ตอนที่ 6 : เรื่องเร่งด่วน
เกิดเป็นชายชาติทหารต้องอดทน เข้มแข็ง ต่อสู้ทุกอุปสรรค ขจัดภัยร้ายสังคม ปกป้องดูแลชาติบ้านเมือง รักในเกียรติหยิ่งในศักดิ์ศรี เสียเลือดเสียเนื้ออย่าเสียสัตย์ เสียชีพเพื่อให้ชาติดำรงคงอยู่ได้...
แต่ไม่ยอมเสียตัวเว้ย!
โครม!
ฝ่าเท้าแสนอ่อนโยนของผมถีบเข้าแผงอกราชามารอย่างลืมตาย จะพูดให้ถูกคือตายก็ช่างมัน นาทีนี้พ่อขอสับไอ้ราชามารลามกนี่ก่อน!
"อี้หลิน เหตุใดเจ้าจึงถีบข้า"
มีหน้ามาถามอีกเนอะว่าทำไม!
ร่างเปล่าเปลื่อยค่อยๆ พยุงกายขึ้น ราชามารเสยผมที่ปรกคลุมใบหน้าเผยให้เห็นเค้าโครงรูปโฉมชัดเจน หากสาวๆ ในยุคปัจจุบันเห็นเขาในสภาพนี้คงเป็นลมล้มพับ เรียกขานท่านราชามารอย่างถวายหัว แต่เสียใจด้วย รูปโฉมงดงามก็แค่เปลือกนอก ความจริงใจต่างหากควรค่าแก่การยกย่อง!
"หลีไป่เยว่ เจ้าบังอาจข่มเหงข้า แค่เจ้าอ้างตัวว่าเป็นสามีของข้าคิดจะรังแกกันอย่างไรก็ได้งั้นหรือ!"
"เจ้าจะโกรธไปใย ข้าแค่..."
"หุบปาก!"
"..."
"แล้วก็ไม่ต้องเข้าใกล้ข้าอีก ข้าเกลียดเจ้า!"
แววตานิ่งขรึมของราชามารทำเอาบรรยากาศโดยรอบเย็นเยือก อุณหภูมิลดต่ำทั้งที่เมื่อกี้ยังร้อนเป็นไฟ ไป่เยว่เดินมาข้างหน้าแค่ไม่กี่ก้าวก็เข้าถึงตัวผมแบบไม่ปล่อยให้ตั้งตัวติด
"อี้หลิน ทุกอย่างในโลกนี้ข้ายอมให้เจ้าได้หมด ไม่ว่าเจ้าประสงค์สิ่งใดข้าจะหามาไว้ตรงหน้า แต่สิ่งเดียวที่ข้าไม่อาจยอมได้คือปล่อยให้เจ้าเกลียดข้า"
"..."
"...จะให้ข้าทนดูคนรักเกลียดได้อย่างไร"
น้ำเสียงอ่อนโยนคล้ายกำลังชะโลมใจที่แข็งให้ผ่อนความโกรธ สายตาเว้าวอนขอความรักจากอีกฝ่ายยากต่อแรงต้านทาน
บ้าเอ้ย! แล้วจะทำหน้าตาน่าสงสารเพื่ออะไร อย่าใจอ่อน อย่าหลงกล เขาแค่ต้องการหลอกนายเท่านั้น อี้หลินตั้งสติ!
มือแข็งแกร่งเอื้อมมากุมมือผมไว้ ไม่รู้ทำไมร่างกายกลับไม่ยอมขัดขืนทั้งที่ใจก็ตะโกนปาวๆ ว่าเลี่ยงได้เป็นเลี่ยง หลบได้เป็นหลบ แต่นี่อะไร แค่เขาโอนอ่อนให้กลับยอมหายโกรธง่ายๆ
ไป่เยว่จับมือผมให้แนบกับหน้าอกเปลื่อยเปล่า เสียงหัวใจข้างในของราชามารเต้นดังตุบตับกลางฝ่ามือ นี่น่ะหรือหัวใจของราชามารผู้เก่งกาจเหนือทั้งยุทธภพ เขายอมให้คนธรรมดาเข้าใกล้จุดตายง่ายไปมั้ย
"ได้ยินหรือไม่ เสียงหัวใจของข้า"
ได้ยินชัดเลยล่ะ หากลองเปลี่ยนมือนี่เป็นมือพวกคนชุดขาว น่ากลัวว่าราชามารคงอยู่ไม่ถึงรุ่งสางของอีกวัน
ผมปล่อยให้ความเงียบเข้าปกคลุม แต่กระนั้นไป่เยว่ก็ยังคงพูดต่อไม่รอคำตอบ
"อี้หลิน...เจ้าแค่สูญเสียความทรงจำเท่านั้น แต่เจ้ายังไม่สูญสิ้นความรักที่มีต่อข้า ไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นเช่นไร ข้าจะทำให้ความทรงจำของเจ้ากลับคืนมา"
ความทรงจำ? หรือไป่เยว่ได้ยินตอนที่ผมพูดกับคนชุดขาวพวกนั้น แล้วเข้าใจว่าที่ผมทำเป็นปฏิเสธสถานะภรรยาของเขาเพราะคิดว่าผมความจำเสื่อม
ให้ตายเถอะ...เรื่องชักเลอะเทอะกันใหญ่!
