ตอนที่ 5 ไปกลับ
ตอนที่ 5
ไปกลับ
สองอาทิตย์ผ่านไป หากนับรวมแล้วนี่ก็ผ่านมาเดือนหนึ่งแล้วที่ฉันอยู่ที่นี่และคงประมาณสองชั่วโมงกว่าในโลกที่แท้จริงของฉัน การเลี้ยงดูเด็กยากกว่าที่คิด ไม่ใช่ว่าคีอาร์ดื้อ แต่เพราะเมื่อยัดอะไรเข้าสมองของเขาคีอาร์ก็จะตีความในแบบของเขา ซึ่งบางครั้งมันก็แปลกๆ จนต้องรีบตามแก้ให้เขาเข้าใจใหม่
เขาเชื่อฟังมากจนฉันกังวลว่าเขาจะเชื่อคนอื่นที่สอนสิ่งผิดๆ ให้เขา
แต่ฉันคิดว่าคงอยู่ที่นี่นานกว่านี้ไม่ได้แล้ว การเข้ามามองต่างโลกในแต่ละครั้งมันก็มีขีดจำกัดของมัน การเฝ้ามองเฉยๆ ก็เหนื่อยแล้ว ยิ่งต้องมีการสัมผัสสิ่งของที่ต่างโลกมันยิ่งกินพลังงานมากขึ้น ถึงขณะที่จิตวิญญาณมาที่นี่ร่างจริงของฉันจะเหมือนคนหลับธรรมดา แต่มันก็เป็นการกึ่งหลับกึ่งตื่นเหมือนจะพักแต่ก็ไม่พอ
ฉันควรกลับไปพักสักชั่วโมงเพื่อเติมพลังงานไม่งั้นฉันอาจจะป่วย
แต่ฉันไม่รู้ว่าจะบอกคีอาร์ไปยังไงดี เขาติดฉันมากขึ้น ฉันเคยหายไปสืบข่าวเกี่ยวกับโลกนี้เพียงครู่เดียวคีอาร์ก็ลนลานตามหาฉันซะทั่วจนโคลว์สงสัยมากกว่าเดิมว่าฉันมีตัวตนอยู่ และพอถึงเวลานอนเขาก็จะใช้ฉันเป็นหมอนข้าง หากไม่มีฉันเขาก็จะนอนไม่หลับ ฉันว่าตัวเองกำลังสร้างนิสัยเสียให้กับเขาอย่างไม่ได้ตั้งใจซะแล้ว
“เลย์ เลย์ วันนี้จะเล่านิทานอะไรให้ผมฟังเหรอ?” คีอาร์ถามขึ้นมา ฉันหลุดออกจากภวังค์และก้มมองคีอาร์ที่กำลังนอนทับบนตัวของฉันตอนนี้ เดี๋ยวนี้แค่กอดมันไม่เพียงพอเขาจึงปีนขึ้นมานอนบนตัวฉันซะเลย เนื่องจากตัวของเขาเล็กและไม่หนักมากฉันจึงไม่รู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด
“วันนี้...พี่สาวจะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับผู้บันทึก...ผู้บันทึกก็คือคนธรรมดาแต่มีพลังพิเศษอย่างหนึ่งที่ทำให้สามารถมองข้ามโลกได้ พวกเขาจะเลือกคนผู้หนึ่งและติดตามชีวิตของคนผู้นั้นจนกว่าชีวิตคนคนนั้นจะถึงเป้าหมายหรือ...ตาย” ฉันเว้นช่วงและก้มมองคีอาร์ที่จ้องมองฉันตาแป๋ว
“เรื่องราวของผู้ที่ถูกเลือกจะถูกบันทึกเป็นตัวอักษรและเรื่องราวเหล่านั้นก็จะถูกเผยแพร่ไปยังโลกอีกฝั่งหนึ่ง แต่ถึงจะบอกว่าติดตามไปตลอดชีวิตแต่ก็ใช่ว่าผู้บันทึกจะสามารถอยู่กับผู้ที่ตนเองเลือกได้ตลอดเวลาเพราะผู้บันทึกก็แค่คนธรรมดา ต้องการที่จะพักผ่อนและหยุดพัก”
