ตอนที่ 4 การเรียนรู้ของคีอาร์
ตอนที่ 4
การเรียนรู้ของคีอาร์
เช้าวันนี้คีอาร์ได้เริ่มฝึกงานเป็นคนเสิร์ฟอาหารเล็ก ๆ น้อย ๆ ตามความสามารถที่ร่างเล็กของเขาจะทำได้ในร้านอาหารโคลเวอร์ ซึ่งเด็กที่โคลว์รับทำงานทั้งสามคนก็พากันสอนงานให้กับคีอาร์ พวกเขามีชื่อว่า โจนี่ โคนี่ และเจนอส พวกเขาทั้งหมดเป็นเด็กที่มาจากสลัมใกล้ๆ
ทั้งสามทำงานกับโคลว์ก็เพราะพวกเขาจะซื้ออาหารไปเลี้ยงเด็กคนอื่น ๆ ที่อยู่ในสลัม พวกเขาถือเป็นพี่ใหญ่เลยล่ะ
อนาคตถ้าเป็นพระเอกคงเป็นพระเอกสู้ชีวิต เก่งกาจ และใจดี ทำทุกอย่างเพื่อหาข้าวมาเลี้ยงน้อง ๆ ที่แทบไม่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดเลย เมื่อหันกลับมาดูพระเอกในตอนนี้ของฉัน คีอาร์มักจะไร้รอยยิ้มบนใบหน้า ไม่เหมือนเด็กคนอื่นที่มีรอยยิ้มสดใสได้ทุกเมื่อแม้จะเป็นเด็กจากกองขยะ ความใจดีจากใจก็ไม่มี ดูจากการตบหัวแมวและสุนัขครั้งนั้น เป้าหมายชีวิตก็ไม่มี เขาไม่แม้แต่จะอาลัยอาวรณ์ถึงบ้านที่จากมาอย่างกะทันหันเลยด้วยซ้ำ
“คีอาร์ การต้อนรับลูกค้าเธอต้องยิ้มนะ” โคลว์เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเสียงทุ้มและนุ่มนวลของเขา โคลว์เฝ้ามองคีอาร์ทำงานอยู่ตลอด เขามักจะพยักหน้าอย่างพอใจเมื่อคีอาร์ทำได้ดี แต่มีปัญหาเดียวนั่นก็คือรอยยิ้มบนใบหน้าคีอาร์นี่ล่ะ
สีหน้าแสดงออกเหมือนกับว่าโคลว์ได้ใช้แรงงานเด็กทั้งที่เด็กไม่เต็มใจเลยล่ะ
“...ครับ” คีอาร์ขมวดคิ้วกับคำสั่งของโคลว์แต่ก็ตอบรับแต่โดยดี จากนั้นมุมปากของคีอาร์ก็ยกขึ้น มันเป็นการแสยะยิ้มมากกว่าเป็นรอยยิ้มสดใสแบบเด็ก ฉันถึงกับยิ้มค้างหน้าซีด เพิ่มเสียงประกอบไปหน่อยคีอาร์คงกลายเป็นเด็กผีในหนังสยองขวัญ
โคลว์เองก็มีปฏิกิริยาไม่ต่างจากฉันเท่าไหร่ ฉันว่าเขาคงคิดหาทางสอนรอยยิ้มที่ถูกต้องให้กับคีอาร์ในใจแน่ ๆ
“ฉันคิดว่านายควรเลิกยิ้มแบบนั้นก่อนที่ลูกค้าของคุณโคลว์จะหนีนะ” โคนี่ เด็กชายจากสลัมพูดขึ้น เขาเป็นเด็กผู้ชายที่มีอายุสิบสามปี มีเส้นผมสีน้ำตาล เขาเป็นเด็กที่ตัวโตและดูแข็งแรงที่สุดในสามคนเลยล่ะ