"ไป่เยว่ เจ้ากำลังเข้าใจผิด ข้าไม่ได้..."
ตึก ตึก ตึก...
เสียงฝีเท้าเร่งรีบกำลังมุ่งตรงมายังห้องที่ผมกับราชามารพักอยู่ ไป่เยว่รีบหยิบเสื้อผ้าซึ่งวางพับไว้บนตั่งข้างหลังมาสวมใส่ให้ผมอย่างรวดเร็ว ส่วนตัวเขาใช้เพียงผ้าไหมชั้นดีพันรอบเอวอย่างลวกๆ
ตอนนั้นเองผมเพิ่งรู้ว่าคนที่ไม่มีเสื้อผ้าสักชิ้นคือไป่เยว่ ส่วนผมขาดแต่เสื้อคลุมตัวนอกเท่านั้น
"รายงานท่านประมุข มีบางอย่างเกิดขึ้นขอรับ!"
เสียงชายคนหนึ่งดังขึ้นนอกประตู คาดว่าคงเป็นสมุนของราชามาร ฟังจากน้ำเสียงร้อนรนนั่นคงเป็นเรื่องเร่งด่วน
"เข้ามา..."
ราชามารว่าก่อนจะสะบัดมือ พลันประตูห้องทั้งสองบานเปิดออกกว้างในทันที ชายคนนั้นคุกเข่าข้างนึงกับพื้นก้มหน้าก่อนกล่าวรายงานเพิ่ม
"เรียนท่านประมุข ศพที่ท่านประมุขสังหารเมื่อคืนหายไปหมดขอรับ"
"หายหมด? ไม่มีเลยงั้นหรือ? "
"ขอรับ"
เป็นไปได้ยังไง ศพที่คาดว่ามีไม่ต่ำกว่าร้อยศพหายเพียงชั่วข้ามคืนเนี่ยนะ แฟนตาซีไปมั้ย? ไม่สิ...ถึงจะแฟนตาซีแต่การจะพาศพเป็นร้อยหายไปมันไม่ง่ายขนาดนั้น
แต่จะมีใครสามารถเก็บศพทีเดียวเป็นร้อยศพในระยะเวลาสั้นๆ และยิ่งเป็นถิ่นของราชามารความเป็นไปได้ต่ำยิ่งกว่าต่ำซะอีก
"รู้หรือไม่เป็นฝีมือผู้ใด"
ชายคนนั้นก้าวเข้ามากระซิบกับไป่เยว่พลางเหลือบมองผมนิดนึง แต่สีหน้าของเขากลับดูปกติทุกอย่าง ไปเยว่เองก็เช่นกัน เขาไม่แสดงอาการแปลกใจเลยสักนิด
"เตรียมคนให้พร้อม"
"ขอรับ! "
เมื่อชายคนนั้นออกไปได้สักพัก ไป่เยว่กลับยังยืนอยู่นิ่งๆ ที่เดิม เหมือนเขากำลังครุ่นคิดบางอย่าง แต่จะคิดอะไรก็เอาไว้ก่อน ผมต้องรีบเคลียร์ปัญหาตัวเองให้จบ
"เอ่อ...ไป่เยว่ ข้ามีเรื่องสำคัญต้องคุยกับเจ้า เรื่องที่ว่าข้าสูญเสียความทรงจำนั่น คือมันไม่ใช่..."
"อี้หลิน..."
ไป่เยว่หมุนตัวกลับ สีหน้าเรียบเฉยในคราวแรกเริ่มแสดงความกังวลขึ้นมา
"อ่า...มีอะไรรึเปล่า?"