คีอาร์ลุกขึ้นนั่งทันที เขามองหน้าฉันด้วยสีหน้าไม่ยอม นั่นหมายความว่าเขาเข้าใจสิ่งที่ฉันอยากบอก
“ไม่ต้องห่วงคีอาร์พี่สาวจะไปไม่เกินหนึ่งเดือนแน่นอน” ฉันยื่นมือไปลูบหัวคีอาร์แต่เขาปัดมือฉันทิ้ง
“เลย์ต้องอยู่กับผม! อย่าไปเลยนะ!” คีอาร์ตะโกนออกมาและต้องการที่จะบังคับให้ฉันทำตาม
“ไม่ได้นะคีอาร์ หากพี่สาวไม่กลับไปร่างที่แท้จริงของพี่สาวอาจจะป่วยตายได้เลยนะ” เมื่อได้ยินคำว่าตายคีอาร์ก็ชะงักไปและเม้มปากแน่น
“เลย์.....จะไม่ทิ้งผมใช่ไหม?” คีอาร์ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ขึ้นมา ฉันรวบตัวคีอาร์มากอดทันที “พี่สาวกลับมาแน่นอนนะ” คีอาร์ถามเสียงสั่นขณะที่กอดฉันตอบ
“แน่นอน พี่สาวกลับมาแน่นอน” ฉันยืนยันอย่างหนักแน่น ฉันผละออกจากคีอาร์และจัดการให้เขานอนลงบนเตียงดี ๆ พร้อมกับห่มผ้าให้อย่างเสร็จสรรพ “จะกลับมาแน่นอน เพราะงั้นคีอาร์ พยายามเข้านะ เข้มแข็งเข้าไว้ หากมีอะไรก็บอกโคลว์ เขาช่วยเธอแน่นอน” ฉันก้มลงไปจูบหน้าผากของคีอาร์ก่อนจะปิดโหมดมองเห็น
ในสายตาของคีอาร์ เขาจะเห็นฉันหายไปแต่ความจริงฉันก็ยืนอยู่ตรงนี้และมองเขาอยู่ คีอาร์ลุกขึ้นแล้วมองหาตัวของฉัน เมื่อแน่ใจว่าฉันไม่อยู่แล้วเขาก็คว้าหมอนไปกอดและซุกหน้าลงบนหมอน ฉันไม่แน่ใจว่าเขาหลับไปรึยังเพราะเขานอนนิ่งมาก แต่คงหลับไปแล้วจริงๆ ฉันจึงกลับโลกของตัวเองได้อย่างสบายใจ
ฉันลืมตาขึ้นมาในโลกที่แท้จริงของตัวเอง ที่นี่ผ่านไปแค่สองชั่วโมงกว่าๆ แต่ฉันก็รู้สึกว่าไม่ได้กลับมาเป็นเดือน ฉันหันไปมองนาฬิกา ซึ่งมันก็บอกเวลาหกโมงเย็น ฉันจึงไปอาบน้ำและหาอาหารทาน ฉันใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงตรวจสอบนิยายของตัวเองและขยับร่างกายเพื่อคลายเมื่อยที่นอนนิ่งมานาน
นิยายเรื่องสั้นของฉันมีคนเข้ามาอ่านมากมาย ตอนนี้ฉันได้เหรียญทองและเหรียญเงินมาเยอะแยะเลยล่ะ โลกทางฝั่งนั้นก็คงได้รับพลังไปหล่อเลี้ยงโลกของตัวเองอีกมาก
เนื่องจากเสียงตอบรับกำลังดี เมื่อครู่ฉันจึงได้ประกาศข่าวบนหน้าประกาศของเว็บ Go - D ไปว่านิยายเรื่องยาวใหม่ของฉันกำลังมา แฟนคลับถึงกับเข้ามาแสดงความคิดเห็นไม่ทัน พวกเขาบอกว่าจะรออย่างใจจดใจจ่อเลยทีเดียว เห็นแล้วมีกำลังใจขึ้นมากเลยล่ะ
ติ่ง!