“...” คีอาร์หันไปมองโคนี่และหุบยิ้มลงเล็กน้อยก่อนจะแสยะยิ้มขึ้นมากกว่าเดิม ดูเหมือนเด็กน้อยของฉันกำลังสนุก
“เฮ้ย! ไม่ใช่! ฉันบอกให้หุบยิ้มไม่ใช่ยิ้มมากกว่าเดิม” โคนี่สะดุ้งเบาๆ และตะโกนปฏิเสธรอยยิ้มนั่น คีอาร์กลับเพิ่มเสียงหัวเราะคิกคักเข้ามาด้วย
“อย่าไปพูดเลย ยิ่งพูดเหมือนยิ่งยุ” โจนี่พูดขึ้นมาขณะเดินผ่านทั้งสอง เขาเป็นเด็กชายที่มีผมสีทองและดวงตาสีฟ้า หน้าตาของเขาน่ารักอย่างมากจนเหมือนเด็กผู้หญิงซะมากกว่า จากที่ฉันได้เห็นตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาเขาเป็นพวกที่ชอบใช้ความคิด เขาเป็นผู้ใหญ่กว่าเพื่อนๆ อีกสองคนเพราะเมื่อโคนี่เหมือนจะไปมีเรื่องกลับลูกค้าเขาก็จะเป็นคนพูดให้โคนี่หยุด โคลว์ไม่จำเป็นต้องออกหน้าเลย
ส่วนเจนอสนั้นฉันคิดว่าเขาเป็นใบ้เพราะเขาไม่พูดเลย ทั้งตอนทำงานหรือตอนอยู่ในวงสนทนา เขามักจะก้มหน้าจนผมสีเทาของเขาปกปิดหน้าไปกว่าครึ่งหน้า ฉันจึงตรวจสอบประวัติคร่าวๆ ของเขา ปรากฏว่าเขาไม่ได้เป็นใบ้แต่เพราะพลังของเขาเกี่ยวกับเสียงเขาจึงไม่ยอมใช้มัน
พลังจิตของเขาคงจะใช้สั่งคนอื่นได้หรือไม่ก็ทำร้ายคนอื่นได้
ทำไมฉันรู้สึกเหมือนจะเห็นตัวละครลับกันนะ...
หลังจากที่พวกเขาทำงานหนักมาตั้งแต่สายถึงเย็นโคลว์ก็ให้พวกเด็ก ๆ ช่วยปิดร้านและพวกเขาก็ไปที่ห้องหลังร้าน มันเป็นห้องโล่งกว้างที่ไม่มีอะไรเลย ที่แห่งนี้โคลว์ใช้เป็นที่ฝึกสอนเด็ก ๆ ให้ควบคุมพลังตัวเอง เพราะหากไม่ได้รับการฝึกควบคุมเจ้าของพลังอาจจะเสียการควบคุมและอาละวาดขึ้นมาได้
หากเป็นแบบนั้นพวกเด็ก ๆ ที่ไม่รู้การควบคุมพลังคงถูกจับเข้าคุกอย่างน่าเศร้า
โคนี่มีพลังด้านเสริมพลังกายอย่างที่คาด ทั้งรูปร่างและศักยภาพทางร่างกายของเขาเหมาะสมมาก ๆ ส่วนพลังของโจนี่นั้นก็คือการมองเห็นอนาคตได้ อย่างมากก็แค่หนึ่งวินาทีน่ะนะ และไม่ใช่แค่การควบคุมพลังที่โคลว์สอนให้กับพวกเด็ก เขาสอนทักษะการต่อสู้ป้องกันตัวให้พวกโคนี่ด้วย แน่นอนว่าคีอาร์ก็จะได้เรียนรู้พวกมันเช่นกัน
แต่ตอนนี้เขาต้องฝึกร่างกายให้แข็งแรงก่อน ร่างกายที่ผอมแห้งของคีอาร์ทำฉันกังวลจริงๆ ...
ฉันคิดว่าคงอีกหลายอาทิตย์กว่าที่คีอาร์จะได้ฝึกอย่างจริงจัง ฉันคิดว่าตัวเองควรกลับโลกของตัวเองเพื่อรอเวลาน่าจะดีกว่า ห้านาทีในโลกของฉันที่นี่จะผ่านไปหนึ่งวัน ฉันน่าจะกลับโลกเดิมไปสักสองชั่วโมงซึ่งที่นี่จะผ่านไปประมาณ 24 วันหรือเกือบหนึ่งเดือน ถึงตอนนั้นคีอาร์คงจะพัฒนาไปอีกมาก อีกอย่างฉันก็ไม่ต้องห่วงว่าจะพลาดอะไรไปด้วยเพราะในระหว่างที่กลับไปโลกนั้นฉันสามารถบันทึกวิดีโอไว้ได้ด้วย
แต่ยังไงซะก่อนไปฉันก็อยากจะแน่ใจซะก่อนว่าคีอาร์จะอยู่ได้อย่างไม่มีปัญหา
เรื่องอาหารและที่นอนคงไม่ต้องห่วงเพราะโคลว์จัดการให้หมดแล้ว ติดอยู่ตรงความคิดแปลกๆ ของคีอาร์ เขายอมให้คนอื่นทำร้ายเพราะเห็นว่าคนอื่นอ่อนแอกว่าตัวเอง สักวันเขาจะตายเพราะมันแน่ ๆ และเรื่องที่เขาตบหัวแมวเล่นนั่นอีก เรื่องรอยยิ้มแสยะที่น่ากลัวของเขาด้วย! พระเอกนิยายเรื่องยาวของฉันคงได้แสยะยิ้มทั้งเรื่องแน่ ๆ หากไม่แก้ไขตั้งแต่ตอนนี้
มันคงกลายเป็นนิยายสยองขวัญหากพระเอกยิ้มไปฆ่าคนไป ดูแล้วคีอาร์ก็เหมือนจะเป็นพวกสายเอสเพราะเขาดูสนุกเมื่อคนอื่นทำหน้ากลัวเขา
เรื่องแบบนี้คงมีแต่ต้องรักษาระยะยาว
ฉันคิดว่าควรต้องเตือนคีอาร์แล้วให้เขาค่อยๆ ปรับนิสัยตัวเอง โดยมีโคลว์เป็นตัวอย่าง คนที่ยิ้มอ่อนโยนตลอดเวลาแบบนั้นคีอาร์น่าจะซึมซับการยิ้มแบบนั้นมาบ้าง
หนึ่งวันของคีอาร์ผ่านไปอีกวัน เขาทำได้ดีเกี่ยวกับการฝึกร่างกาย ส่วนเรื่องพลังนั้นควรเก็บไว้ก่อนเพราะเจ้าลูกกลมๆ นั่นบางครั้งมันก็กินของรอบข้างมากกว่าที่คีอาร์สั่ง อย่างเช่นหากคีอาร์ให้มันกินข้าวเม็ดหนึ่งในจานมันก็จะกินทั้งจานหรือไม่ก็กินโต๊ะเข้าไปเลย
โคลว์มักจะกุมหัวคิดหนักอยู่ตลอดในเรื่องนี้
“วันนี้เหนื่อยมากรึเปล่า?” ฉันถามคีอาร์ขณะที่นอนกอดเขาอย่างเช่นวันที่ผ่านมา
“ตาลุงน่าจะถูกชูบี้จับกิน” คีอาร์ตอบออกมาทันที สงสัยเขาจะเคืองไม่น้อยที่โคลว์เข้มงวดกับเขา...
ส่วนชูบี้ที่คีอาร์กล่าวถึงมันก็คือเจ้าลูกกลมๆ สีดำจอมเขมือบนั่นล่ะ ชื่อดูน่ารักไม่สมกับความสามารถที่น่ากลัวนั่นเลยแม้แต่น้อย
“คีอาร์ อยากให้พี่สาวเล่านิทานก่อนนอนไหม?” ฉันเปลี่ยนเรื่องถาม คีอาร์เงยหน้าขึ้นมามองฉันแล้วกะพริบตาปริบๆ
“นิทาน?” เขาทำหน้าสงสัย ฉันจึงรีบอธิบายทันที
“นิทานก็คือเรื่องเล่าที่ถูกแต่งขึ้นมา ซึ่งบางครั้งก็แต่งมาจากเค้าโครงความจริง คนส่วนมากมักจะนำมาเล่าให้กับเด็ก ๆ ฟังก่อนนอน เขาจึงเรียกกันว่าเป็นนิทานกล่อมนอนด้วยยังไงล่ะ หากทำแบบนี้จะทำให้เด็ก ๆ ได้นอนหลับฝันดี" ฉันยิ้มกว้าง ยินดีที่ได้บอกกับเขาเกี่ยวกับสิ่งที่เด็ก ๆ ควรได้รับ “พี่สาวจะเล่านิทานเรื่องหนึ่งให้ฟัง เรื่องเด็กเลี้ยงแกะแล้วกันนะ”
“อือ” คีอาร์พยักหน้าอย่างกระตือรือร้น เขาผละออกจากฉันเล็กน้อยแล้วเปลี่ยนจากกอดมาเป็นจับมือแทน เพื่อที่เขาจะได้เห็นหน้าของฉันชัดๆ ให้ระหว่างที่ฉันเล่านิทาน
