ตอนที่ 8 : ชั่วดีอยู่ที่คน
ลมหายใจอุ่นร้อนรดลงตรงใบหู เสี้ยวหน้าด้านข้างของไป่เยว่บดเบียดลงมาบริเวณซอกคอ ก่อนเจ้าตัวจะฝังปลายจมูกลงไป
"อี้หลินของข้ากลิ่นกายหอมยิ่งนัก"
หน้าของคนถูกโอบร้อนเห่อ พอทำท่าขยับตัว คนข้างหลังกลับกระชับอ้อมกอดมากยิ่งขึ้น ช่างเป็นการกระทำที่ไม่แยแสแวดล้อมรอบตัวว่าตอนนี้ยังมีอีกคนอยู่ร่วมเป็นสักขีพยาน
"แกเป็นใคร...ปล่อยผู้กองเดี๋ยวนี้นะเว้ย!"
เว่ยปรี่เข้ามากระชากไหล่ไป่เยว่ออกอย่างแรงจนอีกฝ่ายลอยไปติดผนังถ้ำ แรงสั่นสะเทือนจากการกระแทกทำให้เศษหินและฝุ่นคลุ้งกระจายเป็นวงกว้าง ผมมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความตกตะลึง ไม่คิดว่านี่จะเป็นฝีมือผู้ใต้บังคับบัญชา
ผนังถ้ำตรงส่วนนั้นแตกออกจนเว้าเข้าไป คนโดนคงเจ็บไม่น้อยกับแรงอัดเมื่อครู่ เว่ยมองผลงานตนเองก่อนจะก้มดูมือทั้งสองข้าง เจ้าตัวค่อยๆ แสยะยิ้มเย็นออกมาและระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น
"ว้าว! เจ๊งเป็นบ้า! ไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ถ้ามีสกิลระดับนี้ล่ะก็อยู่ไหนก็ไม่เป็นปัญหา"
ใช่ ถ้ามีพลังระดับนี้อยู่ไหนก็ไม่ใช่ปัญหา แต่ประเด็นจริงๆ มันต่อจากนี้ต่างหาก
"ไหนว่าไม่มีวรยุทธ์ไง"
ผมถลึงตาใส่ แอบอิจฉาอีกฝ่ายที่จู่ๆ ก็โพล่มาแถมมีพลังติดตัว ต่างกับผม มีกระบี่ดี เสื้อผ้าอาภรณ์ชั้นดี มีสง่าราศรี แต่ไม่มีพลัง เห็นอย่างนี้ผมก็เป็นถึงหัวหน้าหน่วย ถ้าไม่นับเรื่องสกิลเหนือธรรมชาติ ฝีมือผมเป็นอันดับต้นๆ ของกองทัพ
แต่พูดตอนนี้จะได้อะไร บอกใครไปคงได้หาว่าขี้โม้
เว่ยเห็นผมทำหน้าดำหน้าเขียวใส่ เขาเหมือนรู้ตัวถึงความไม่สบอารมณ์ เจ้าตัวยิ้มแห้งๆ ส่งให้ ยกมือเกาศีรษะแก้เขิน
"เอาจริงๆ นะ สกิลเทพเมื่อกี้ผมก็เพิ่งรู้ว่ามี"
ให้ตายสิ...แบบนี้ก็ดีอยู่หรอก แต่ถ้าใช้กับคนธรรมดาไม่มีแรงต้าน อีกฝ่ายคงตายคามือ
ระหว่างที่ผมกับเว่ยกำลังสนทนาถกเถียงกันถึงปัญหาชีวิต ผมสัมผัสได้ถึงแรงอาฆาตระดับสูง ความตึงเครียดและอาการเสียวสันหลังแล่นแปร๊บไปทั่วร่าง
"บังอาจยิ่งนัก! "
เสียงคำรามด้วยอารมณ์โทสะของราชามารทำให้ผนังถ้ำสั่นสะเทือนจนผมกลัวว่ามันจะพังลงมา กล้วยไม้สวรรค์ที่ไป่เยว่เคยเอ่ยถึงมีแสงเรืองรองระยิบระยับส่งกลิ่นหอมฟุ้งอย่างกับว่ามันเพิ่งได้รับการรดน้ำใส่ปุ๋ย สถานการณ์ที่ไม่เข้ากันยากเกินกว่าจะเข้าใจ
"ผู้กองๆ ไอ้หน้าหล่อนี่เป็นใคร ท่าทางเหมือนอยากฆ่าคนเลย แต่ถ้ามันกล้าทำร้ายผู้กองผมนี่แหละจะจัดการเอง! "
จัดการยังไงล่ะ เห็นๆ อยู่ว่าเขาจะฆ่านาย
"เห็นผนังถ้ำมั้ย...คนธรรมดามีรึจะทำได้ขนาดนั้น"
เว่ยหันไปมองเศษหินและฝุ่นร่วงกราว สีหน้าเจ้าตัวดูตกใจไม่น้อย
"แผ่นดินไหว! "
แผ่นดินไหวบ้านนายสิ! หัดดูหน้าราชามารบ้างเซ่ เขาจะกินหัวนายอยู่แล้ว!
"ล่วงเกินผู้ครองภพมารอย่างข้าแล้วยังกล้าลักพาตัวภรรยาข้าอีกงั้นรึ เจ้ามีกี่ชีวิตกัน!"
พอได้ยินอย่างนั้นเว่ยถึงกับงง เขามองผมสลับกับมองราชามาร ทำท่าอ้าปากอยากจะพูดอะไรสักอย่าง
"หยุดเลย รู้ว่าจะถามอะไร"
"ผู้กอง..."
"ก็บอกว่า..."
"ผู้กองมีผัวตอนไหน!"
ไอ้! บอกว่าให้หยุดไม่หยุด ถ้าตรงนี้เป็นค่ายทหารพ่อจะสั่งวิดพื้นร้อยครั้งต่อด้วยวิ่งมารทอนห้าร้อยเมตร!
"อย่าเพิ่งถาม วิ่ง!"
ยังไม่ทันได้ก้าวขาแม้แต่ก้าวเดียว ราชามารกลับปรี่เข้ามาด้วยความเร็ว แทรกกลางระหว่างผมกับเว่ย ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง แผ่ความกดดันทั้งภายในอากาศและร่างกาย คล้ายทุกอย่างถูกบีบอัดเข้าหากัน
"ไปที่ใดกัน!"
ลมพายุพัดใบไม้ปลิ้วว่อน ท้องฟ้ามืดครึ้มเมฆบดบังแสงอาทิตย์ เสียงหวีดของลมเมื่อเสียดสีกับต้นไม้ฟังแล้วแสบแก้วหู
"ไป่เยว่ เจ้าใจเย็นก่อนได้หรือไม่!"
ผมพยายามต้านทานแรงลมเพื่อเดินเข้าไปหาเขา เมื่อคว้ามืออีกฝ่ายได้สำเร็จผมกลับรับรู้ถึงความรู้สึกเจ็บปวดผ่านเนื้อหนัง ร่างกายสูงใหญ่ของคนตรงหน้าสั่นเทิ่ม แต่ไม่ใช่เพราะความเกรี้ยวกราดโกรธเคืองอย่างทีแรก แต่เป็นความหวาดกลัวที่เขากำลังเผชิญ
เกิดอะไรขึ้นกับราชามาร
"อี้หลิน...อี้หลินของข้า เจ้าจะทิ้งข้าไปอีกงั้นหรือ..."
"..."
"ใจของข้าเจียนจะขาดแล้ว"
คำพูดนี้ไม่เกินจริงเลยสักนิด เส้นเลือดฝอยในตาเขาแตกออกเป็นริ้วๆ หยาดเลือดสีแดงสดไหลรินลงมาอาบแก้ม คนตรงหน้าเหมือนคนตายไร้ซึ้งดวงจิตวิญญาณ ไป่เยว่ทรุดเข่าลงกับพื้น เขากอดเอวผมไว้ก่อนแนบใบหน้ากลางลำตัว
"อย่าทิ้งข้าไปอีกเลย"
ไม่รู้อะไรดลใจหรือให้ต้องทำอย่างนั้น สองมือเปลี่ยนเป็นโอบกอดเขาอย่างแนบแน่น ความอุ่นร้อนของร่างกายทำให้จิตวิญญาณที่เหมือนจะแตกสลายกลับคืนมาอีกครั้ง
"ไป่เยว่...ข้าไม่ได้จะทิ้งเจ้าไป เพียงแต่ว่าคนผู้นั้นเขาเป็นสหายของข้าแล้วตอนนี้เขา..."
ผมมองเลยด้านหลังไป่เยว่ไป เว่ยที่ควรจะยืนอยู่ตรงนั้นกลับไม่อยู่แล้ว
ไม่อยู่...อ้าว! แล้วเว่ยไปไหน อย่าบอกนะว่าพายุเมื่อกี้หอบเขาไปแล้ว!
