ตอนที่ 12 : มีหัวใจเป็นเดิมพัน
เป็นห่วง...ชูเซย์คนนี้บอกว่าเป็นห่วงผม?
ผมเงยหน้ามองอีกฝ่าย เพราะความสูงต่างกันเขาจำเป็นต้องก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกัน
"ห่วงทั้งๆ ที่เพิ่งเจอกัน?"
คิ้วทั้งสองเลิกขึ้นสูง แม้จะเห็นว่าเขาคอยทำนู่นนี่ให้ หรือบางครั้งแทบประเคนเอาใจสารพัดอย่าง แต่จะเกิดเป็นห่วงกันมันไม่ลึกซึ้งไปหน่อยเหรอ
"ไม่สำคัญว่าเพิ่งเจอกัน ห่วงก็คือห่วง ผมเป็นห่วงคุณนะพะนาย"
ความเงียบค่อยๆ ก่อตัวขึ้น แต่บรรยากาศกลับไม่อึดอัดอย่างที่ควรเป็น แถมยังรู้สึกผ่อนคลายไหลลื่น
"หึ...เก่งไม่เบานี่"
รอยยิ้มของคนตรงหน้าดูแข็งค้าง ก่อนเจ้าตัวจะถอนหายใจเสียงดัง เขาก้มหน้าก้มตากลับไปทำความสะอาดแผลต่อ ยังดีที่แผลไม่ลึก แค่ทายาและใช้ผ้าปิดแผลไว้เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
"จริงจังหน่อยสิ ผมเป็นห่วงคุณจริงๆ นะ"
"เป็นห่วงว่าตัวเองจะแพ้มากกว่า รู้มั้ย การแสดงเมื่อกี้เป็นธรรมชาติจนผมเองยังตกใจ"
ชูเซย์กะพริบตารัว ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่พักใหญ่
"พะนาย อย่าเล่นแรงนักสิ มันก็แค่เกม เฮ้อ! ก็ได้ๆ ผมบอกความจริงให้ก็ได้ ที่ผมเสนอเกมอะไรนั่นไปก็แค่อยากให้คุณมาที่นี่แค่นั้น แต่เรื่องเป็นห่วงน่ะของจริง ไม่มีล้อเล่น"
หึ...ว่าแล้วเชียว ไอ้มาเฟียสมองกลวงขุดหลุมตื้นเกินไปเลยสะดุดหลุมตาย อย่างนี้เค้าเรียกกันว่า 'กรรมตามสนอง'
"งั้นจุดประสงค์คืออะไร"
"..."
ชูเซย์เงียบไป เขาดูลังเลเล็กน้อยกับคำถาม ได้...เพื่อให้คำตอบอีกฝ่ายดูน่าสนใจ ผมจะต่อให้อีกหน่อยแล้วกัน
"ที่คุณพาผมมาเพราะต้องการให้ผมสร้างอาวุธสงครามให้...ถูกต้องไหม?"
"..."
เขายังคงเงียบ แต่ความลังเลเมื่อครู่กลับหายจนหมด เจ้าตัวไม่มีแววไหววูบในดวงตา สงบจนนึกภาพออก หากลูกน้องของไอ้มาเฟียสมองกลวงเห็นคงได้ช็อกพอๆ กับตอนที่อีกฝ่ายหัวเราะ
"ถ้าถามว่าทำไมต้องเป็นอาวุธสงครามก็เพราะว่ามันสำคัญยิ่งกว่าข้าวที่พวกคุณกิน มาเฟียหากเสียแขนขายังไม่น่ากลัวกว่าเสียอำนาจ น่ากลัวกว่าเสียอำนาจคือการรักษาอำนาจในมือ ไม่ใช่ว่าคุณไม่มีความสามารถในการผลิตอาวุธชั้นเลิศ แต่เพราะศัตรูของคุณมีฝีมือทัดเทียม เลยทำให้การต่อสู้สูสีกันจนน่ารำคาญ"
"..."
"คุณจึงพยายามคิดหาทางออกโดยการหาผู้สร้างยุทโธปกรณ์อย่างเช่นอาวุธสงครามหนัก หากทัดเทียมกับอาวุธทางทหารในสนามรบจะยิ่งเป็นการดี และตัวเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้ก็คือแฮ็กเกอร์ค่าตัวสูง รางวัลนำจับที่ตีมูลค่าออกมาเมื่อไหร่วงการอาชญากรรมเป็นต้องสั่นสะเทือน"
"..."
"ที่ผมพูดมาทั้งหมดถูกต้องไหม?"
สายตาพร่างพราวของผู้นำสาขาตะวันออกเฉียงเหนือดูเหลี่ยมจัดขึ้นมาทันตา รอยยิ้มมุมปากยกสูงบ่งบอกว่าเจ้าตัวพึงพอใจกับคำตอบที่ได้ยิน และดูจะถูกใจมากหากคำอธิบายยาวยืดจะถูกอธิบายซ้ำอีกรอบ
ให้อ่านสีหน้าและท่าทางมันไม่ได้ยากขนาดนั้น ถ้าไม่นับความรู้สึกเป็นห่วงของอีกฝ่าย
เสียงปรบมือดังขึ้น รอยยิ้มซึ่งเห็นกี่ทีดูกี่ครั้งก็ยังให้ความรู้สึกว่า 'อันตราย'
"สุดยอดมาก สุดยอดจริงๆ! แฮ็กคอมพิวเตอร์ว่าทึ่งแล้ว นี่ยังสามารถแฮ็กเข้าไปในสมองคนอื่นได้อีกด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนี้คุณไม่มีเครื่องทุ่นแรง ผมคิดว่าคุณคงปล่อยไวรัสแฝงเข้าในร่างกายผมซะอีก"
"..."
"แต่เสียใจด้วย คุณคงใช้คอมพิวเตอร์กับร่างกายมนุษย์ไม่ได้"
แรงกระตุ้นจากไอ้มาเฟียสมองกลวงนี่ใช้งานได้ดีตลอด!
"มันก็ไม่แน่ แค่ยังไม่ลองทำเลยไม่นับว่าทำไม่ได้"
เสียงผิวปากลอยหวือจากอีกฝ่ายทำเอาหัวคิ้วของผมกระตุก สักวันพ่อจะปล่อยไวรัสเจาะสมองให้พรุนเลยคอยดู!
"งั้นทำบ้างสิ หากมีเวลามากพอผมอยากให้คุณทำ ถ้าคุณรู้ว่าใจผมคิดยังไงคุณอาจชอบมันก็ได้นะ"
"หัวใจเป็นอวัยวะสำคัญในการดำรงชีวิตของมนุษย์ก็จริง แต่ไม่สามารถประมวลผลความคิดถ่ายทอดออกมาได้"
"ตามหลักแล้วมันก็ใช่ แต่ถ้าอะไรที่มีหัวใจเป็นเดิมพัน บางครั้งสมองก็ไม่จำเป็นต้องประมวลผล เหมือนที่ผมทำอยู่ตอนนี้ไง"
"..."
"คุณไม่คิดว่าคำตอบนี่น่าเห็นด้วยหรอกเหรอพะนาย"
แบบนี้เรียกว่าเป็นคำตอบได้ด้วยเหรอ ไปเอาแนวคิดทฤษฎีพิลึกนี่มาจากไหน
"ว่างมากก็หัดหาความรู้อย่างอื่นใส่สมองบ้าง อย่าให้ว่างเพ้อเจ้อหาสาระไม่ได้"
"มีคนเก่งๆ อย่างคุณอยู่ใกล้ๆ ผมยังต้องว่างงานอยู่อีกเหรอ"
"..."