“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว....” ฉันได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับเด็กเลี้ยงแกะคนหนึ่งที่พูดแต่เรื่องโกหก ฉันจะสอนให้คีอาร์ไม่พูดโกหก! พระเอกต้องซื่อตรง เมื่อนักอ่านได้อ่านเรื่องของเขาจะได้ชอบเขา
และเมื่อฉันเล่าเรื่องเด็กเลี้ยงแกะจบคีอาร์ก็ได้พูดขึ้นมาว่า
“ทำไมหมาป่าไม่กินเด็กเลี้ยงแกะไปด้วย กินง่ายกว่าการไปกินแกะขนหนาๆ ซะอีก” คีอาร์พูดด้วยสีหน้าสงสัยปนขัดใจ ฉันถึงกับยิ้มค้างเลยทีเดียว
“คีอาร์ เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าห้ามโกหกนะ และเรื่องการกินของหมาป่าไม่ใช่เรื่องที่เธอควรไปสนใจมัน” ฉันพูดอย่างใจเย็น คีอาร์เอียงคอเล็กน้อย
“เข้าใจแล้ว” เขาพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย ฉันยิ้มยินดีทั้งน้ำตา
“เอาล่ะ นอนกันเถอะวันพรุ่งนี้ค่อยมาฟังนิทานเรื่องอื่น” ฉันดึงเขาเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดขณะเดียวกันฉันก็คิดว่า วันพรุ่งนี้ต้องหานิทานเรื่องใหม่ที่สดใสไร้เนื้อหาการฆ่ากัน!
วันต่อมา
“วันนี้คีอาร์ช่วยไปรับเมนูจากลูกค้านะ ทำได้ใช่ไหม?” โคลว์ยิ้มอ่อนโยนและยื่นกระดาษเมนูรายการอาหารเล็ก ๆ ให้กับคีอาร์ ซึ่งคีอาร์ก็พยักหน้ารับแล้วทำหน้าที่ที่ได้รับของตัวเอง
“วันนี้ก็ยิ้มดี ๆ ด้วยล่ะ” โคนี่ทักขึ้นมา คีอาร์หันหน้าไปมองโคนี่ก่อนจะพูดว่า
“รอยยิ้มของนายก็น่าขยะแขยงเหมือนกัน” ทุกคนหยุดชะงักโดยไม่ได้นัดหมายรวมถึงฉันเหมือนกัน คีอาร์ไม่ค่อยยอมที่จะพูดคุยกับพวกโคนี่เท่าไหร่นัก แต่ไหงพอพูดออกมาแต่ละทีมันถึงกลายเป็นประโยคชวนให้ตีกันแบบนี้ล่ะ
“ว่าไงนะ! เจ้าเด็กจอมเขมือบอยากโดนตีก้นใช่ไหม!” โคนี่หักนิ้วเตรียมตีเต็มที่ โจนี่รีบเข้ามาขวางทั้งสอง
“อย่าหาเรื่องเด็กสิโคนี่ คีอาร์ก็แค่เด็กอย่าไปสนใจคำพูดของเด็กเลย” โจนี่ว่า “คีอาร์เธอก็อย่าพูดเล่นแบบนี้อีก โดนตีก้นขึ้นมาไม่รู้ด้วยนะ” เขาสั่งสอนหรืออาจจะเตือนคีอาร์
“....?” คีอาร์ทำหน้ามึนตอบ
“ทำอะไรกันอยู่ลูกค้ารออยู่นะ” โคลว์ที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องครัวพูดขึ้น
พวกเขาจึงแยกย้ายกันไปทำงานต่อ โจนี่และโคนี่ไปรับจานอาหารมาเสิร์ฟให้ลูกค้า ส่วนคีอาร์ก็ไปรับเมนูอาหารที่ลูกค้าสั่งและนำกลับมาให้โคลว์
“ได้มาแล้ว” คีอาร์เอ่ยเสียงเรียบและส่งกระดาษให้โคลว์
“คีอาร์วันนี้ยิ้มให้ดูหน่อย รอยยิ้มของเธอทำให้แขกมีความสุขรึเปล่า” โคลว์ย่อตัวลงไปคุยกับคีอาร์ด้วยรอยยิ้มสวยงาม เส้นผมสีขาวของเขาช่วยทำให้เขาเหมือนเทพบุตรมากขึ้นทุกที
“พวกเขาสะดุ้งใส่ผม” คีอาร์ตอบพลางแสยะยิ้มสนุกสนาน โคลว์เพียงหัวเราะเบาๆ
“ยิ้มให้เหมือนผมสิเด็กดี ทุกคนต้องเอ็นดูเธอมากแน่” โคลว์ยิ้มและเอานิ้วชี้จิ้มแก้มตัวเอง ภาพมันออกมาน่ารักจนฉันต้องยกมือกุมอกที่สั่นไหวของตัวเอง
โคลว์หล่อจริงๆ ทำอะไรก็ดูดี!