ไป่เยว่ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ดวงตาซึ่งย้อมไปด้วยเลือดตอนนี้กลับเป็นปกติ ท้องฟ้าเองก็เช่นกัน กลับมาสว่างสดใส แสงอาทิตย์เจิดจ้าดังเดิม
เหตุการณ์เมื่อครู่เปรียบเสมือนภาพลวงตา
"เป็นสหายเจ้างั้นรึ ทำไมไม่บอกแต่ทีแรกกันเล่า ข้านึกว่าคนผู้นั้นเป็นศัตรูแอบลักพาตัว แถมเจ้าคล้ายยังเต็มใจไปด้วยอีก เห็นเป็นเช่นนั้นข้าจึงไม่อาจควบคุมโทสะ ส่งเขาไปอยู่อีกฟากของภพมารเสียแล้ว"
อีกฟากของภพมารคือที่ไหน แล้วลูกน้องจอมเซ่อผมมันจะรอดมั้ย!
"ไป่เยว่ นั่นคือสหายร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับข้า หากมีเหตุร้ายกับเขา ข้าคงไม่มีหน้าไปพบเจอกับสหายเก่าอีกสามคน"
ไป่เยว่ยืนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเหาะขึ้นไปเด็ดดอกกล้วยไม้สวรรค์บนผนังถ้ำและกลับมาอยู่ตรงหน้าผมเหมือนเดิม
"เดิมทีข้าคิดผนึกพลังของเจ้าไว้เช่นนี้เพื่อให้เจ้าพึ่งพาข้าเพียงผู้เดียว เห็นทีคงเป็นไปไม่ได้ หากทำเช่นนั้นจะยิ่งเป็นอันตรายแก่เจ้าเสียมากกว่า"
เดี๋ยวก่อน...ราชามารกำลังจะเข้าเรื่องสำคัญบางอย่างอยู่ใช่มััย เรื่องที่จู่ๆ ผมก็โพล่พรวดพราดเข้ามาโลกแห่งนี้
"เจ้าช่วยอธิบายให้ชัดเจนกว่านี้หน่อย ความจริงแล้วมันเกิดสิ่งใดขึ้น ทำไมคนชุดขาวเหล่านั้นจึงบอกว่าข้าเป็นคนทรยศ แถมยังไล่ล่าเอาชีวิตข้าอีก"
ไป่เยว่ถอนหายใจเสียงดัง สีหน้าเครียดขึงขึ้นมา เขาดูไม่อยากพูดแต่ก็จำเป็นต้องเอ่ย
"เจ้าเป็นศิษย์ปิดสำนักของเซิ่นเหยา ผู้เฒ่าซึ่งไม่เคยแก่ชราแห่งสำนักหนึ่งชั้นฟ้า"
อะไรคือผู้เฒ่าซึ่งไม่เคยแก่ชรา สรุปแก่หรือไม่แก่ เอาให้แน่นอนได้มั้ย
"เจ้าบอกว่าข้าเป็นศิษย์เอกของที่นั่นงั้นหรือ แล้วข้าทำสิ่งใดผิดคนพวกนั้นถึงอยากเอาชีวิตข้านัก"
"เจ้ามีข้าเป็นสามี สามีของเจ้าผู้นี้เป็นถึงราชามาร ผู้สำเร็จเซียนชั้นต้นเหล่านั้นมักอ้างตนว่าเป็นคนดี แล้วกล่าวหาว่ามารอย่างเรานั้นต่ำช้า"
ไป่เยว่กำมือแน่นเมื่อเอ่ยถึงความคิดของฝ่ายที่ชอบคิดว่าตัวเองนั้นถูกต้องเที่ยงธรรม แต่ในความเป็นจริง ไม่มีสิ่งใดวัดได้ว่ามารนั้นชั่วช้า หรือเซียนนั้นสะอาดบริสุทธิ์
หากจิตใจใฝ่ต่ำคิดแต่รังแกผู้อื่น เอารัดเอาเปรียบ หน้าซื่อใจคด ต่อให้นุ่งห่มผ้าขาวเข้าวัดเข้าวาก็ไม่สามารถทำให้คนแบบนั้นเป็นคนดีขึ้นมาได้
"เช่นนั้นแล้ว นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้คนชุดขาวพวกนั้นหมายเอาชีวิตข้า..."
ไป่เยว่ยื่นกล้วยไม้สวรรค์มาตรงหน้า ก่อนเอ่ยคำพูดให้ผมต้องกลับไปคิดอีกตามเคย
"ไม่ใช่เสียทั้งหมด สาเหตุที่แท้จริงคือเจ้าเป็นศัตรูกับคนทั่วทั้งยุทธภพต่างหาก"