"ร่างกายผมไม่เคยหยุดพัก สมองยิ่งไม่ต้องหยุดพัก มันคิดวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาว่าต้องทำยังไงถึงจะมีใครคนนั้นมาอยู่ข้างกาย"
"นี่เหรองานหนัก งั้นก็พักเถอะ เพราะพื้นที่สมองของคุณคงเต็มหมดแล้ว"
"ไม่เต็มหรอกครับ ผมยังต้องลับสมองกับคุณอยู่ทุกวัน"
คุยกับคนแบบนี้สิ้นเปลืองพลังงานที่สุด เถียงได้ทุกคำ ตอบโต้ทุกประโยค นอกจากเจาะเข้าสมองไอ้มาเฟียนี่คงต้องหาวิธีปิดปากให้เงียบด้วย
"ทำแผลเสร็จแล้วก็ไปหาข้าวมากิน ต้อนรับแขกอย่างนี้ต่อไปใครจะมาบ้านคุณอีก"
ชูเซย์ถึงกับหัวเราะออกมาน้อยๆ เขาส่ายหัวกับบทสนทนาเปลี่ยนเรื่องของผม แต่เจ้าตัวก็ยอมหยุดและคล้อยตามเช่นกัน
"ครับๆ ผมจะรีบจัดการให้เร็วที่สุด กลัวคนแถวนี้โมโหหิว แต่ถ้าอดไม่ไหวจะกินผมเข้าไปแทนก่อนก็ได้ ผมไม่ว่า..."
จะกินไม่ลงก็เพราะอย่างนี้นี่แหละ!
ชูเซย์ต่อสายหาใครบางคน เพียงเวลาไม่นานอาหารเช้าอ่อนๆ สำหรับฟื้นฟูร่างกายถูกยกเข้ามาไม่ต่ำกว่าสิบอย่าง
โต๊ะกินข้าวซึ่งถัดไปจากเตียงไม่กี่ก้าวไม่เหลือพื้นที่ให้วางของอย่างอื่นได้อีก
"รู้มั้ยวันนี้ผมเจริญอาหารที่สุดในรอบหลายปีเลยล่ะ"
"..."
เขาว่าพลางขยับตัวเข้ามาใกล้ ก่อนใช้มือช้อนร่างผมยกขึ้น สัมผัสแผ่วเบาราวกับทะนุถนอมสิ่งสำคัญในมือทำเอาผมเองตั้งตัวไม่ติด ถึงเขาจะบอกว่ามันเป็นแค่เกม แต่ถ้าไม่หวังชนะแล้วจะเข้าเป็นผู้เล่นทำไม จะมีกติกาไว้เพื่ออะไร
"พะนาย...เรื่องที่ผมเป็นห่วงคุณน่ะของจริงนะ และรางวัลเมื่อคุณชนะผมก็จะยกให้คุณ แต่คุณอย่าคิดว่าเป็นการล้อเล่นก็พอ เพราะผมไม่เคยคิดจะเอาความรู้สึกของคุณมาล้อเล่นเลย"
"ยังไม่ได้ว่าอะไรสักคำ"
"แต่ผมเป็นประเภทร้อนตัว ถ้าไม่สามารถทำให้คุณเข้าใจได้ผมคงอกแตกตายก่อน"
"..."
"ผมไม่อยากให้ความเข้าใจผิดทำลายความสัมพันธ์ของเรา"
ความสัมพันธ์...คำนิยามนี้มายังไง แม้จะบอกว่าระยะเวลาไม่สำคัญ แต่การที่อีกฝ่ายทำเหมือนรู้จักผมดีมันก็น่าหมั่นไส้ไม่น้อย
"คุณคิดว่าตัวเองรู้จักผมดีแค่ไหนถึงกล้าพูดว่าเรามีความสัมพันธ์กัน"
ชูเชย์เดินมาหยุดตรงเก้าอี้หน้าโต๊ะกินข้าว เขาค่อยๆ วางผม จัดท่าทางให้นั่งสบายที่สุดก่อนจะย่อตัวลง
"อย่างน้อยที่สุด ผมก็รู้จักรักษาคุณค่าของคนตรงหน้าผมตอนนี้"