เสียงข้อความเข้าดังขึ้นมาพร้อมกับหน้าจอใสที่ปรากฏขึ้นมากะทันหัน เนื่องจากมันเป็นข้อความที่ส่งมาผ่านระบบ Writer นั่นเอง ชื่อผู้ส่งจดหมายเข้ามาคือ ‘ทาสแมว’
ทาสแมวเป็นนามแฝงของเพื่อนนักเขียนข้ามโลกด้วยกันของฉันนั่นเอง นักเขียนที่มีพลังเหมือนกับฉัน แต่ต่างฝ่ายต่างก็ไม่รู้จักกัน จะเป็นใครมาจากไหนโลกเดียวกันไหมก็ไม่อาจทราบได้
ในจดหมายที่ทาสแมวได้เขียนมาบอกฉันว่า ในอีกสองอาทิตย์จะมีงานเลี้ยงสำหรับนักเขียน ฉันต้องหานิยายสักเรื่องไปเปิดตัวที่นั่น หากนิยายของฉันได้รับความสนใจค่าตอบแทนจะสูงมากเลยทีเดียว ส่วนนิยายที่ฉันเขียนบันทึกมาก็จะมีโอกาสได้ไปเผยแพร่ที่โลกอื่นที่ไม่ใช่แค่โลกที่ฉันอาศัยอยู่ตอนนี้
ฉันกุมหัวตัวเอง สองอาทิตย์ของที่นี่ในโลกที่คีอาร์อยู่ก็จะผ่านไปสิบกว่าปี คีอาร์โตไม่ทันอายุสิบแปดที่ฉันตั้งไว้แน่ ๆ ฉันคงต้องเปลี่ยนมาเขียนเรื่องราวของคีอาร์ในตอนอายุสิบสี่สิบห้าแทนซะแล้วสิ แต่อายุแค่นั้นฉันไม่กล้าที่จะปล่อยให้คีอาร์ไปเสี่ยงอันตรายกับพวกองค์กรโหดๆ พวกนั้นเลย ฉันได้ไปสืบมาแล้วว่าเมืองใหญ่ที่มีผู้มีพลังพิเศษมากที่สุดมีห้าขั้วอำนาจร้ายแม้แต่ตำรวจก็ตามสืบหาตัวบอสไม่เจอ
อย่าว่าแต่บอสเลย พวกระดับอื่น ๆ ก็ยังไม่สามารถเอาเรื่องได้ง่ายๆ
ฉันคงต้องเขียนอีกเรื่องซะแล้วสิ ฉันต้องให้เวลาคีอาร์เติบโตก่อนระหว่างนั้นฉันก็จะเขียนเรื่องราวของอีกคนไปด้วย เรื่องของคีอาร์เอาไปเปิดตัวทีหลังก็ไม่สาย
และเพื่อไม่ให้ต้องจากคีอาร์ไปไกล ฉันจะเขียนเรื่องราวของคนที่อยู่ในโลกเดียวกับคีอาร์ หากสองตัวละครเอกพบกันก็ทำตัวเนียนไปว่าเป็นบทพิเศษที่นักเขียนเอามาให้ก็ได้
ฉันได้คิดไว้ว่าอีกเรื่องจะเขียนเรื่องราวของตำรวจหรือนักสืบสักคน เมื่อพวกเขาพบคดีปริศนามากมายมันน่าจะทำให้เนื้อเรื่องเข้มข้นและน่าตื่นเต้น
เรื่องของคีอาร์เป็นแนวแฟนตาซีต่อสู้ ส่วนของอีกเรื่องก็ให้เป็นแฟนตาซีสืบสวนสอบสวน
เมื่อสรุปได้แล้วฉันก็กลับเข้าไปในโลก MP อีกครั้ง เปลือกตาของฉันปิดลง...
เพียงวูบเดียวฉันก็มาปรากฏตัวในห้องของคีอาร์ เจ้าของห้องไม่อยู่ฉันจึงเปิดดูหน้าระบบ Writer
กรุ๊งกริ๊ง..
