชามารเมื่อคืนที่ผ่านมา

          "คนพวกนั้นกำลังทำอะไรกัน"

          เว่ยชี้ไปยังคนกลุ่มหนึ่งซึ่งจับกลุ่มกันค้นหาอะไรบางอย่าง แต่ไม่มีใครสะดุดตาเท่ากับชุดสีแดงเพลิงทับด้วยผ้าสีดำตัดกันอย่างลงตัวเท่ากับชายผู้สูงสง่าซึ่งหันหลังให้พวกเราอยู่

          "เราอยู่นี่นานไม่ได้รีบไปกันเถอะ"

          "ผู้กองไม่สงสัยเหรอว่าคนพวกนั้นกำลังทำอะไร"

          ไอ้ความช่างสงสัยเอาไว้สอดแนมแค่พวกฝ่ายตรงข้ามบุกเขตชายแดนดีกว่ามั้ย

          "หาร่องรอยศพอยู่มั้ง"

          คำตอบขอไปทีทำเอาคนข้างๆ ขมวดคิ้ว ท่าทางแบบนี้คงอีกยาว

          "ศพอะไร มีคนตายงั้นเหรอ น่าแปลก...ผมเองก็ผ่านเส้นทางนี้เมื่อคืนไม่เห็นมีศพใครสักคน"

          "ผ่านตอนไหน?"

          "หลังจากได้ยินเสียงพายุดังไม่เกินสิบนาทีผมก็วิ่งหนีพวกที่ไลล่าผ่านมาทางนี้ ก็ไม่เห็นมีใคร จะมีก็แค่พื้นที่ป่ามีร่องรอยของพายุเท่านั้น"

          เรื่องเหลือเชื่อจริงๆ สินะ การที่ศพเป็นร้อยหายตัวไปต้องมีคนในรู้เห็นแน่ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องของผมอีกนั่นแหละ

          "ไปกันเถอะ"

          เว่ยพยักหน้าตอบรับและเดินตามมาติดๆ 

          เราทั้งสองเดินเข้ามาในถ้ำ ทางเดินไม่ได้ลำบากอะไรแค่ต้องใช้เวลาเท่านั้น จนกระทั่งเห็นแสงสว่างปลายทาง ดอกกล้วยไม้ซึ่งอยู่ติดหินผาผลิดอกส่งกลิ่นหอมเย้ายวล

          "เจอทางออกแล้ว!"

          เว่ยตะโกนเสียงดังจนผมต้องใช้ฝ่ามือตบหลังอีกฝ่ายแรงๆ ทำเอาเจ้าตัวจุกจนแทบพูดไม่ออก

          "อย่ามัวแต่ดีใจ นี่แค่ทางเข้าภพมาร ไม่ได้หมายความว่าพ้นเขตภพมาร เห็นน้ำข้างหน้ามั้ย ต้องรีบว่ายข้ามไป"

          ผมว่าก่อนจะเดินนำอีกฝ่ายเตรียมก้าวเท้าลงน้ำ 

          "เจ้าจะไปไหน"

          เสียงคุ้นหูดังสะท้อนออกมาจากในถ้ำ ทำเอาทั้งผมและเว่ยหันไปยังต้นเสียงพร้อมกัน

          "ไป่เยว่..."

          เสียงแผ่วเบาราวกับพูดให้ตนเองฟังคนเดียวทำเอาอีกฝ่ายสายตาแข็งกร้าว เพียงเสี้ยววินาทีคนที่อยู่ไกลหลายสิบเมตรกลับเข้าประชิดตัวและโอบเอวผมไว้แน่นราวกับกลัวจะหายไป

          "ออกมาโดยไม่บอกข้ามีโทษสถานใดรู้หรือไม่"

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel