ตอนที่ 4 : ยินดีต้อนรับ
"ปล่อยข้านะ ปล่อยข้า!"
ผมพยายามดิ้นเพื่อให้หลุดจากการรัดกุม แต่ราชามารคงจะกินควายมาแรงถึงเยอะเป็นบ้าขนาดนี้!
แน่นไปเว้ยแน่นไป! หาย...หายใจไม่ออก
"อี้หลิน เหตุใดจึงรังเกียจข้าเช่นนี้ เจ้าลืมครั้งแรกของเราคืนนั้นแล้วหรือ"
คืนไหนวะ จำไม่ได้!
"ปล่อยข้านะไป่เยว่ ยิ่งเจ้าทำแบบนี้ข้ายิ่งโกรธ รึอยากให้ข้าเกลียดเจ้า!"
ราชามารชะงักไปชั่วขณะ แต่ก็แค่ชั่วขณะเพราะหลังจากนั้นเขากลับอุ้มผมยกขึ้นทั้งตัว
เหวอๆๆ ยังไม่เคยถูกใครอุ้มแบบนี้มาก่อนเลย
"เกลียดข้ารึ เจ้าบอกว่าเจ้าจะเกลียดข้า คิดว่าเจ้าเกลียดข้าแล้วข้าต้องปล่อยเจ้าไปหรือ อี้หลิน...เจ้าเป็นภรรยาของข้า ข้ามิยอมให้เจ้าไปไหนเด็ดขาด!"
โอย...ปรานีผมเถอะ ผมก็แค่มนุษย์ธรรมดาจะไปสู้แรงราชามารได้ไง แน่จริงก็ปล่อยสิวะ! สู้กันแบบคนทั่วไป รับรองได้อี้หลินคนนี้ไม่มีแพ้แน่
"เจ้าจะไม่ยอมปล่อยข้าใช่มั้ย!"
"อี้หลิน ข้ารักเจ้าถึงเพียงนี้จะให้ข้าปล่อยเจ้าได้อย่างไร"
แววตาไหววูบที่ผมเพิ่งเคยเห็นปรากฏต่อหน้า สายตาหม่นหมองของราชามารทำเอาใจของผมกระตุก ไม่รู้เป็นอะไรแต่ผมกลับรับรู้ความรู้สึกของเขาและเศร้าไปด้วยกัน
"คือข้า...ข้า"
"..."
พอเห็นเขาเงียบผมกลับรู้สึกใจคอไม่ดี เป็นอะไรขึ้นมาอีกล่ะตัวผมเนี่ย จะรอดก็ไม่รอดจะหนีก็ไม่หนี หรืออยากจะมีผัว!
"ไป่เยว่...ข้า ข้าขอโทษ"
น้ำเสียงของผมอ่อนลง และค่อยๆ จางหายไป ผมรับรู้ได้ถึงเรี่ยวแรงที่ลดลงของราชามาร เขาคลายอ้อมกอดจนหลวม
"เจ้าจำข้าได้แล้วหรือ"
น้ำเสียงอย่างคนมีหวังทำเอาไม่กล้าสบตา แล้วจะให้จำอะไรล่ะ ผมไม่รู้เรื่องราวสักอย่าง ตั้งแต่โพล่มาอยู่ในโลกนี้ก็ถูกตามล่าแบบงงๆ แถมยังมีสามีโดยไม่รู้ตัว
"ข้าจะจำได้อย่างไร ข้ายังไม่รู้ด้วยซ้ำเหตุใดคนชุดขาวกลุ่มนั้นถึงหมายจะเอาชีวิตข้า"
ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่ใช่ว่าไม่มีอะไรหลงเหลือในความทรงจำ ผมมักประสาทหลอนได้ยินเสียงตัวเองเรียกชื่อผู้ชายที่ชื่อ 'ไป่เยว่' หรือราชามารแห่งภพมารอยู่บ่อยๆ จะบอกว่าผมเกี่ยวข้องอะไรกับเขานอกจากสถานะใหม่ที่เขายัดเยียดให้ที่เหลือก็ไม่รู้อะไรอีก ตอนนี้ยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าร่างที่ผมใช้อยู่เป็นร่างของใคร เจ้าของร่างเดิมอาจเป็นภรรยาของราชามารหรืออาจเป็นศัตรูของพวกคนชุดขาว หนักสุดอาจเป็นปรปักษ์กับคนทั้งยุทธภพ
เป็นเมียก็ว่าแย่ เป็นศัตรูกับคนทั้งโลกคงไม่ไหว
"เจ้าไม่มีข้าในใจเลยหรือ..."
นี่ก็พูดเกินไป ผมไม่ได้ตัดรอนเขาเลยทีเดียว ก็แค่รับไม่ได้ที่อยู่ดีๆ ก็มีผัวขึ้นมา
"เอ่อ...ข้าแค่สับสนว่าเจ้าใช่สามีของข้าจริงหรือ"
สายตาของไป่เยว่หมองลงอีกครั้ง มันทำให้ผมรู้สึกผิดทั้งที่ตัวเองไม่ได้ทำอะไร แต่มันเหมือนกับว่าผมเป็นต้นเหตุ แล้วนี่ผมเป็นอะไรนักหนาวะ
"อี้หลิน เจ้ายังรักข้าอยู่หรือไม่"
กะทันหันไปมั้ยที่ถาม เราเพิ่งเคยเจอกันไม่ใช่เหรอ จะให้รักกันเลยคงเป็นไปไม่ได้
แต่เมื่อมองตอบกลับสายตาคู่นั้นของไป่เยว่ ความรู้สึกดีๆ กลับวิ่งเป็นกระแสน้ำวนเข้ากลางใจ
"ข้า...รักเจ้า"
รอยยิ้มสดใสปรากฏตรงหน้าอีกครั้ง ไป่เยว่กระชับอ้อมกอดพลางเดินเข้าถ้ำซึ่งด้านหน้ามีผนังหินขนาดใหญ่เคลื่อนเปิดออกกว้าง
เดี๋ยวๆๆ ก่อนไปที่อื่นขอขัดสักนิด เมื่อกี้ผมตอบไป่เยว่ว่าอะไรนะ 'ข้ารักเจ้า' ใช่มั้ย?
พระเจ้าตายเถอะ! ผมแค่พลั้งปาก!
"ไป่เยว่ ปล่อยข้าลง!"
"อีกเดี๋ยวจะถึงแล้ว ที่รักของข้าอย่าใจร้อน"
ไม่ร้อนไงวะอยู่ๆ ก็มีผัว!
_____________________________________
การเอาตัวรอดในโลกของพวกเซียนหรือพวกพลังเหนือธรรมชาติมันไม่ง่ายเหมือนในละครที่พระเอกโผล่มาโลกนั้นโลกนี้แล้วมีสกิลเทพติดตัวมาด้วย ดูอย่างผมสิ ถ้าไม่ใช่วิ่งเร็วหรือหลอกล่อเก่งคงถูกกระบี่เสียบตายไปหลายแผล ดูผมก่อนถ้าไม่ติดว่ามีคนเก่งกาจช่วยเหลือใช่ว่าจะรอด แล้วก็ดูผมนี่อยู่ๆ ก็มีสามีเป็นถึงราชามาร!
"อี้หลิน ข้ารักเจ้า"
รู้แล้วๆ ตั้งแต่นายพาเข้าถ้ำมาก็พูดแต่ประโยคเดิมเป็นครั้งที่สามสิบห้าได้แล้วมั้ง ถ้ายังคิดว่าผมหน้าหนาทนฟังเขาพูดได้ บอกเลยคิดผิด ผมอายม้วนแต่ม้วนไม่ได้ ไม่รู้จะหลบตรงไหน ได้แต่ซุกในอ้อมกอดราชามารอย่างเดียว
"คุณจะหยุดพูดได้ยัง ผมฟังจนเบาหวานขึ้นแล้ว"
"หืม คุณ...ผม? ผมเจ้าทำไมหรือ เบาหวานคือสิ่งใด"
เออลืม อยู่ยุคโบราณไม่ใช่ยุคปัจจุบัน
เสียงถอนหายใจดังไม่เบาแต่คนอุ้มก็ใช่ว่าจะใส่ใจ อี้หลินนะอี้หลินมีสามีเป็นตัวเป็นตนไม่พอยังจะต้องมาอธิบายความเป็นมาเป็นไปของโลกเดิมให้ฟังอีก แต่เอาเถอะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ยังไงก็คงต้องอยู่กับเขาไปสักพัก สบโอกาสค่อยหาทางหนีทีไล่
"ข้าหมายถึงตัวข้าฟังเจ้าพร่ำบอกรักจนน้ำตาลยังสู้ไม่ได้"
ได้ยินดังนั้นไป่เยว่กลับหัวเราะน้อยๆ เขาเดินไปยิ้มไปอย่างคนโง่งมลุ่มหลงหนักยิ่งกว่าเดิม หรือผมพูดอะไรผิด ก็ไม่ผิดนะ เขาเอาแต่พูดว่า 'รัก' อย่างคนไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ทำอย่างกับกลัวว่าจะไม่มีโอกาสได้พูดอีกหากไม่รีบซะตอนนี้
ไม่นานนักหลังจากที่ผมนับคำบอกรักของไป่เยว่มาตลอดทาง ในที่สุดเราสองคนก็โพล่ออกมาจากถ้ำจนเจอกับแสงไฟสลัวของคบเพลิง
ภาพเบื้องหน้าอย่างกับอยู่คนละโลก พื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลใครจะคิดว่าแค่เดินออกจากถ้ำก็เจอ สิ่งที่เห็นตรงหน้าไม่ใช่สวรรค์หรือโลกมนุษย์ แต่เป็นภพมาร...
ผมอดไม่ได้จนเผลอกลั้นหายใจไปชั่วขณะ หนทางเอาตัวรอดช่างอับแสงยิ่งกว่าเดิม ราชามารถึงกับพาผมเข้ามาภพมารซึ่งเป็นที่อยู่ของพวกปีศาจ เขาคิดจะปิดกั้นทุกทางรอดของผมเลยรึไง
อี้หลินเอ๋ยทำไงล่ะคราวนี้ ยังจะเล่นละครเป็นเมียราชามารต่อไปหรือจะหนีตั้งแต่ตอนนี้
"อี้หลินของข้า เจ้าดูสิ...ที่นี่คืออาณาจักรของเรา"
อาณาจักรของเขาต่างหาก...
ยังชื่นชมความงามไม่เต็มตา พื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลซึ่งปกคลุมด้วยความมืดนั้นจู่ๆ ก็เกิดแสงไฟพรึ่บพรั่บขึ้นอย่างฉับพลัน เสียงรถม้าวิ่งมาแต่ไกลทั้งที่ไม่มีใครควบคุมจอดลงตรงหน้าเราสองคน
เกี้ยวนั้นประดับไปด้วยผ้าคลุมสีแดงสดและมันยิ่งสว่างเมื่อกระทบเข้ากับแสงไฟ ผู้คนจำนวนไม่น้อยโพล่ขึ้นมาเป็นหย่อมหญ้าทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังไม่มีใครแม้แต่คนเดียว และก่อนที่คำถามมากมายในหัวจะออกมาเป็นคำพูด อยู่ๆ ก็มีเสียงของใครบางคนดังขึ้น
"เกี้ยวขันหมากมาถึงแล้ว!"
อ๋อ ที่แท้ก็มารับเจ้าสาว อืม...แล้วมารับใครครับ?
"อี้หลินของข้า ยินดีที่เจ้ากลับมาทันพิธีเข้าหอของเรา"
พะ...พิธีอะไรนะ
"ไป่เยว่ เจ้าพูดสิ่งใด"
"คืนนี้เป็นคืนร่วมรักของเรา"
อะเกรนพลีส!
มีใครคนหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า 'น้ำตาลูกผู้ชายจะหลั่งง่ายๆ ไม่ได้' ซึ่งก็จำไม่ได้แล้วว่าใครเป็นคนกล่าว แต่ตอนนี้ระบบการทำงานของสมองท่าจะพังไม่เป็นท่า เพราะมันยิ่งกว่าหลั่งน้ำตาลูกผู้ชายเสียอีก
"ไป่เยว่ ข้าไม่ไป!"
รอยยิ้มหยั่งลึกเมื่อต้องแสงสว่างของคบเพลิงมันยิ่งอาบย้อมความน่ากลัวจนผมแทบหยุดหายใจ
"ที่รัก...รับรองว่าคืนนี้จะเราจะมีความสุขร่วมกัน"
ไม่เว้ย! ผมไม่เอาผัว!