กระดิ่งแก้วส่งเสียงเมื่อฉันกดเปิดโหมดมองเห็น จากนั้นฉันก็ลองเข้าไปเช็กวันเวลาด้วย ซึ่งดูเหมือนว่าฉันจะหายไปประมาณยี่สิบวัน ฉันเข้าไปดูวิดีโอที่อัดไว้เพื่อดูว่าคีอาร์ได้ทำอะไรบ้างในเวลาที่ผ่านมา
ปัง!
แต่ยังไม่ทันที่จะได้ดูสักตอนประตูห้องของคีอาร์ก็ถูกเปิดออกอย่างแรงจนฉันสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ
“เลย์!” คีอาร์ที่เปิดประตูเข้ามากระโดดกอดฉันด้วยความดีใจ
“เบาๆ ก็ได้คีอาร์ เดี๋ยวคนอื่นก็รู้ตัวตนพี่สาวหมดหรอก” ฉันกอดคีอาร์ตอบพลางหัวเราะเบาๆ กับความน่ารักของคีอาร์
“ผมดีใจมาก ๆ เลยล่ะ!” คีอาร์เงยหน้ามองฉันด้วยสีหน้าดีใจ ฉันย่อตัวลงไปหาเขาและลูบหัวของเขา
“ไม่เหงานะ” ฉันถามเสียงอ่อนโยน คีอาร์ยิ้มและเขาก็ทำในสิ่งที่ฉันไม่คาดคิด คีอาร์โอบคอฉันด้วยแขนเล็ก ๆ ของเขาก่อนที่จะประทับริมฝีปากเล็ก ๆ ของตนเองลงบนริมฝีปากบางของฉัน
ฉันนิ่งค้างเมื่อเขากดปากเล็ก ๆ นั่นลงมาที่ปากของฉันแรงๆ ทีหนึ่งก่อนที่จะผละออกพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง
“ผมไม่เหงาเมื่อคิดว่าเดี๋ยวก็ได้เจอเลย์แล้ว” ดวงตาสีม่วงของคีอาร์เป็นประกายระยิบระยับเมื่อพูด “ผมจะมีความสุขมากพอคิดว่าจะได้อยู่กับเลย์อีกครั้ง” รอยยิ้มใสซื่อทำเอาฉันพูดไม่ออก
“เอ่อ ใครสอนให้ทำแบบนี้งั้นเหรอ?” ฉันถามพลางหัวเราะแห้งๆ
“โคนี่บอกว่าการทำแบบนี้จะทำให้หายคิดถึง”
โคนี่! นายมาสอนอะไรให้กับน้องชายสุดน่ารักของฉันกัน!
ตึก!
ฉันรีบยืนขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเหมือนใครบางคนเดินเข้ามาใกล้ห้องของคีอาร์ ซึ่งคนที่ปรากฏตัวออกมาก็คือโคลว์นั่นเอง เขามองไปรอบ ๆ ห้องก่อนจะหันไปยิ้มอ่อนโยนให้คีอาร์
“คีอาร์ ทำไมอยู่ดี ๆ ถึงวิ่งขึ้นมาแบบนี้? งานหลังร้านยังไม่เสร็จเลยไม่ใช่เหรอ?”
“ขอโทษครับ จะไปทำต่อ” คีอาร์ผงกหัวแล้วเดินไปทางประตูโดยที่ไม่ลืมจับมือของฉันให้เดินตามไปด้วย ฉันลอยต่ำลงเพื่อไม่ให้แขนของคีอาร์ที่จับมือของฉันอยู่ไม่ให้ยกขึ้นสูงอย่างผิดสังเกต แต่มันก็ไม่ลดความสงสัยให้กับโคลว์ เขามองตามคีอาร์มาจนพวกเราหายลับตาของเขา
ทำไมโคลว์ดูอันตรายขึ้นทุกวันนะ
จับผิดไม่เลิก หากเขารู้ตัวตนของฉัน แล้วเขาจะทำอะไรกับฉันกัน?