"ข้าต้องรีบไปจัดการเรื่องนั้นเสียก่อน"
เข้าใจอยู่ว่าเรื่องศพหายตัวได้มันเป็นเรื่องใหญ่ แถมยังหายในเขตพื้นที่การปกครองของราชามาร มันเท่ากับถูกศัตรูเหยียบจมูก แต่เรื่องเข้าใจผิดนี่หากไม่รีบอธิบายเกรงว่าวันหน้าจะทำใจลำบากถ้าต้องพูดถึงมัน
"ไป่เยว่ ข้า..."
"ใจจริงข้าไม่อยากให้เจ้าอยู่นี่เพียงลำพัง"
อย่าบอกนะว่าห่วงเพราะผมอยู่คนเดียว เรื่องนั้นไม่ต้องกังวล อยู่ชายแดนมาหลายปี ตอนลาดตระเวนหรือซุ่มโจมตีบางทีก็ต้องลุยเดี่ยว เรื่องอยู่กับตัวเองชิลๆ อย่าซีเรียส
"เจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น ข้ามีเรื่อง..."
"หากพวกมันกล้าบุกเข้ามาทำร้ายเจ้า ข้าจะฆ่าพวกมันให้หมด!"
รู้แล้วๆ นั่นมันศัตรูเจ้าไม่ใช่ศัตรูข้า พวกมันไม่ต้องลงแรงมากก็ได้มั้ง แต่ถ้าเกิดว่าพวกมันโพล่มาจริงผมก็มีวิธีจัดการในแบบของผม
"ไม่มีใครทำอันตรายข้าได้หรอก แต่เรื่อง..."
"งั้นข้าค่อยเบาใจหากต้องปล่อยเจ้าไว้เพียงลำพัง เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยข้าจะรีบกลับมาหาเจ้า"
เดี๋ยวสิ! ยังพูดไม่จบ!
"ไป่เยว่ ฟังข้าก่อน ความทรงจำของข้าไม่ได้..."
ราชามารเอื้อมมือมาจับไหล่ทั้งสองข้างของผมก่อนจะประทับจุมพิตกลางหน้าผาก แม้เวลาไม่เนิ่นนานแต่รู้สึกถึงความห่วงใยที่อีกฝ่ายมอบให้ เขาผละออกช้าๆ ช้อนตาคล้ายรอดูปฏิกิริยาตอบสนองจากผม รอยยิ้มของเขาสะกดทุกอย่างให้ชวนมอง
"อี้หลินของข้าจงรอข้าอยู่ที่นี่ ประเดี๋ยวข้าจะกลับมา"
ผมทำเพียงพยักหน้าให้ จากนั้นราชามารจึงจัดการกับเสื้อผ้าของตนก่อนเร่งรุดไปยังสถานที่เกิดเหตุ
เฮ้อ...ถ้างั้นก็ช่างมันเถอะ ไว้มีโอกาสค่อยบอกอีกทีแล้วกัน
พอไป่เยว่ไปได้สักพักทุกอย่างก็กลับมาอยู่ในความเงียบ ไม่มีใครคอยเฝ้าหรือจับตาดูอีก
หรือควรใช้โอกาสนี้หนีออกไป
แต่แล้วทุกอย่างกลับหยุดลงเมื่อมีเสียงเอะอะโวยวายอยู่ด้านนอก ตามด้วยเสียงข้าวของพังเป็นระยะ และมันกำลังดังเข้ามาใกล้ห้องของผมเต็มที
เกิดอะไรขึ้นอีกวะเนี่ย!
ยังไม่ทันจะเดินไปดูเหตุการณ์ จู่ๆ กลับมีเงาร่างหนึ่งโผล่พรวดมาข้างหน้าแล้วชนกับผมเข้าอย่างจัง
ผมค่อยๆ ตะเกียกตะกายพาตัวเองลุกจากพื้น แรงชนเมื่อกี้ไม่ใช่เบา นี่ถ้าเซฟตัวเองไม่เป็นคงเจ็บหนักกว่านี้
ก่อนที่ผมจะหันไปมองหน้าคู่กรณี เสียงอีกฝ่ายก็ดังแหวกอากาศเข้ามา และเสียงนั่นดังพอที่จะดึงความสนใจทั้งหมดไปที่เขา
"เฮ้ย! ผู้กอง!"