“เอ็นดู?” คีอาร์ทำหน้าไม่เข้าใจคำที่โคลว์บอก
“เอ็นดูหมายถึงพวกเขาชอบเธอยังไงล่ะ ลูกค้าที่ชอบเธออาจจะใจดีเอาขนมให้ก็ได้นะ” โคลว์บอก
“...ผมคงยิ้มแบบคุณไม่ได้” คีอาร์พูดหน้าเรียบ “รอยยิ้มของคุณน่ากลัวมาก”
ฉันถึงกับไอติดต่อกัน รอยยิ้มของโคลว์น่ากลัวเหรอ? รอยยิ้มที่แสนอ่อนโยนนั่นน่ะนะ? ถึงมันจะจริงในอีกความหมายก็เถอะแต่เด็กอย่างคีอาร์มองจิตใจส่วนลึกผ่านรอยยิ้มของโคลว์ได้ด้วยงั้นเหรอ? ไม่สิ เขาน่าจะสัมผัสได้ตามสัญชาตญาณของเด็กมากกว่า ขนาดฉันยังดูแทบไม่ออกเลย หากไม่ได้ดูประวัติที่ลึกลับของเขาก็คงมองไม่ออกไปอีกนาน
“ทำไมพูดอย่างนั้นเล่า ทุกคนชอบรอยยิ้มของผมทั้งนั้นเลยนะ” โคลว์แสร้งทำเสียงเศร้าใจ
“ผมพูดความจริง คุณน่ะ น่ากลัว” คีอาร์ยังยืนยันคำเดิม เปลือกตาที่เหมือนจะปิดตลอดเวลาของโคลว์ค่อยๆ เปิดขึ้น ดวงตาสีเทาหม่นและรอยยิ้มเย็นชาปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของโคลว์ ฉันตบหน้าผากตัวเอง คีอาร์กำลังทำตามที่ฉันสั่งใช่ไหม? เมื่อคืนฉันบอกไม่ให้เขาพูดโกหก แต่ฉันควรบอกเขาว่าสิ่งไหนไม่ควรพูดและควรพูดออกไปด้วยสินะ
“คีอาร์ถึงจะบอกว่าห้ามโกหกแต่บางเรื่องก็ไม่ต้องพูดก็ได้ ไม่พูดหมายความว่าเธอไม่ได้โกหกด้วยยังไงล่ะ!” ฉันย่อตัวไปบอกคีอาร์ เขาหันมามองฉันแล้วเอียงคอ “หากพูดเรื่องที่ไม่ควรพูดออกมาคนอื่นเขาจะโกรธเธอนะ อย่างโคลว์ในตอนนี้ เธอพูดเรื่องต้องห้ามออกไปแล้วเขาอาจจะโกรธเธอจนเพิ่มบทเรียนพิเศษให้เธออีกก็ได้”
เมื่อได้ยินคำว่าบทเรียนพิเศษคีอาร์ตัวเกร็งทันที โคลว์เป็นพวกที่เข้มงวดมากเพราะงั้นในตอนที่เขาฝึกสอนคีอาร์เขาจะน่ากลัวสุดๆ
“คีอาร์....มีอะไรอยู่ข้างๆ เธองั้นเหรอ?” โคลว์ได้เอ่ยถามขึ้นมา ฉันถึงกับสะดุ้งเฮือก สายตาของเขามองมาที่ที่ฉันอยู่แล้วหรี่ตาลงเหมือนต้องการมองหาว่ามีอะไรอยู่ตรงนี้
ฉันเหงื่อตก ดูเหมือนฉันจะไปทำอะไรบางอย่างจนโคลว์สงสัยถึงการมีอยู่ของตัวตนของฉัน เขาฉลาดซะด้วยสิ
“คีอาร์รีบทำเป็นไม่สนใจพี่สาวเร็ว! ตัวตนของพี่สาวเป็นความลับสุดยอดเพราะงั้นอย่าให้เขารู้นะ!” ฉันหันไปบอกคีอาร์
คีอาร์จึงยืนเงียบไม่ตอบคำถามของโคลว์ ฉันตบหัวตัวเองเบาๆ อีกรอบหากคีอาร์ไม่ปฏิเสธไปมันก็จะยิ่งน่าสงสัยน่ะสิ แต่ฉันดันสอนเขาไปเมื่อกี้ว่าห้ามโกหก หากไม่อยากโกหกก็ให้เงียบ
โธ่! ไม่น่าเลย!