อย่างไรก็ตามฉันก็ไม่อยากเสี่ยงให้เขารับรู้ตัวตนอยู่ดี ฉันจึงบอกไม่ให้คีอาร์คุยกับฉันตอนที่โคลว์อยู่ใกล้ๆ ซึ่งคีอาร์ก็บอกว่าฉันต้องอยู่กับเขาตลอดเวลาห้ามห่างสายตาไป ฉันทำตามความต้องการของคีอาร์และอยู่กับเขาไม่ห่างไปไหนจนกระทั่งตอนที่เขาเข้านอนฉันถึงแยกตัวออกมาได้
ในกลางดึกฉันตัดสินใจที่จะลองไปหาตัวละครเอกของนิยายเพื่อเอาไปเปิดตัวและแข่งขันกับนักเขียนคนอื่น ๆ
แน่นอนว่านักเขียนที่ฉันกล่าวถึงก็เป็นคนที่มีพลังเหมือนกับฉัน พวกเราต่างไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมาจากไหน อาจจะโลกเดียวกันหรืออาจจะต่างโลกก็ไม่อาจรู้ได้ พวกเราสามารถติดต่อกันผ่านทางระบบข้อความ Writer เท่านั้น ซึ่งการที่จะไปพบหน้ากันได้ก็มีวิธีหนึ่ง นั่นก็คือหลับตาและถอดจิตวิญญาณ ก็เหมือนกับวิธีไปต่างโลกนั่นล่ะ แต่พวกเราจะไม่ได้ไปโผล่ที่โลกอื่นแต่จะไปโผล่ที่มิติหนึ่งที่ถูกแยกออกมา มันมีไว้ให้เหล่านักเขียนได้พบกันโดยเฉพาะ
ที่มิตินักเขียนมีทั้งคนที่เปิดเผยตัวตนและปกปิด ซึ่งฉันเป็นจำพวกปกปิดตัวตนจึงสวมชุดและหน้ากากพรางตัวตลอดเวลาที่ไปมิตินักเขียน แต่ฉันก็เคยไปแค่สองครั้งเพราะงานใหญ่ๆ ไม่ค่อยได้จัดนัก
“นายไม่คิดจะกลับมาจริงๆ เหรอ?”
ฉันชะงักเมื่อได้ยินเสียงพูดคุยอยู่ในร้านทั้งที่น่าจะปิดแล้ว ฉันค่อยๆ เข้าไปแอบส่องดูว่าเป็นใคร ซึ่งฉันก็พบกับโคลว์ที่กำลังนั่งพูดคุยกับชายหัวทองคนหนึ่ง เป็นผู้ชายที่รูปร่างสูงใหญ่ ใส่สูทแล้วหล่อระดับพระเจ้าเลยล่ะ!
ฉันแทบอยากจะกรีดร้องออกมาเมื่อเจอหนุ่มหล่อ ฉันไม่ลังเลที่จะพุ่งไปสำรวจเขาและเช็ดประวัติ ซึ่งฉันก็ต้องตกใจเมื่อได้ทราบว่าเขาคือหัวหน้าหน่วยสืบสวนพิเศษที่คอยตามจับอาชญากรมากมาย เขาชื่อ เควิน วอกเกอร์ ตามแผนผังความสัมพันธ์ทำให้ฉันรู้ว่า โคลว์และเควินเคยเป็นเพื่อนร่วมงานกันทั้งที่ในประวัติของโคลว์บอกว่าเขาเป็นบุคคลที่อันตรายต่อกรมตำรวจ
“คุณก็รู้ว่าผมทำอะไรไปบ้าง อย่าถามหลายครั้งนักเลย” โคลว์ยิ้มเล็กน้อยพลางยกชาขึ้นมาจิบด้วยท่าทางที่เป็นธรรมชาติ แลดูสง่างามราวกับผู้ดี
“องค์กรนักฆ่าคาเรย์เคลื่อนไหวกันแล้ว....นับวันการฆาตกรรมที่หาหลักฐานไม่ได้ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ฉันถืองานที่ปิดคดีไม่ได้เยอะเกินไปจนแทบจะถูกไล่ออกอยู่แล้ว” เควินบ่นพลางถอนหายใจอย่างแรง
“คงไม่ได้จะมาแค่บ่นให้ผมฟังหรอกนะครับ” โคลว์ยิ้มและดวงตาของเขาเฉียบคมขึ้นมาเสี้ยววินาทีก่อนที่จะหายไป
“ฉันต้องการข่าว เล็กน้อยก็ยังดี ขอแค่เป็นข่าวที่เกี่ยวข้องกับพวกมัน” เสียงทุ้มของเควินเอ่ยออกมาอย่างจริงจัง
“ได้สิครับ” โคลว์ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย จากนั้นก็ไม่มีการพูดคุยกันระหว่างทั้งสองอีกจนฉันสงสัย ฉันมองเควินที่หลับตาลงสลับกับโคลว์ที่นั่งจ้องชาในแก้วเงียบๆ
มันน่าสงสัยฉันจึงลองเข้าไปตรวจสอบข้อมูลของโคลว์อีกครั้ง
ชื่อ โคลว์ ฟรีค อายุ 40 ปี ตัวอันตรายต่อรัฐบาลและกรมตำรวจ พลัง หูทิพย์!