“ว่าไง?” โคลว์เร่ง ฉันเหงื่อแตกพลั่ก จะบอกให้คีอาร์โกหกออกไปก็ไม่ได้เสียด้วย ความเชื่อถือของฉันหมดกันพอดี ในขณะที่ฉันลนลานหาทางแก้อยู่นั้นโคลว์ก็ถอนหายใจออกมา “ช่างเถอะ ไปทำงานต่อเถอะ” เขายอมตัดใจไป ฉันถอนหายใจด้วยความโล่งอก อย่าสนใจฉันเลย...
เพราะเหตุการณ์นี้จึงทำให้โคลว์สังเกตพฤติกรรมของคีอาร์เป็นพิเศษ บางครั้งก็สำรวจสิ่งของรอบตัวอยู่บ่อยครั้ง
เฮ้อ เพราะมันวุ่นวายแบบนี้ไงฉันถึงอยากจะแค่เฝ้าดูเท่านั้น
และวันนี้ฉันได้รู้ข้อมูลเพิ่มมาว่าคีอาร์นั้นเชื่อฟังมาก เชื่อฟังสุดๆ มันมีทั้งผลดีและผลเสีย ฉันคงต้องปวดหัวกับคีอาร์อีกนานกว่าจะกล้ากลับโลกของตัวเองได้อย่างวางใจ...
ในคืนนั้นเป็นคืนที่สองที่ฉันจะเล่านิทานให้คีอาร์ฟัง นิทานที่ฉันเลือกก็คือเรื่องกระต่ายกับเต่าที่ในเนื้อเรื่องไม่มีการฆ่าฟันกันเกิดขึ้น มีแต่การวิ่งแข่งระหว่างเต่ากับกระต่าย เต่าช้าแต่มีความพยายามจนไปถึงเช่นชัย ไม่เหมือนกับกระต่ายที่วิ่งเร็วแต่หลงเริงในความสามารถของตัวเองจนแพ้ให้กับเต่า ในระหว่างการเล่าเรื่องคีอาร์ก็ได้ตั้งใจฟังอย่างดี
“เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่นยังไงล่ะ!” เมื่อเล่าจบก็ต้องจบด้วยประโยคสอนใจ คีอาร์กะพริบตาปริบๆ ฉันจ้องมองเขาเพื่อรอฟังความคิดเห็นของเขา
“กระต่ายกับเต่ามีหน้าตาเป็นยังไงเหรอ?”
เรื่องนั้นเองเรอะ! เขาไม่รู้จักพวกมันได้ยังไงทั้งที่เป็นสัตว์ที่ทุกคนพูดถึงกันมากมาย ในตอนนั้นฉันก็นึกสภาพคีอาร์ตอนที่พบเขาครั้งแรก ก็ได้! ความผิดฉันเองที่ไม่เอาหนังสือภาพมาด้วย ฉันจะไปหามาให้ในครั้งหน้าแน่นอน! แล้วตกลงเขาเข้าใจสิ่งที่ฉันพยายามบอกไปไหมเนี่ย?