ความสามารถของหูทิพย์ก็คือได้ยินทุกอย่างที่อยู่รอบตัวในระยะสิบกิโลเมตร เฮ้ย! เยอะไปแล้ว! แถมเขายังสามารถแทรกแซงสมองของคนอื่นได้ การแทรกแซงสมองจะทำให้เขาได้ยินในสิ่งที่คนคนนั้นเคยได้ยินมาทั้งหมด และสามารถส่งต่อข้อมูลที่เคยได้ยินให้กับคนที่ต้องการได้ด้วย
ไม่นะ ฉันน่าจะตรวจสอบให้ดีกว่านี้! ที่โคลว์สงสัยในตัวตนของฉันไม่ใช่เพราะว่าคีอาร์ทำตัวแปลกๆ แต่เขาได้ยินแน่ ได้ยินสิ่งที่คีอาร์พูดกับฉันทุกอย่าง แม้เขาจะไม่ได้ยินฉันแต่โคลว์คงแน่ใจเรื่องตัวตนของฉันและตามหามาตลอด ฉันรู้สึกปวดหัวตุบๆ ขึ้นมา ถึงมันจะไม่เป็นไรก็เถอะหากโคลว์รับรู้ถึงตัวตนของฉัน
แต่ฉันไม่ต้องการ! มันเป็นกฎที่ฉันตั้งขึ้นมาด้วยตัวเองเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องวุ่นวายที่จะตามมา และฉันทำเพื่อปกป้องหัวใจของตัวเองด้วย...
ที่นี่ไม่ใช่โลกของฉัน เมื่อฉันกลับโลกของตัวเองเวลาของที่นี่ก็จะดำเนินไปอย่างรวดเร็วมาก แค่ฉันกลับโลกตัวเองไปหนึ่งวันโลกของพวกเขาก็ผ่านไปหลายเดือนเลยล่ะ หากผูกพันมันจะทำให้ทั้งสองฝ่ายต่างคิดถึงกันและกันมากเมื่อต้องแยกจาก ดูอย่างคีอาร์สิ ฉันเป็นห่วงเขามากเมื่อต้องกลับโลกเดิมและคีอาร์ก็เฝ้ารอให้ฉันกลับมาหาเขาอยู่ทุกวัน
และอีกอย่างพวกเขาจะตายก่อนฉัน! ที่ไม่ชอบผูกมัดเพราะไม่อยากสูญเสีย นี่ก็เป็นหนึ่งสาเหตุที่ฉันเลือกที่จะไปโลกปีศาจที่มีอายุยาวนานแทนที่จะไปโลกมนุษย์ที่มีอายุแสนสั้น
เฮ้อ เลิกคิดดีกว่า ไปตามหาตัวละครเอกของนิยายอีกเรื่องก่อนที่คีอาร์จะตื่นขึ้นมาแล้วงอแงหาฉัน
ในขณะที่นิราออกไปตามหาตัวละครใหม่อยู่นั้น เธอไม่รู้เลยว่าคีอาร์ได้ตื่นขึ้นมากลางดึก เขาไม่ได้แค่งอแงอย่างที่เธอได้คิดไว้เลยแม้แต่น้อยเพราะเขาได้ทำมากกว่านั้น...